เหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขนาดใหญ่ 8.2 แมกนิจูด โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา สร้างความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน ความเชื่อมั่นของหน่วยงานรัฐ และระบบการก่อสร้างอาคารของประเทศไทย อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องของมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งนำมาสู่ความยากลำบากในการค้นหาผู้รอดชีวิตและการเก็บกู้ซากตึก
ทั้งที่ผ่านมา 2 เดือนกว่าแล้ว ปฏิบัติการรื้อซากตึกและกาค้นหาผู้สูญหายได้ยุติภารกิจลงไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2568 แต่เหตุการณ์นี้ยังมีคนสูญหาย เจ้าหน้าที่ไม่สามารถระบุตัวตนของผู้เสียชีวิตทั้งหมดได้ รวมทั้งการจัดการช่วยเหลือ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบยังคงเป็นปัญหาใหญ่ เพราะเหตุการณ์นี้ไม่ได้มีแค่ผู้เสียชีวิตที่ภาครัฐต้องดูแล แต่ยังมีผู้รอดชีวิต ญาติของผู้เสียชีวิต และแรงงานข้ามชาติอีกหลายคนที่รอดชีวิต และยังคงรอคอยการช่วยเหลือเยียวยา ชีวิตความเป็นอยู่ การทำงาน และสภาพจิตใจหลังเผชิญเหตุ

“เสียงสะท้อน”
บทเรียนชีวิตคนทำงาน
“ขณะนี้ยังไม่มีการเยียวยาให้กับผู้รอดชีวิตหรือว่าเครื่องมือที่เสียไป คนงานเราเสียชีวิตไป 2 คน ซึ่งเป็นแม่ลูกกัน มีหน่วยงานรัฐเข้าไปช่วยเหลือ แต่สำหรับผู้รอดชีวิต มีแค่นายจ้างสีขาว และ CREC ที่นำข้าวสาร อาหารแห้ง และปลากระป๋องมาแจก นอกนั้นไม่มีใครมาดูแลเลย
พวกเราตกงานมาแล้ว 2 เดือนกว่า ไม่มีเครื่องมือไปทำงาน ผมไม่เรียกร้องอะไรมาก ขอแค่ดูแลกันบ้าง ชดเชยค่าเครื่องมือ เพราะผู้รับผิดชอบทั้งหมด ตอนนี้ยังไม่มีใครมาติดตามว่าพวกผมจะอยู่กันยังไง”


เดือนที่แล้วผมไปกระทรวงยุติธรรมเขานัดว่าจะจ่ายวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2568 ผมโทรไปถาม เขาบอกเลื่อนไปวันพุธหน้า เขาบอกว่า เงินแค่แสน ๆ เอง เขาพูดเหมือนเงิน 100-200 บาท”
สมมุติเราขอ 10 บาท เขาให้ 3 บาท เขาถามว่าคุณพอใจไหม คุณไม่พอใจ คุณก็ไป เขาก็เอาเจ้าใหม่มาทำแบบนี้เรื่อย ๆ กับทุกผู้รับเหมา บางคนก็ไม่ได้
บางทีเราเป็นหนี้ เราต้องไปกู้เงินมา เพื่อซื้อของ ขนฝ้าไปเป็นลำรถ เขาถ่ายรูปไว้ แต่พอผมไปเก็บเงิน เขาบอกให้รอ ตอนนี้รอมา 1 ปี ผมทำงานพร้อมช่างเบิร์ดที่ชั้น 6 ห้องตัวอย่าง ผมถามช่างเบิร์ดว่าได้เงินหรือยัง เขาก็บอกว่ายังไม่ได้
ผมเปิด PO ไป 860,000 บาท ผ่านมา 1 ปี ผมได้เงินมาแค่ 100,000 บาท ผมต้องแบกภาระบริษัท ลูกน้องยังไม่ได้เงินเลย ทุกวันนี้ก็อยู่กันไปแบบนี้
แต่โชคดีที่วันเกิดเหตุผมไม่อยู่ ตอนนั้นผมมีธุระด่วนเลยไม่ได้เข้าไป ลูกน้องเลยไม่เสียชีวิต อุปกรณ์ผมมีแค่บรรได 3 ตัว ที่ติดอยู่ในนั้น ไม่เป็นไร แต่อยากให้ช่วยผู้รับเหมา และผู้เสียชีวิต ที่เขาเดือดร้อน อย่างเรื่องเครื่องมือ ถ้าไม่มีเครื่องมือเราหากินไม่ได้บางชิ้นใช้เวลาเก็บเป็นปีกว่าจะได้”


เราพยายามติดต่อประสานงานแทนผู้ร่วมงานในบริษัททุกคน แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ในทุกวันนี้ในส่วนของกระบวนการต่าง ๆ ที่เราได้รับการประสานเยียวยาเบื้องต้นกับรายที่เสียชีวิตและพบร่างแล้ว เราได้รับการประสานจากทางผู้ว่าจ้างเป็นบางส่วน แต่ก็ยังต้องรอ และยังไม่ได้มีการชี้แจงว่าจะดำเนินการเมื่อไหร่”
และในเรื่องของอุปกรณ์การทำงานของเราเป็นชุดก่อฉาบ แค่เครื่องพ่นปูนฉาบที่เสียหายไป ก็ 3 แสนกว่าบาทแล้ว และอุปกรณ์อื่น ๆ อีก ทำให้เรามีอุปกรณ์ไม่เพียงพอต่อการทำงาน แม้เราจะหางานให้กับคนงานได้ มันก็จะทำให้การทำงานล่าช้า ช่วยติดตามเรื่องนี้ให้ที
และในเรื่องของการช่วยเหลือแรงงาน แรงงานเราเป็นแรงงานข้ามชาติ คุณจะจ่ายด้วยเงินสด หรืออะไรก็ขอให้จ่ายให้เขาหน่อย เพราะแรงงานข้ามชาติเขามีปัญหาเรื่องการเปิดบัญชีได้ยากมาก”


ทางรัฐหรือว่าเขตใช้คำว่าเยียวยา เราขอใช้คำว่าบำนาญได้ไหม การเยียวยามันต้องเข้ามาช่วยเร็วหน่อย เช่น เรื่องค่าทำศพ ซึ่งเราได้จากประกันสังคมมาช่วยแล้ว แต่ทุกอย่างมันต้องใช้เงิน เราอยู่กรุงเทพ ไม่ได้อยู่ต่างจังหวัด ถ้าอยู่ต่างจังหวัดอาจจะใช้เงินน้อย แต่ที่นี่เราต้องจ่ายอย่างเดียว แต่ทางรัฐช้า”
ยกตัวอย่าง เคสที่เรามีคนงานที่ไม่รู้ว่า ซับคอนแทรคมากี่ชั้น การสืบหาว่าใครเป็นนายจ้างตัวจริง หรือใครจะต้องรับผิดชอบก็ค่อนข้างยาก แต่เราพยายามที่จะพาคนงานไปร้องเรียนตามกลไกของรัฐที่มี โดยเฉพาะสำนักงานประกันสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินว่างงาน เพราะตั้งแต่เกิดเหตุ หลังจากวันที่ 28 มีนาคม เป็นเวลาเกือบ 1 เดือน ที่พวกเขามีอาการไม่อยากจะกลับเข้าไปทำงานที่ตึก ไม่อยากเป็นคนงานก่อสร้างอีกต่อไป หลายคนแม้บริษัทจะย้ายไปที่อื่น เขาก็ไม่อยากที่จะไป ช่วงนี้เป็นช่วงสูญญากาศว่าคนพวกนี้ตกลงว่าจะทำยังไงต่อ จะไปกับนายจ้างคนนี้ก็ไม่กล้าไปแล้ว เผชิญกับภาวะความหวาดกลัว อยู่ต่อก็ไม่มีงานทำ แล้วก็ไม่มีเงิน
พอจะขอใช้เงินว่างงาน เอาไปตรวจสอบปรากฏว่า เป็นแรงงานที่นายจ้างไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคม เราพยายามประสานงานกับสำนักงานประกันสังคม เพื่อตรวจสอบคน ให้นายจ้างรับผิดชอบในการพาเข้าประกันสังคม เราพบว่า มีนายจ้างหลายราย มีลูกจ้างจำนวนมากอยู่ในมือตัวเอง แต่ในฐานะระบบของข้อมูลประกันสังคมมีหลักสิบ เราเห็นว่าตรงนี้ที่รัฐอาจจะยังขาดตกบกพร่องในการติดตามนายจ้างให้มาขึ้นทะเบียนแรงงานทุกคน เพื่อที่อย่างน้อยจะได้ใช้สิทธิ์ตามกลไกของรัฐที่มี
ส่วนคนที่เจ็บป่วยตอนอยู่โรงพยาบาล ค่าใช้จ่าย ค่ารักษาพยาบาล ยังมีหน่วยงานมาจ่ายให้ แต่พอออกจากโรงพยาบาลกลับไปอยู่แคมป์งาน และต้องกลับไปโรงพยาบาลติดตามอาการ ไปล้างแผล ทุกอย่างเป็นเงินเป็นค่าใช้จ่ายที่พวกเขาต้องแบกรับตามลำพัง ไม่มีการเยียวยาจากหน่วยงานภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแล
เราเห็นใจนายจ้างที่ประสบเหตุ หลายคนที่สูญเสียลูกน้องสูญเสียเครื่องมือทำมาหากิน แต่ภาวะวิกฤตเหล่านี้ เราต้องร่วมกันหลายฝ่าย ทั้งหน่วยงานภาครัฐหรือว่าองค์กรการกุศล แต่การบริหารจัดการ ดูเหมือนจะไม่เป็นระบบที่จะทำให้ผู้เสียหายเข้าไม่ถึงการเยียวยา”


ฝากไปถึงรัฐบาลที่นั่งอยู่บนหอคอย ตอนนี้ประชาชนเดือดร้อน พวกคุณต้องออกมาช่วยเหลือประชาชนหน่อย อย่างน้อยเป็นกระบอกเสียง เป็นคนกลางมาช่วยไกล่เกลี่ยเคลียร์ให้ หรือเอาเงินมาช่วยช่างเหล่านี้ รวมทั้งผมด้วย เอาเงินมาช่วยเยียวยาก่อนได้ไหม เพราะว่าแต่ละคนตอนนี้ทำงานไม่ได้มา 3 เดือนแล้ว
และไม่รู้ว่าประกันสังคมจะช่วยได้แค่ไหน บางคนไม่มีประกันสังคม เพราะว่าบางคนไม่ได้เปิดบริษัทลูกน้องบางคนก็เลยไม่ได้เข้าประกันสังคม ตอนนี้ประชาชนเดือดร้อน อยากให้รัฐบาลยื่นมือมาช่วยเข้าใจว่าช่วยอยู่ แต่มันยังไม่ถึง และไม่ใช่แค่ที่อยู่ตรงนี้ มีมากกว่า 20 เจ้าที่อยู่ตรงนั้น รัฐบาลทำอะไรอยู่ ตึกตอนนี้รื้อเสร็จแล้ว เรื่องเงินเยียวยาผู้เสียชีวิตที่บอกว่าได้ไป 1 ล้านบาท จากจีน หรืออิตาเลียน มันไม่คุ้มหรอก ลูกเมียเขากิน เขาจะอยู่อย่างไร 1 ล้านบาท คุณใช้กันกี่เดือนหมด แล้วเขาขาดเสาหลักไปจะเยียวยาเขาอย่างไร ลูกเขาจะไปโรงเรียน 1 ล้านบาท ส่งลูกเขาเรียนจบถึงปริญญาได้ไหม มันไม่ถึงหรอก แค่เยียวยา 1 ล้านตอนนี้ยังได้ไม่ครบทุกเจ้า
รัฐบาลต้องออกมาช่วยเหลือบ้าง ไม่ใช่ว่าเขาติดคุกไปแล้วก็จบ ไม่รู้ว่าจะได้กันหรือเปล่า 1 ล้านบาทกับที่เหลือ ขอฝากไปถึงท่านนายกเลย ตอนนี้เดือดร้อนมาก บางคนเงินทำศพยังไม่มีเลยสงสารเขามาก บางคนตายเกือบทั้งครอบครัว เหลือแค่พ่อกับแม่ บางคนเหลือลูกแค่คนเดียว พ่อแม่ขึ้นมาทำงานแล้วตึกถล่มทับไปแล้ว
และฝากไปถึง สตง. ตอนนี้ทุกคนรอความรับผิดชอบจากท่านอยู่ ท่านไม่ออกมารับผิดชอบอะไรเลยตอนนี้จะ 3 เดือนแล้ว คุณบอกว่า ขอโทษ คุณพูดได้แค่ขอโทษหรอ มันไม่ได้ออกมาจากใจของคุณเลย คุณพูดได้เพราะมันไม่ใช่ญาติของพวกคุณ ส่วนญาติของพวกเขา ความรู้สึกเขาเป็นยังไงตอนนี้ ฝากไปถึงเขาด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ตรงไหน ไม่ออกมาพูด หรือออกมาคุยรับผิดชอบอะไรเลย สตง. ต้องมีส่วนเยียวยาผู้เสียชีวิตเพราะเป็นบ้านของเขา และเขาเป็นคนสั่งทำตึก เมื่อมันถล่มลงมา เขาต้องรับผิดชอบให้มากกว่านี้ ไม่ใช่จะรับผิดชอบแค่หมื่น สองหมื่น อย่างน้อย ๆ ต้องให้เยอะกว่านี้คุณต้องมองเห็นปัญหาของผู้รับเหมาและคนที่เขาตายตรงนั้น เขาตายเพื่อคุณ ฝากให้คิดด้วยครับ”
อยากฝากรัฐบาลถ้าเป็นไปได้ อย่างเช่น น้องสาวที่เสียชีวิตเขามีลูก 2 คน มีลูกคนโตกับคนเล็ก อยากให้รัฐบาลลองสำรวจว่ามีท่านไหนบ้างที่ยังมีลูก ที่เขาต้องทำงาน เป็นไปได้ไหม ว่าอนาคตถ้าเขาโตขึ้น เขาสามารถเข้าไปทำงานในส่วนของราชการตรงไหนได้บ้าง เช่น สตง. หรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือทำอะไรก็ได้ อยากให้มีหน่วยงานที่มารองรับครอบครัวที่เสียชีวิต ในส่วนของเงินจาก สตง. สอบถามไปแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร อิตาเลียนไทยสอบถามไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้ไหม เผลอ ๆ อาจจะไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งหมดตอนนี้ผู้เสียชีวิต บางส่วนอาจจะได้จากสำนักนายกไปแล้ว ในส่วนของบริษัทเรา 5 รายที่เสียชีวิตก็ยังไม่ได้ ถ้ามีความเป็นไปได้อยากให้รับลูก หรือหลานของคนที่เขาเสียชีวิต เข้าไปทำงานในส่วนของ สตง. หรือว่าตรงไหนก็ได้”


อันนี้เป็นภาพลักษณ์ของประเทศไทย ในการที่ตึก สตง. ถล่มลงมา คือความเลวร้ายที่เกิดขึ้น คนที่ได้รับผลกระทบมีหลายชาติและการแก้ไขปัญหาต้องแก้อย่างเป็นระบบ หรือติดตามบูรณาการ หรืออย่างเหตุการณ์นี้ ถ้าคนมารวมกันขนาดนี้อาจจะต้องมีการเช็คว่าได้รับผลกระทบคนได้รับอะไรแล้วบ้าง ต้องมีการเก็บข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นระบบ รวมถึงประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ตอนนี้เราไม่มีเจ้าภาพหลักในการระบุความเสียหายต่าง ๆ ซึ่งจะต้องมีความพยายามมากกว่านี้
เหตุการณ์นี้ทำให้เราเห็นถึงระบบการทำงานของที่น้องแรงงานก่อสร้าง ที่ไม่เคยถูกจัดระบบให้ดีมาก่อน พอเกิดปัญหานี้ ทำให้เราเห็นหลายอย่าง บ้านดีราคาถูก บ้านดีอาจจะมีราคา 7 ล้านบาท แต่คนทำมีชีวิตที่แย่มาก”
เรามีความพยายามในการประสานงานกับหน่วยงานต้นทาง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงแรงงาน ซึ่งเรามีโอกาสได้คุยกับระดับปลัดกระทรวง ในเรื่องของสภาพปัญหาที่เจอหน้างาน มีการตกลงเรื่องของตั้ง LINE กลุ่ม เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่ฉับไวขึ้น แต่พอมีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หน่วยงานเหล่านั้นเงียบใส่เราไปเลย ไม่ตอบเรารู้สึกว่าท่านไม่ค่อยมีความจริงใจในเรื่องของการแก้ปัญหา เพียงแต่ว่า เมื่อมีการประชุมใหญ่กับหน่วยงานผู้บริหารระดับสูง พยายามที่จะตอบคำถามระดับเคสเราไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร
โดยเฉพาะเรื่องของระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะพอถึงเวลาในการเยียวยาประชาชน เคสที่เราต้องไปเจอกับหน่วยงานเขตแต่ละเขต เราพบว่า เจ้าหน้าที่มีการทำงานหรือประสานงานที่ไม่เหมือนกัน ทำให้เราห่วงใยในเรื่องของการอำนวยความสะดวก
สุดท้ายโครงการนี้เป็นโครงการของรัฐ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติหรืออันตรายจากประชาชน หน่วยงานแรกที่ต้องเข้ามา คือ รัฐบาล รัฐบาลควรมีมติ ครม. ฉุกเฉินเยียวยาในทันที ไม่ว่าจะเป็นคนงาน ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สร้างบรรยากาศความยั่งยืนของคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของไทย จึงอยากจะฝากรัฐบาลเป็นหลัก ในฐานะที่เป็นเจ้าของโครงการใหญ่และเกี่ยวข้องกับเรื่องของความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชน”


และถ้าเราดู จะเห็นได้ว่า บริษัทที่มีประกันสังคม มีบริษัทใหญ่แค่บริษัทเดียว นอกนั้นบริษัทอื่น ๆ นายจ้างแทบไม่ส่งประกันสังคมให้กับลูกจ้าง แม้ประกันสังคมจะเรียกให้นายจ้างไปขึ้นประกันสังคมให้กับลูกจ้าง นายจ้างก็ไปขึ้นแค่ชื่อ แต่ไม่ได้ส่งเงินย้อนหลัง สิทธิของลูกจ้างจึงไม่เกิด
คนที่รอดชีวิต บาดเจ็บ ตอนไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์ ทำให้ไม่ต้องเสียค่าพยาบาล แต่คนไข้ผู้บาดเจ็บ ที่รอดชีวิตมีกระดูกหลังเคลื่อน ขาหัก และเสียโฉม บางคนมีบาดแผล มีอุ้งเท้าหักพวกเขาเป็นแรงงานข้ามชาติต้องไปหาหมอ ตามหมอนัด คนที่อยู่บริษัทใหญ่เขาก็สำรองเงินให้ลูกน้อง แต่บริษัทที่ไม่มีประกันสังคม ลูกจ้างต้องสำรองออกค่ารักษาครั้งละ 4,000- 5,000 บาทเอง บางคนเป็นหลักหมื่น และค่าจ้างยังไม่ได้รับ เพราะว่าเป็นเหตุสุดวิสัย
เราไม่รู้ว่าเหตุนี้จะตั้งกฎเกณฑ์ในระยะกี่วัน นายจ้างก็ไม่จ่ายตามเจ้าหน้าที่รัฐที่ประเมินว่าเหตุการณ์นี้นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินค่าแรงก็ได้ แต่ลูกจ้างตกงานเป็นเดือน ไม่รู้ว่าจะเอาเงินที่ไหนกิน ทุกคนที่เสียชีวิตและรอดชีวิต เป็นหัวหน้าครอบครัว ดังนั้นประกันสังคมต้องทำงานจี้นายจ้างให้ดีกว่านี้ สิทธิอื่น ๆ ของลูกจ้างจะได้เกิดขึ้น
ทุกวันนี้แรงงานข้ามชาติเขาไม่รู้กฎหมายไม่รู้สิทธิตัวเองเหมือนกัน ว่าการได้รับบาดเจ็บ หรือการเสียโฉมเขาจะได้รับกองทุนเงินทดแทนเมื่อไหร่ ไม่มีใครอธิบายให้เขาฟัง อยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องจี้นายจ้างให้ไปเสียเงินย้อนหลังด้วย เราเข้าใจว่านายจ้างก็เป็นคนที่ไม่ได้รับเงิน หน่วยงานภาครัฐก็ต้องมายืนเป็นหลักในการให้แหล่งงานที่รอดชีวิตและแรงงานที่สูญเสียได้รับสิทธิไวขึ้นกว่านี้”

บทเรียน 2 เดือน
ปัญหาการจ้างงาน “ซับคอนแทค”
และการช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบ
เหตุการณ์นี้ นับเป็นบทเรียนสำคัญของประเทศไทย และเป็นโจทย์ใหญ่ของหน่วยงานรัฐหลายภาคส่วน ที่จะต้องถอดบทเรียนร่วมกัน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอุบัติภัยที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ให้เราไม่เกิดความสูญเสียอย่างกรณีนี้ รวมไปถึงมีแนวทาง หรือวิถีการที่จะช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเผชิญเหตุการณ์
รายการฟังเสียงประเทศไทยจึงเปิดพื้นที่ ชวนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ มาร่วมกันถอดบทเรียนถึงความปลอดภัยและชีวิตคนทำงาน จากเหตุการณ์ ตึก สตง. ถล่ม โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาดังนี้
➢นิลุบล พงษ์พยอม กลุ่มนายจ้างสีขาว
➢ช่างเบิร์ด ฐิติพงศ์ โพธิพรหม หัวหน้าวางระบบไฟฟ้าของอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
➢อดิศร เกิดมงคล เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG)
➢สุธาสินี แก้วเหล็กไหล มูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน
➢ ปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างฯ
➢ วนิดา กองแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนเงินทดแทน
➢นันทน อินทนนท์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ
➢ จิฬาภรณ์ ตามชู กฤษณสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม
➢ศักดิ์ศิลป์ ตุลาธร ผู้ตรวจราชการกรม กสร.
➢ ตัวแทนลูกจ้างและนายจ้างผู้รอดชีวิต กว่า 30 คน

เริ่มบทสนทนากันที่ ฐิติพงศ์ โพธิพรหม หัวหน้าวางระบบไฟฟ้าของอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สะท้อนปัญหาเหตุการณ์ให้ฟังในฐานะแรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอาคาร สตง. ว่า ตนเองเป็นผู้รับจ้างมือที่ 3-4 ของเหตุการณ์นี้ โดยไล่จาก ไชน่าเรลเวย์ กับอิตาเลียนไทย รับงานจากตึก สตง. และบริษัท 9PK รับงานมา จากนั้นผมก็ไปรับงานต่อมาอีกทอดนึง
ผมก็ไปร้องกับบริษัท 9PK ซึ่งเขาบอกว่าทางไชน่าเรลเวย์ยังไม่จ่ายเงินมา อิตาเลียนยังไม่เซ็น พอไปบอกเขา เขาก็บอกว่า สตง. ยังไม่จ่ายมา มันไม่มีข้อมูลที่จริง เราไม่รู้จะทำยังไง เพราะเราไปถาม สตง. เขาก็บอกว่าจ่ายไปแล้ว เลยไม่รู้ว่าเงินมันไปค้างอยู่ที่ใคร ถึงต้องไปประท้วงกัน

ที่ผมประท้วงรอบล่าสุด ทางอิตาเลียนและไชน่าเรลเวย์เขาขอให้ผมทำงาน ถ้าตามระบบผมต้องประท้วงแค่บริษัท 9PK เพราะผมรับงานจากเขา แต่ทางไชน่าเรลเวย์กับอิตาเลียนเป็นผู้บริหารโครงการใหญ่สุดของการบริหารโครงการ สตง. เขาขอให้ผมทำงาน แล้วบอกว่าอย่าหยุดงานได้ไหม เขาบอกเขากู้เงินมาได้ 300 ล้านบาท เขาจะตัดมาจ่ายให้ผม เขาบอกมันสามารถทำได้ นี่คือเหตุผลที่หลายคนถามกันเข้ามาว่า ทำไมช่างเบิร์ดปล่อยให้ยอดเงินมันเยอะขนาดนี้ 3-4 ล้านบาท ถือว่าเยอะ ซึ่งการจ้างงาน ปกติเราจะออกค่าเครื่องมือ และเหมาค่าแรง ไม่ได้เหมาของด้วย

ต่อที่ อดิศร เกิดมงคล เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) สะท้อนในมุมของลูกจ้างที่อยู่ในระบบการจ้างงานแบบซับคอนแทค ในฐานะภาคประชาสังคมที่ลงพื้นที่ ช่วยเหลือแรงงานในเหตุการณ์นี้ สิ่งที่พบในเหตุการณ์นี้คือ ปัญหารูปแบบการจ้างงาน ที่มีการจ้างงานทั้งหมด 4 ขั้น มีทั้งแรงงานไทย และแรงงานข้ามชาติ ช่วงที่ผ่านมาการก่อสร้างไม่ได้มีมาก ก็เลยมารับเหมางานต่อ
ตอนรับงานคนรับงานคือ คนไทย แต่มีลูกจ้าง เพื่อน หรือลูกมือ เป็นแรงงานข้ามชาติ เหตุการณ์ตึก ถล่มครั้งนี้ จึงมีทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ กระบวนการที่จะติดตามคนเสียชีวิตและรอดชีวิตของไทยยังเป็นโจทย์ใหญ่

ลักษณะของแรงงานข้ามชาติที่ทำงานในไซต์ตรงตึก สตง. มีหลายรูปแบบ มีทางลูกจ้างของบริษัทใหญ่โดยตรง เช่น อิตาเลียนไทย ที่มีลูกจ้างค่อนข้างมาก และมีลูกจ้างของบริษัทอันดับ 2 คนที่รับงานต่อจากบริษัทรวม และ 3 เป็นลูกจ้างของช่างที่คัดกรณีของช่างเบิร์ด และลำดับที่ 4 คือลูกจ้างที่มารับงานต่ออีกทีหนึ่ง การช่วยเหลือเงินเยียวยาเลยมีความซับซ้อนในตัวของมันเอง สิ่งที่เราเจอเมื่อลงไปหน้างาน สิ่งที่รู้สึกเห็นและประหลาดก็คือ เหมือนเราไปงานออกร้านของหน่วยงานราชการ มีบูธ มีหน่วยงานเต็มไปหมด แต่พอไปถามข้อมูลสักอย่าง ว่าเรื่องนี้จะต้องทำยังไงต่อ จะถูกส่งไปมา
เช่น ไปถามว่า ถ้าเกิดกรณีแรงงานข้ามชาติเสียชีวิต จำเป็นที่จะต้องติดต่อญาติ หรือรับศพ จะต้องทำอย่างไร ตอนนั้นไปเต็นท์ของ กทม. ที่เป็นเต็นท์ใหญ่ เขาบอกให้ไปติดต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่อยู่ข้าง ๆ พอไปติดต่อ พม. ก็บอกให้ไปเต๊นท์ของโรงพักที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ทำให้คนที่เป็นแรงงานไม่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ เจอปัญหาความซับซ้อนของตัวการจัดการแบบนี้ ทำให้โอกาสในการเข้าถึงการช่วยเหลือต่าง ๆ ต่ำลง
ประกอบกับเรื่องของเอกสาร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดันเกิดในช่วงที่มีการขอใบอนุญาตทำงานพอดีทำให้ตัวเอกสารอยู่ในภาวะกึ่งถูกกึ่งผิด เพราะเราไปวางระบบการต่อใบอนุญาตทำงานไปผูกติดกับประเทศต้นทาง ทำให้มีปัญหาเรื่องการเข้าถึงการช่วยเหลือการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ซึ่งปกติแรงงานต่างชาติจะต้องจัดเก็บอัตลักษณ์กับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) แต่เราจะบางเคสจัดเก็บไปแล้ว แต่พอไปพิสูจน์กับตัวร่างไม่เจอข้อมูลว่าเป็นใคร นี่คือปัญหาของความไม่พร้อมของระบบก่อนเกิดเหตุ

สุธาสินี แก้วเหล็กไหล มูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน อีกหนึ่งกลุ่มที่เข้าไปช่วยเหลือแรงงานที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้ เล่าว่า ได้รับการประสานงานจากแรงงานที่เคยทำงานอยู่ในตึก สตง. ที่ไปทวงค่าจ้าง และเขาไม่จ่าย เลยเกิดการทะเลาะวิวาท หนีออกจากงานที่ สตง. ไป กลายมาเป็นเคสของเราที่จังหวัดสมุทรสาคร หลังจากนั้นเคสนี้โทรมาบอกว่าเพื่อนตัวเองเสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหว เราก็เลยไปที่แคมป์ของคนงาน
ตอนไปที่แคมป์คนงาน เราเจอแรงงานแต่ละคนนั่งแบบหมดอาลัยตายอยาก โผล่หน้าออกมาจากแคมป์ของแต่ละคน เราถามเขาว่า วันนี้เหลืออะไร เขาบอกไม่เหลืออะไร และยังไม่ได้กินข้าว เพราะไม่มีหม้อหุงข้าว ตอนนั้นก็นึกถึงวัด ว่าจะไปขอวัดยืมหม้อหุงข้าวมาให้ และหาข้าวสารมาให้

แรงงานกลุ่มนี้ที่รอดมาได้ เนื่องจากว่า ตึกกำลังก่อสร้างเสร็จ บางคนอยู่ในงานที่ออกมาเก็บเศษเหล็ก เศษไม้นอกงาน เลยทำให้รอดชีวิต บางคนแข็งแรง วิ่งไว ก็รอดชีวิตมาได้ แต่สิ่งที่ไม่รอดออกมา คือ เงิน อุปกรณ์หม้อหุงข้าวที่อยู่ใต้ซากตึก เราเลยตามหาคนช่วย ติดต่อกลุ่มนายจ้างสีขาวไป และ MWG และโทรไปปลุกที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานว่า ท่านตื่นหรือยัง คนงานตายแล้วนะ ท่านจะทำงานให้เชิงรุกอย่างไร จะมีแคมป์รับเรื่องร้องเรียนหรืออะไรไหม
ซึ่งเขาทำ และเราก็อยากรู้อีกว่า แคมป์ที่เขาทำขึ้นมาจัดตั้งแบบไหน เราก็เลยพาคนงานไปร้องเรียน เราพาคนงานไปตั้งแต่ 7.00 น. กว่าจะหาเจอ มันยากมาก เพราะเขาทำเป็นเต๊นท์เล็ก ๆ และมีภาษาไทยอยู่ข้างหลัง ป้ายเล็ก ๆ เป็นศูนย์รับเรื่องราว ไม่ใช่ศูนย์ช่วยเหลือ ในนั้นมีโต๊ะกระทรวงแรงงานอยู่ 1 โต๊ะ และโต๊ะประกันสังคมอยู่ 1 โต๊ะ ในเต๊นท์เล็ก ๆ อากาศร้อนมาก ล่ามก็มีแค่ 1 คน ใครจะเข้ามาได้ ภาษาก็มีแค่ภาษาไทย ตอนหลังมีการปรับปรุง โดยตั้งศูนย์อยู่ข้างในตลาดนัดจตุจักร แต่ตรงนั้น ถ้าคนงานไม่พาเราไป เราก็ไม่รู้

