วันนี้ (11 มิ.ย. 2568) ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ช่างเบิร์ด – ฐิติพงศ์ โพธิพรหม หัวหน้างานวางระบบไฟของอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และผู้รับเหมาช่วงรวม 22 ราย นัดหมายเจรจาเรื่องเงินคงค้างค่าจ้างรับเหมาช่วง กับผู้แทนบริษัท 9PK จำกัด โดยมีเจ้าหน้าที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ เป็นคนกลางในการเจรจา ซึ่งครั้งนี้เป็นการพูดคุยรอบที่ 3 และก่อนหน้านี้มีจ่ายเงินคงค้างค่าจ้างมาแล้วครึ่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา

หลังการทยอยเจรจาไกลเกลี่ยในแต่ละกรณีปัญหาที่แตกต่างกัน ช่างเบิร์ด ให้ข้อมูลว่า วันนี้เป็นการหารือกับผู้บริหารบริษัท 9PK ในส่วนยอดหนี้ที่เหลืออยู่ประมาณ 4 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัท 9PK ขอเลื่อนตอบว่าจะจ่ายเงินก้อนที่เหลือได้ทั้งก้อนหรือไม่ ในวันที่ 20 มิ.ย.นี้ และมีข้อเสนอว่าหากยังไม่พร้อมจ่ายเป็นก้อนก็จะขอจ่ายผ่อนชำระเป็นงวด แต่ผู้รับเหมาต่างก็เดือดร้อนมีหนี้สินต้องชำระ ตอนนี้หลายคนต้องว่างงาน และทราบมาว่าบริษัท 9PK มี แบงค์การันตีอยู่ 25 ล้านบาท จึงอยากให้บริษัทนำเงินส่วนนี้มาจ่ายก่อน ส่วนจะรับข้อเสนอเรื่องผ่อนจ่ายได้หรือไม่นั้นต้องรอดูความชัดเจนอีกครั้ง


ขณะที่กรมคุ้มครองสิทธิระบุ การเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้คงค้างที่เจรจามาแล้ว 3 ครั้ง มีแนวโน้มดี โดยในรายที่เหลือยอดเงินจำนวนไม่มากในหลักแสน บริษัท 9PK รับจะปิดยอดในวันที่ 17 ก.ค. 2568 ส่วนยอดหนี้หลักล้านบริษัท 9PK จะขอผ่อนจ่ายไม่เกิน 12 งวด

ด้านนิลุบล พงษ์พยอม กลุ่มนายจ้างสีขาวและเป็นผู้แทนกลุ่มผู้รับเหมาตึก สตง.เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการไม่ได้รับการเยียวยาที่เป็นธรรมของผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ตึก สตง.ถล่ม ถึงอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นทำให้เครื่องมือ อุปกรณ์การประกอบอาชีพของช่างรับเหมาเสียหายทั้งหมด ทั้งรายเล็กรายน้อย และรายใหญ่ บางรายสูญเสียสูงเป็นล้านบาท ซึ่งกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ผู้รับหมา ไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์ทำงาน ทำให้ต้องว่างงานเป็นเดือน ๆ นอกจากนี้ยังมีแรงงานที่บาดเจ็บและทายาทผู้เสียชีวิตที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ จึงอยากให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ ช่วยเรียกร้องการเยียวยาที่เป็นธรรม

นอกจากนี้ ในหนังสือร้องเรียนยังระบุว่า ทางกลุ่มนายจ้างสีขาวเห็นว่าการล่าช้าในการให้ความช่วยเหลือเป็นผลมาจากการขาดกลไกที่เป็นระบบ ขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงาน ไม่มีฐานข้อมูลที่โปร่งใส และขาดช่องทางร้องเรียนที่เข้าถึงได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ร้องเรียน จึงขอเรียกร้องให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ดําเนินการในประเด็นเร่งด่วน ดังนี้
1.ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ จัดทํารายงาน ระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบ พร้อมแนวทางแก้ไข
2.ให้ความคุ้มครองและเยียวยาอย่างเร่งด่วน โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการเข้าถึง ช่วยเหลือและยียวยาอย่างเร่งด่วน
3.ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ไดรับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ประสงค์จะเรียกร้องค่าเสียหาย หรือดําเนินคดี
4.จัดตั้งกองทุนเยียวยาเฉพาะกิจ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น โดยเฉพาะครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ทุพลภาพ
5.ติดตามการดําเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ผ่านระบบที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส พร้อมรายงานผลต่อสาธารณะ
6.จัดทําข้อเสนอเชิงนโยบายและแผนป้องกัน โดยเน้นกลไกการประสานงานข้ามหน่วยงาน และการดูแลแรงงานเปราะบางในภาวะฉุกเฉิน

วรพันธ์ กลัดหว่าง นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการ ผู้แทนรับหนังสือกล่าวว่า การช่วยเหลือเยียวยาที่กรมคุ้มครองสิทธิรับเรื่องไว้ก่อนหน้านี้มี 43 ราย ช่วยเหลือแล้ว 15 ราย ส่วนที่ขอทนายความช่วยฟ้องร้องคดี กรมฯ ได้ช่วยจัดหาให้ และประสานเรื่องค่าแรงที่คงค้างจ่าย
ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ระบุว่า เมื่อวันพุธที่ 4 มิ.ย. 2568 การประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญากรุงเทพมหานคร 2 ครั้งที่ 7/2568 ได้อนุมัติให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียหายและทายาท จากกรณีตึก สตง.ถล่ม จำนวน 15 ราย รายละ 200,000 บาท รวมเป็นเงิน 3,000,000 บาท และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 74 ราย จะนำเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ กทม.3 ในวันที่ 16 มิ.ย. 2568 โดยทยอยนำเสนอเพื่อพิจารณา และในส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการติดตามเอกสารและติดตามทายาทที่แท้จริงที่มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือและเยียวยา

