แกะรอยพะยูน มองอนาคตทะเลอันดามัน

ทำไมพะยูนถึงเป็นมากกว่าแค่สัตว์น้ำหายาก?

ทำไมพะยูนถึงเป็นมากกว่าแค่สัตว์น้ำหายาก? เพราะอะไรพะยูนถึงเป็นดัชนีชี้วัดสะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล? อะไรคือภัยคุกคามที่กำลังทำลายระบบนิเวศของทะเลอันดามัน? และเราทุกคนจะร่วมมือกันอย่างไรเพื่อรักษาทะเลและอนาคตของพะยูนให้ยั่งยืน? ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาที่มีความหมายต่ออนาคตทะเลไทย หาคำตอบไปด้วยกันว่าทะเลอันดามันยังมีทางรอดหรือไม่ ผ่านความร่วมมือของชุมชน นักวิชาการ และภาครัฐ

ชวนทำความเข้าใจสถานการณ์ – ความเปลี่ยนแปลง

ในช่วงที่ผ่านมาเราจะเห็นภาพข่าวสัตว์ทะเลเกยตื้น ตายอยู่บนชายฝั่งบ่อย ๆ

  • ข่าวการพบซากพะยูนเกยตื้นบริเวณหาดทับแขก ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ วันที่ 7 ตุลาคม 2567
  • หรือข่าวพบซากโลมาเกยตื้น บริเวณแนวเขื่อนกันคลื่น จังหวัดสมุทรสาคร 6 ตุลาคม 2567
  • หรือ 14 กันยายน 2567 ข่าวการพบเต่าทะเลติดขยะทะเลประเภทเศษอวน บริเวณหน้าชายหาดนาใต้ ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา
  • ข่าวการพบซากเต่าทะเลเกยตื้น บริเวณ อ.ปะทิว จ.ชุมพร จากการชันสูตรพบขยะทะเลในช่องท้อง ทั้งหนังยาง เชือกฟาง เศษพลาสติก

ยังไม่รวมถึงข่าวปะการังฟอกขาว การกัดเซาะชายฝั่ง ขยะทะเล ทุกอย่างนี้ ล้วนส่งผลกระทบกับทุกสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลสัตว์ทะเล ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนไหวที่สุด เมื่อโลกเปลี่ยน ยิ่งโดยเฉพาะกับสัตว์ทะเลหายาก นั่นคือ โลมา วาฬ เต่าทะเล และพะยูน


ในช่วง พ.ค. ที่ผ่านมา ข่าวการพบซาก “พะยูน” ตายแล้วกว่า 20 ตัว มีการเปิดเผยข้อมูลว่า ช่วง 5-10 ปีผ่านมา ประชากรพะยูนในประเทศไทยมีประมาณ 280 กว่าตัว เพิ่มขึ้นจากเดิม 20 ตัว แต่ในปีนี้เกิดภาวะโลกเดือด อากาศแปรปรวน พื้นที่หญ้าทะเลลดลง ประชากรพะยูนขาดอาหาร และกระจายออกไปยังพื้นที่หากินที่เสี่ยงมากขึ้น ตั้งแต่ต้นปีพะยูนตายแล้วร้อยละ 7 หรือประมาณ 20 ตัว ซึ่งในฝั่งทะเลอันดามันมีพะยูนประมาณ 200 ตัว ตายประมาณ 10 ตัว

สำหรับพะยูนเป็นสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 6 ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 พบเห็นได้มากบริเวณเกาะลิบง เกาะมุก จ.ตรัง เกาะปู เกาะจำ เกาะศรีบอยา เกาะลันตา จ.กระบี่ และพื้นที่ตามแนวชายฝั่งทะเล

ข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รายงานสถานการณ์การเกยตื้นของสัตว์ทะเลหายาก เมื่อมิถุนายน 2567 รายงานยอดสะสมการพบสัตว์ทะเลเกยตื้นมากถึง 821 ตัว ในจำนวนนี้แบ่งเป็นยังมีชีวิตอยู่ 211 ตัว พบซาก 495 ตัว ตาย 42 ตัว และมีการปล่อยคืนกลับสู่ธรรมชาติ 75 ตัว

default

ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของปรากฎการณ์สัตว์ทะเลหายากเกยตื้นและตายบนชายฝั่ง มาจากทั้ง ภาวะโลกเดือดที่อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น น้ำในทะเลเดือด ส่งผลให้เกิดอากาศแปรปรวน  ปะการังฟอกขาว พื้นที่หญ้าทะเลที่มีจำนวนลดลง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารของเหล่าสัตว์ ทำให้เหล่าสัตว์น้ำขาดอาหาร ทำให้ต้องกระจายตัวออกไปหาอาหารเพื่อความอยู่รอดในพื้นที่ที่เสี่ยงมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ปัญหาเรื่องขยะทะเล ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ซึ่งเมื่อเราทิ้งขยะไม่ถูกที่ ขยะจะถูกพัดพาลงสู่แหล่งน้ำ เช่นเดียวกับหากขยะไม่ได้ถูกกำจัดด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพ จบลงที่หลุมฝังกลบ และถูกชะล้างลงไปในทะแต่ละปีพบสัตว์น้ำเสียชีวิตจากขยะพลาสติกในทะเลมากมาย ทั้ง โลมาและวาฬ เสียชีวิตจากขยะพลาสติกบาง เช่นถุงพลาสติก แผ่นห่อพลาสติก และพวกแพคเกจจิ้งจากขยะพลาสติกมากที่สุด ซึ่งขยะเหล่านี้จะเข้าไปอยู่ในท้องของพวกเขาจนไปอุดตัน ทำให้ว่ายน้ำได้ลำบาก และไปชนกับเรือประมงจนเสียชีวิตได้ หรือเข้าไปอยู่ในท้องจนทำให้ทั้งโลมาและวาฬป่วย เกยตื้นและเสียชีวิต

รวมไปถึงเครื่องมือในการทำประมงต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสัตว์ทะเล วิถีการเดินเรือในแนวร่องน้ำ ที่ทุกวันที่ต้องเฝ้าระวัง โดยต้องลดความเร็วของเรือ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุแก่เหล่าสัตว์ทะเลที่ไปหากินในพื้นที่ได้

รายการ ฟังเสียงประเทศไทย เดินทางมายังจ.ตรัง ซึ่งเป็นพื้นที่พบวิกฤตหญ้าทะเลตรัง เสื่อมโทรมตายลงเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อแหล่งอาหารของพะยูนฝูงสุดท้ายของประเทศไทย รวมทั้งสัตว์ทะเลหายากอื่นๆ เเละพบพะยูน มีสภาพผอมชัดเจนว่าป่วยและขาดอาหารสืบเนื่องจากปัญหาหญ้าทะเลตาย เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้อาหารพะยูนขาดแคลน อาหารที่มาจากความไม่สมดุลทางระบบนิเวศ

เราจึงชวนชาวบ้าน ผู้ประกอบการ ภาคเอกชน ภาครัฐเเละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมพูดคุยสะท้อนถึงปัญหา เราจะปรับตัวยังไง  ชวนมองภาพอนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้า กับอนาคตการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง

แชร์บทความนี้