นิลุบล พงษ์พยอม กลุ่มนายจ้างสีขาว สะท้อนปัญหาให้ฟังในฐานะกลุ่มนายจ้างที่เข้าไปช่วยเหลือแรงงานและกลุ่มนายจ้างที่รอดชีวิตว่า ในวันที่ลงไป หากลุ่มแรงงานและนายจ้างไม่เจอ แต่โชคดีที่มีกลุ่มล่ามที่ลงไปทำงานกับอาจารย์อดิศร และทางพี่สุธาสินี ลงไปช่วยกัน ตอนแรกกลุ่มนายจ้างเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องติดต่อใคร หรือประสานหน่วยงานไหน ช่วยลูกน้องที่อยู่ใต้ซากตึก กลุ่มแรงงานก็ยิ่งลำบากเพราะเขาไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้คล่อง
เราเลยทำหนังสือหากระทรวงแรงงาน และได้เข้าพบท่านพิพัฒน์ เราขอให้เขาทำเป็นเซนเตอร์ในฐานะส่วนงานที่ทำเรื่องแรงงาน ประกันสังคม และสิทธิมนุษยชน แต่กว่าจะได้รับการตอบรับมา 3 อาทิตย์
สิ่งที่เราเจอปัญหา ตัวนายจ้างเจอคือยังไม่สามารถกลับไปทำงานได้ ยังไม่มีเงินจ่ายคนงานได้ เครื่องมือก็อยู่ใต้ซากตึก และคนไปก็ไปโฟกัสกันแต่เรื่องจำนวนผู้เสียชีวิต ขณะเดียวกันมีคนที่รอดชีวิตและบาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลไม่มีคนลงไปดู เขาบาดเจ็บถึงขั้นไหน ไม่มีคนลงไปเป็นเซ็นเตอร์ ไม่มีคำสั่ง เราทราบแค่ว่า ผู้ว่าฯ กทม. และ ผอ.บุญธรรม สำนักงานเขตที่เกิดเหตุลงมาดู แต่สุดท้ายสิ่งที่มันเกิดเหตุทั้งหมด ไม่ได้ถูกรวมไว้ที่เดียวกัน เราจะเห็นว่า หน้าตึก สตง. ที่ถล่ม เหมือนงานวัด ทุกคนเข้าไปทำอาหารได้หมด แรงงานจะมีเต๊นท์ให้พัก แต่มีคนนอกที่เข้าไปเยี่ยมชมตึกถล่ม เข้าไปนอนพัก เข้าไปทำอาหาร

การจำกัดวงของการช่วยเหลือ ไม่ได้ลงไปที่ตัวนายจ้าง ลูกจ้าง หรือคนที่เดือดร้อน หรือคนที่รอดชีวิตจริง ๆ ตอนนั้นพอตึก สตง. ถล่มเสร็จ ทุกคนโฟกัสการกลับบ้านช่วงสงกรานต์ คนที่เขาเดือดร้อน เขาต้องจ่ายเงินให้กับแรงงานเขา เขายังไม่ได้รับเงิน คนที่นอนเจ็บ มีใครเข้าไปเยียวยาเขา ซึ่งการเยียวยาไม่ใช่แค่เอาเงินไปให้เขา แต่ต้องดูแลเขาจนจบด้วย หลังจากนี้นายจ้างจะทำงานต่อได้อย่างไรมีเงินที่จะจ่ายคนงานไหม ข้าวของที่เสียหายมันมีลิสต์อยู่ ซึ่งคนไชน่าเรลเวย์ กับอิตาเลียนบังคับให้เขาเอาอุปกรณ์เข้าไปทำงานที่ตึก แล้วไม่ให้เอาอุปกรณ์ออกมาจนกว่างานไปแล้วเสร็จ
ดังนั้นจะมีเอกสารของทุกคนอยู่ ทางกลุ่มเราช่วยกันทำงานตรงนี้ เราเก็บข้อมูลว่าใครเดือดร้อนอะไร คนที่รอดชีวิต ไม่มีใครมองเห็นเขา ช่วงสงกรานต์ทุกคนตื่นเต้นที่จะได้กลับบ้าน ได้สาดน้ำ แต่มีคนงานกลุ่มนี้ที่เขาไม่ได้รับเงิน ไม่ได้ทานข้าว ไม่ได้พัก เขาทำงานต่อไม่ได้ แต่ละคนทำงานระบบ ต้องมีอุปกรณ์และเครื่องมือ ถ้านายจ้างเขาทำงานต่อไม่ได้ ลูกจ้างก็ถูกลอยแพร

นันทน อินทนนท์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ สะท้อนในมุมกฎหมายว่า คนเจ็บและคนตายมีบางส่วนได้รับการเยียวยา แต่บางส่วนยัง เพราะผู้บริหารร่วมค้าอยู่ในคุก เป็นปัญหาที่เราพยายามแก้ไขอยู่ตอนนี้
ซึ่งเราอาจจะต้องแยกปัญหาออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. ระบบการชำระเงินของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ 2. ระบบการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่
ปัญหาที่ฟังเมื่อสักครู่ เรื่องระบบการชำระเงิน ต้องเข้าใจก่อนว่า มันมีคู่สัญญาที่เกี่ยวข้องด้วยกันหลายฝ่ายด้วยกัน เริ่มตั้งแต่เจ้าของโครงการ ผู้รับเหมาหลัก ผู้รับเหมาช่วง และอาจจะมีผู้รับเหมาช่วงอีกที รวมถึงลูกจ้างของผู้รับเหมาหลัก ผู้รับเหมาช่วง ปัญหาการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นเป็นทอด ๆ เมื่อติดขัดช่วงไหนแล้ว จะทำให้ข้อต่อไปติดปัญหาไปด้วย ซึ่งมันมีปัญหาลักษณะนี้มานานแล้ว แต่ยังไม่มีใครคิดแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดระบบในการสร้างหลักประกันที่จะให้ลูกจ้าง หรือผู้รับเหมาช่วงได้รับเงินค่าจ้าง และทำงานต่อได้ เช่น เอาเงินไปฝากไว้ และผู้รับเหมาสามารถเรียกเงินได้ อาจจะต้องมีการดีไซน์ระบบแบบนี้อย่างจริงจัง
ขณะเดียวกันการเยียวยาค่าเสียหาย เรามีปัญหาเรื่องกฎหมายปัจจุบัน แต่สิ่งที่สภาทนายความทำ เราแบ่งวิธีการในการช่วยเหลือออกเป็น 3 ระยะ เริ่มตั้งแต่มีเหตุการณ์ตึกถล่ม เราส่งทนายอาสาเข้าไปหน้างานและรับเรื่องร้องเรียนดูแลกลุ่มผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เราแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน เช่นผู้ได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ญาติมาร้องเรียนก็ดี ผู้ได้รับความเสียหายทางร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สินต่าง ๆ เราพยายามเก็บข้อมูล ด้วยการประสานงานกับหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกรมคุ้มครองสิทธิ หน่วยงานอื่น ๆ ของกระทรวงแรงงาน

ขั้นตอนที่สองเราพยายามประสานหน่วยงานรัฐ ด้วยการติดต่อกิจการร่วมค้าให้มีการเยียวยาความเสียหายเบื้องต้นให้กับผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ เบื้องต้นมีผู้เสียหายที่เราเข้าไปเยียวยา ผู้เสียชีวิต 12 ราย ซึ่งเมื่อ 16 พ.ค. ที่ผ่านมา เราพยายามตรวจสอบอย่างรวดเร็ว โดยประสานงานกับกิจการคู่ค้า กระทรวงยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิ ในการโอนเงินให้กับผู้เสียหายในเบื้องต้นก่อนรายละ 1 ล้านบาท รวมถึงผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 8 ราย ได้นับรายละ 2 แสนบาท ได้ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว
เหตุที่มีความล่าช้า กรณีผู้เสียชีวิต อาจจะมีทายาทหลายคน เราไม่สามารถมอบหมายให้ทายาทคนหนึ่งคนใดรับเงิน 1 ล้านบาทไปได้โดยตรง ต้องมีการพิสูจน์สิทธิผู้ได้รับค่าเสียหายว่ามีใครบ้าง และเฉลี่ยกัน ถือว่าเร็ว แต่อาจจะไม่ได้เร็วตามที่สังคมคาดหวัง
จากนั้นเราพยายามรวบรวมผู้เสียหายเพิ่มขึ้น มีผู้เสียชีวิตประมาณ 40 รายที่เรามีรายชื่อที่ได้การประสานงานจากหน่วยงานรัฐ โดยมีการนัดหมายที่จะชำระเงินอีกรายละ 1 ล้านบาท ซึ่งในกลุ่มนี้จะมีแรงงานที่เป็นแรงงานข้ามชาติ มีผู้เสียชีวิตเป็นชาวเมียนมา และมีญาติติดต่อมา 5 ราย ในจำนวนนี้มี 3 ราย ที่ไม่มีสมุดบัญชี เราประสานงานว่าจะทำอย่างไร ในกรณีที่ไม่มีสมุดบัญชี ในกิจการร่วมค้าก็ยินดีที่จะชำระเป็นเงินสด สำหรับผู็เสียหายทั้ง 3 ราย
แต่ในส่วน 42 ราย เกิดความฉุกละหุก ในวันนั้นมีการออกหมายจับผู้บริหารของกิจการร่วมค้าทั้ง 2 ราย จึงเกิดการชะงัก แต่ระหว่างนี้เราพยายามที่จะประสานทั้ง 2 ท่าน ผ่าน ผอ.เรือนจำ ในการดำเนินการชำระค่าเสียหายเบื้องต้นให้กับบุคคลเหล่านี้ ถามว่าทำไมมันช้า เพราะระบบการเยียวยาเพื่อประโยชน์ทางมนุษยธรรม ต้องเห็นใจผู้ต้องหาเหมือนกันว่า เขาพยายามที่จะมีการจ่ายเงินอย่างเต็มที่ โดยดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมา ไม่ได้มีความพยายามที่จะเยื้อแต่อย่างใด แต่พยายามทำให้เป็นระบบมากขึ้น

สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่าในระยะเวลาอีกไม่นาน ความเสียหายในลักษณะนี้จะได้รับการเยียวยาโดยเร็ว และอีก 1-2 อาทิตย์ สำหรับผู้เสียชีวิต น่าจะได้การเยียวยา แต่ในส่วนอื่น กลุ่มที่ได้รับความเสียหาย อุปกรณ์ ผมคิดว่าเป็นการละเมิด ผมแปลกใจในความเห็นของนักกฎหมาย หน่วยงานภาครัฐ เจ้าของโครงการไม่มีการเทคแอคชั่นในการเยียวยาคนที่ได้รับความเสียหายในลักษณะนี้ จะไปรอผู้รับเหมาอย่างเดียวไม่ได้ ความรับผิดชอบของภาครัฐต้องมีก่อนอันดับแรก จะไปรอประกันไม่ได้
ในต่างประเทศ มีระบบประกันภัยภาคบังคับสำหรับภาคก่อสร้างขนาดใหญ่ แต่ประเทศไทยยังไม่มี เปรียบเทียบกับประกันภัยรถยนต์ ที่เป็นประกันภัยภาคบังคับ รถยนต์ทุกคันต้องมีการประกันภัย ไม่มีต้องมีการพิสูจน์สิทธิ ไม่ต้องพิสูจน์ว่าความเสียหายเกิดจากใคร บริษัทประกันภัยมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินเบื้องต้น โดยไม่ต้องมีข้อแม้ แต่บ้านเราไม่มีระบบนี้หลังจากนี้บทเรียนที่เราถอดมาคงจะเป็นภารกิจของหน่วยงานภาครัฐ คปภ. หรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่ต้องมาออกแบบระบบประกันภัยแบบภาคบังคับ สำหรับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ให้ดีขึ้น ผู้เสียหายต่าง ๆ สามารถเคลมได้ทันที โดยไม่ต้องพิสูจน์ ว่าความเสียหายเกิดจากการออกแบบ หรือเกิดจากความผิดพลาดของวิศวกร ก้าวข้างหน้าเราน่าจะมีกฎหมายลักษณะแบบนี้ และระบบเราจะดีขึ้น

วนิดา กองแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนเงินทดแทน กล่าวถึงการจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ประสบเหตุว่า ตอนนี้ทำประกันสังคมได้จ่ายเงินไปแล้ว 77 ราย ซึ่งการจ่ายเงินของประกันสังคม จะใช้ว่าค่าทดแทนรายเดือน 10 เดือน ส่วนเงินที่จะได้รับทันที คือ ค่าทำศพ 50,000 บาท ค่าทดแทนรายเดือนระยะเวลา 10 ปี เงิน 1 ก้อนที่จ่ายมา ประมาณล้านเศษ สำหรับคนที่ค่าจ้างสูง หรือถ้าค่าจ้างแรงงานรายวัน 372 บาท ก็จะได้ประมาณ 800,000 กว่าบาท จะถูกจ่ายเป็นรายเดือนกว่าจะครบ 10 ปี การจ่ายก็จะจ่ายไปเรื่อย ๆ ยกเว้นบางรายที่เราให้โอกาสสำหรับพ่อแม่ที่จะขอรับเงินก้อนได้ แต่เงินก้อนจะถูกหักส่วนลด จะไม่ได้ทั้งก้อน ส่วนบุตร จะได้รับจนอายุ 18 ปี และคู่สมรสจะรับได้ล่วงหน้ารายปี ตอนนี้ที่อนุมัติไป จะมีปัญหาบางรายที่ไม่มีทายาท จึงไม่ได้จ่ายจากกองทุนเงินทดแทน
ปัญหาหนัก ๆ ที่เราเจออีก ก็คือข้อมูลนายจ้าง กว่าจะตามหานายจ้างมาขึ้นทะเบียนได้ นายจ้างมาขึ้นทะเบียนแล้ว ก็ยังขึ้นไม่ครบ ข้อมูลที่ขึ้นมาจากนายจ้างแจ้ง ซึ่งถ้าลูกจ้างรายใดยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน สามารถร้องเรียนได้ และการขึ้นทะเบียนที่มีประเด็นพาดพิง ว่านายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบ
ซึ่งการที่นายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบ เป็นหน้าที่ของประกันสังคมต้องติดตาม แต่สำหรับการจ่าย เราจ่ายปกติ ขอแค่มีข้อมูลมาก่อน และค่าทดแทนสำหรับคนที่สูญหายอีก 4 ราย สุดท้ายแล้วสูญหายมีบันทึกประจำวันจากตำรวจ 120 วัน จะเป็นกรณีสูญหายที่ไม่ใช่เสียชีวิต
ข้อมูลตรงนี้ที่มีระบุส่วนใหญ่จะเป็นผู้เสียชีวิตกับผู้สูญหาย มีบาดเจ็บเพียง 7 รายเท่านั้น ส่วน 2 รายที่บาดเจ็บเล็กน้อย เราไม่ได้มีข้อมูล ส่วน 7 ราย สำหรับค่ารักษาต่อเนื่อง ใช้ใบเสร็จ ใบรับรองแพทย์ ยื่นเบิกได้เลย เพราะทั้ง 7 ราย นายจ้างได้ขึ้นทะเบียนแล้วแจ้งประสบอันตรายให้ทั้งหมดแล้วส่วนเรื่องของค่าหยุดงาน 7 รายนี้ถ้ามีใบรับรองแพทย์เราจ่ายให้หมด
ขณะนี้ยังมีอีก 15 รายที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ และมีบางส่วนที่ยังไม่ได้รับศพ เรายังไม่มีข้อมูลว่ามีใครบ้างที่ยังไม่ถูกรับศพไปจากนิติเวช

การจ่ายเงิน ถ้าขึ้นทะเบียนประกันสังคม เราจะไล่ตั้งแต่ล่างขึ้นมาก่อน ถ้าลำดับแรกไม่มีเราจะไล่ชั้นขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะนายจ้างบางรายที่เสียชีวิตไปพร้อมกับลูกจ้างก็มีเราจะไล่ไปเรื่อย ๆ จนถึงไชน่าเรลเวย์
ทั้งนี้ วนิดา ได้กล่าวภายหลังถึงเรื่องการสั่งจ่ายเงิน เนื่องจากติดปัญหาเรื่องการพิสูจน์อัตลักษณ์ การหาทายาทของแรงงานข้ามชาติ ซึ่งได้ประสานกับสถานฑูตในไทยไป เพื่อประสานกลับไปยังประเทศต้นทาง สิ่งที่ทราบมาคือ เอกสารหลักฐานของแรงงานข้ามชาติค่อนข้างแตกต่างกัน ในแต่ละเมือง การจดทะเบียนสมรส ในแต่ละเมืองมีความแตกต่างกัน และแรงงานที่เข้ามาไม่มีการเก็บข้อมูลอื่น ๆ จะมีแค่ข้อมูลของตัวเขาเอง การจ่ายเงินจึงดำเนินการได้ช้า

ด้านจิฬาภรณ์ ตามชู กฤษณสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ด้วยความที่รัฐมนตรีเห็นประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก หลังจากเกิดเหตุ 1 วัน ท่านรัฐมนตรีลงพื้นที่ไปกับทางทีม เพื่อให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่และมีการนำของอุปโภคบริโภคไปสมทบกับทาง กทม. เพื่อให้แต่ละคนมีอาหารการกิน และนำนักจิตวิทยาของกรมพินิจเข้าไปช่วยดูแลเรื่องของจิตใจ
หลังเกิดเหตุ ท่านรัฐมนตรีเป็นประธานเป็นคนกลางให้กับบริษัทร่วมค้า เป็นคนมาจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บ แต่เกิดปัญหานิดหน่อย เมื่อศาลมีการออกหมายจับ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ทำให้เกิดการติดขัดนิดหน่อย ซึ่งทางเรามาช่วยกับทางสภาทนายความในสืบหาทายาทที่แท้จริงของผู้เสียหาย
และอีกด้าน เรามาช่วยเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยให้กับช่างเบิร์ดในส่วนที่ช่างเบิร์ดยื่นเรื่องร้องทุกข์เข้ามากับทางกระทรวงว่ายังไม่ได้รับค่าจ้างเราเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยให้กับทางบริษัทร่วมค้ากับบริษัทอิตาเลียน เราได้จ่ายเงินก้อนแรกให้กับช่างเบิร์ด ร่วมกับผู้รับจ้างอีก 22 รายเป็นเงิน 5 ล้านกว่าบาท ตอนนี้นัดอีกทีวันที่ 11 มิ.ย. นี้ ดูกันอีกทีว่าจะยังไง ตอนนี้เหลืออีก 4 ล้านบาท
ถือว่าเราเป็นคนกลางในการเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยตอนนี้เราดำเนินการไกล่เกลี่ยเหมือนช่างเบิร์ดที่มาร้องทุกข์เราจะดำเนินการแต่ถ้าเรื่องของอุปกรณ์ที่มีปัญหาไม่สามารถดำเนินการกับกิจการร่วมค้าได้ต้องเข้ามาร้องทุกข์กับทางเราเราก็จะเป็นคนกลางในการเข้าไปเจรจา เราจะพยายามทำให้เต็มที่
ส่วนเรื่องของการเยียวยา เดิมทีเป็นเรื่องของแผ่นดินไหว แต่เมื่อสารออกหมายจับ 13 คน เข้าสู่ของหลักเกณฑ์ของกระทรวงยุติธรรม ก็คือเป็นผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายแก่ชีวิตและจิตใจจากการกระทำความผิดอาญาผู้อื่น โดยตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งกรมก็จะเข้ามาช่วย เพราะมีการออกหมายจับและถูกดำเนินคดี โดยรายที่เสียชีวิตจะได้รับการช่วยเหลือจากกระทรวงยุติธรรมเพิ่มรายละ 200,000 บาท ส่วนบาดเจ็บจะขึ้นอยู่กับการรักษาก็จะ ช่วยค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟู ค่าขาดประโยชน์ หรือค่าเสียหายอื่น
แต่ตอนนี้เรากำลังที่จะพยายามรวบรวมหลักฐานและสืบทายาท เราติดปัญหานิดหน่อยเรื่องการสืบทายาทเพราะต้องเป็นทายาทตัวจริง ที่จะได้รับเงินจากการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของผู้เสียหายในครั้งนี้ ตอนนี้ทยอยเข้าอนุกรรมการช่วย อย่างที่บอกการเยียวยาไม่ใช่แค่หน่วยยุติธรรมอย่างเดียว การเยียวยาในเคสนี้มีหลายหน่วย แต่หน่วยไหนจะเป็นแกนกลางเท่านั้นเอง

ศักดิ์ศิลป์ ตุลาธร ผู้ตรวจราชการกรม กสร. กล่าวถึงบทบาทการทำงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งปกติจะดูภารกิจหลักในเรื่องของค่าจ้างค่าแรงขั้นต่ำ ความปลอดภัย และในเรื่องของแรงงานสัมพันธ์ รวมถึงสวัสดิการแรงงานและมาตรฐานแรงงานไทย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ต้องบอกก่อนว่า เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบังคับให้เกิดขึ้นได้ เป็นอุบัติภัย ถ้าตามทฤษฎีในเรื่องของ สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุมี 2% แต่ดันเกิดที่บ้านเรา เมื่อเกิดเหตุขึ้น จะบังคับนายจ้าง ว่าทำไม่ดีก็ไม่ใช่ เพราะมันเกิดโดยอุบัติเหตุที่เราไม่คาดคิด
ตอนเกิดเหตุ ทางกรมได้เรียนแจ้งไปทุกจังหวัด เพื่อสอบถามว่า มีบริษัทไหนที่มีการปรับแผนฉุกเฉินรองรับในเรื่องของแผ่นดินไหว ปรากฏว่ามี บางบริษัททำแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เยอะ ตรงนี้ก็เป็นมาตรการถัดไปที่เราจะขอความร่วมมือและบังคับให้ทุกสถานประกอบกิจการมีการเร่งทำแผนฉุกเฉินตรงนี้ ซึ่งยังไม่ได้มีกฎหมายบังคับชัดเจน ตอนนี้กฎหมายบังคับจะมีแค่เรื่องของอัคคีภัย หรือเรื่องของที่อับอากาศที่บังคับให้ต้องมีแผนชัดเจน
การดำเนินงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเมื่อเกิดเหตุขึ้นท่านรัฐมนตรีและท่านปลัดไม่ได้นิ่งนอนใจ ตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือแรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวเลยวันที่ 28 มีนาคม และก็ 29 เราก็ขอเร่งประชุมดำเนินงานช่วยเหลือ และเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องความปลอดภัย กรมสวัสดิการให้ ผอ.บุญธรรม ผู้ดูแลรับผิดชอบเขตที่ตึก สตง. อยู่ คือ เขตจตุจักรมาเตรียมประสานงานรองรับ ดูแลความเรียบร้อยและประสานกับประกันสังคม จัดหางาน เพื่อมารองรับกรณีที่ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบมาปรึกษา ตอนแรกอยู่ตรงบันไดทางขึ้นของ JJ Mall หลังจากนั้นเนื่องจากมีที่ว่างที่ กทม. ด้านในหลืบ ก็เลยโยกย้ายขยับมาอยู่ตรงนั้น ที่เป็นประเด็นว่าทำไมถึงไปอยู่ข้างใน ผมก็มองเหมือนกับพี่เขา ว่าทำไมถึงไปอยู่ตรงนั้น แล้วใครจะเข้าไปหา แต่ตอนหลังก็มีป้ายมา ก็เลยว่าไม่เป็นไร

ในส่วนของกรมสวัสดิ ที่ดูแลในส่วนของลูกจ้าง พอรู้เหตุก็ให้ ผอ. เขต รวมถึงกรมคุ้มครองแรงงานประสานไปว่าไซต์นี้มีใครเป็นนายจ้างบ้างเราก็รับทราบทุกคนก็คือหลักๆมี 2 เจ้าหลังจากนั้นก็ประสานกับสองเจ้านี้ว่ามีบริษัทไหนซับลงมาอีก ก็รู้มาว่าช่างเบิร์ดก็อยู่ใต้ บริษัท 9PK ซึ่ง ผอ.เขตก็เชิญมาพบในวันที่ 3 เมษายน เพื่อรวบรวมข้อมูลว่าไซส์นี้มีใครเป็นซับคอนแทคอยู่บ้าง สิ่งที่เจอก็คือบางบริษัทเราไม่สามารถติดต่อนายจ้างได้ บางคนไม่ให้ข้อมูลเราให้ไม่ได้เพราะไม่รู้เรื่องอะไร แล้วเราก็เชิญมาอีกวันที่ 11 เมษายน รวมทั้งหมดประมาณ 46 ราย ในเมื่อมาที่สสร 9 ก็เชิญทางประกันสังคมมาและเชิญทางกรมจัดหางานมาเพื่อบูรณาการข้อมูลกัน ว่าคนไหนยังไม่ได้รับการจ่าย บริษัทมีการจ่ายค่าจ้าง หรือว่าขึ้นประกันสังคมไว้ไหม
หลังจากที่เชิญมา มีบางบริษัทที่ 2 บริษัทใหญ่ ไม่ได้จ่ายเงิน ไม่ได้จ่ายค่าจ้าง เราก็อาศัยอำนาจบังคับให้เขาจ่าย ประมาณ 20 ราย ที่ได้รับการช่วยเหลือตรงนี้เป็นเงินประมาณ 8 ล้านกว่าบาท เราช่วยเหลือตรงนี้ เพราะรู้ว่าจากเหตุการณ์ที่ช่างเบิร์ดมา ยังมีส่วนอื่นอีกหลายส่วน ที่เจอเหตุการณ์เดียวกัน เราก็เลยเชิญมาก่อน เพื่อช่วยเหลือดูแลเขาก่อน

ปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการยกระดับมาตรฐานการก่อสร้างฯ กล่าวกับผู้ตรวจราชการกรม กสร. ว่า อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่อุบัติภัย แม้นี่คือแผ่นดินไหวขนาด 7.7 แต่ตึกในประเทศไทยไม่พังสักตึก และไม่ได้เสียหายมากมายถึงขั้นจะพังในอนาคต ครั้งนี้เกิดจากการคอรัปชั่น การไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบหลายเรื่องตั้งแต่ต้น ซึ่งเราพบสาเหตุแล้ว จะต้องถูกพิจารณาในอีกมิติ
สิ่งที่เกิดขึ้นถ้าเรามองอย่างผิวเผินเราคิดว่ามันเป็นแผ่นดินไหวซึ่ง 120 กว่าปีเกิด 1 ครั้งและแน่นอนว่าจะเกิดอีกในอีกร้อยกว่าปี ถ้าคิดแบบนี้ก็รอวันตายข้างหน้า ในมุมมองของคณะกรรมาธิการ ที่ผมเป็นประธานมีผู้แทนราษฎรจากทุกพรรคและผู้แทนของ ครม. เรามองเรื่องนี้ไปไกลกว่านั้น
- เรามองว่านี่เป็นแผ่นดินไหวของระเบียบราชการ สตง. เป็นหน่วยที่จะต้องควบคุมกำกับ ให้ทุกหน่วยราชการปฏิบัติหน้าที่ไปตามระเบียบราชการ แต่กลับไม่ปฏิบัติซะเอง ล่ะรวมหลายข้อมาก ตั้งแต่ต้นจนจบ จนถึงวันนี้ ก็ยังบิดพลิ้วรวมถึงหน่วยราชการอื่น ๆ ก็ไม่แน่อาจจะปฏิบัติอย่างนี้ด้วย ละเลย ตั้งใจหรืออย่างไร วันหน้าก็อาจจะต้องดูกันไป นี่คือแผ่นดินไหวต่อระเบียบราชการไทย
- เป็นแผ่นดินไหวทางด้านวิศวกรรม เราเคยเชื่อมั่นในวิศวกรของเรา เราเคยเชื่อมั่นในองค์ความรู้ของเราในการออกแบบตึกที่มีมาตรฐาน ที่สร้างความปลอดภัย แต่ไม่ปลอดภัยเสียแล้ว เพราะว่าเราอาจจะไม่เคยนึกว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ที่รอยเลื่อนสกาย ที่ห่างจากกรุงเทพฯ กว่าพันกิโลเมตร จะส่งแรงสะเทือนได้ขนาดนี้
การที่ตึกมาตั้งอยู่ในเขตภาคกลางตอนล่าง ซึ่งในอดีตเมื่อหมื่นปีที่แล้วเป็นทะเล ใต้เราลงไปลึกไปประมาณ 50 ถึง 100 เมตร เป็นดินเหนียวแข็ง ตอนนั้นเราสงสัยว่า เมื่อเกิดแผ่นดินไหวมันจะแรงขึ้นหรือว่าจะลดลงตอนนี้ค้นพบแล้วว่า มันเพิ่มขึ้น เพราะแรงที่มาเป็นคลื่นยาว เข้ามาเจอดินที่อยู่ชั้นล่างมันจะหยุดชะงักนิดนึงก่อนที่จะส่ง แรงสั่นสะเทือนโยนไปโยนมาจะเห็นได้จากภาพที่มีบ่อน้ำโยกไปโยกมา ใต้ดินเราเป็นอย่างนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันข้างหน้าคือเราจะต้องยกระดับโค้ชของการออกแบบใหม่ให้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวได้ที่ 7 หรือ 8 แต่ถ้าเราออกโค้ชแบบนี้ออกมา ก็จะมีปัญหาเพราะว่าค่าก่อสร้างจะแพงมาก ถ้ามองทางด้านเศรษฐศาสตร์หรือทางการทำธุรกิจจะไปไม่ไหว
- เป็นการไหวในเรื่องของระบบการก่อสร้าง ยกเว้น กรณีเซ็นทรัลที่โคราช กับกรณีตึกที่กรุงเทพฯ ที่ไปต่อเพิ่มโดยไม่ขออนุญาต ที่ผ่านมาเราไม่เคยนึกว่าตึกที่สร้างโดยสมบูรณ์โครงสร้างภายนอก จะพังลงมา หมายความว่าเราจะต้องไปดูระบบการก่อสร้างใหม่ ว่าเป็นอย่างไร
- เป็นการไหวทางศีลธรรมครั้งใหญ่จากการไม่รับผิดชอบหรือการรับผิดชอบไม่พอเพียงของหลายคนหลายหน่วยงานราชการหลายองค์กรจึงทำให้รวนเรแบบนี้การจะแก้ไขศีลธรรมให้ดีกว่านี้กรรมาธิการชุดผมคงไม่มีปัญญาเพราะศีลธรรมคือสันดานการจะแก้ศีลธรรมหรือสันดานของสังคมไทยเรา 65 ล้านคนต้องช่วยกันตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันหน้ารุ่นลูกหลานไม่อย่างนั้นจะเป็นแบบนี้ต่อไป
อย่างกรณีนี้เราต้องไม่ยอมจบง่าย ๆ เราต้องเดินหน้าต่อประเทศไทยเอาโอกาสดีที่เสียไป 100 คนและเงิน 2,500 ล้านที่เสียหายไปเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงประเทศในเสี้ยว 1 เสี้ยวใดให้ได้อย่าปล่อยให้เพียงแต่ผ่านไป

เรื่องคนงาน จะมีกฎหมายพระราชบัญญัติอย่างน้อย 7 พระราชบัญญัติ ที่จะถูกแก้ไข
- พ.ร.บ.ผังเมือง
- พ.ร.บ.ควบคุมโรงงาน
- พ.ร.บ.ควบคุมการก่อสร้าง
- พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม
- พ.ร.บ.ประกันสังคม
- พ.ร.บ.แรงงาน
- พ.ร.บ.คนต่างด้าว
และจะถึงระดับประกาศของกระทรวงด้วย ซึ่งก็หนักใจในการแก้กฎหมายจำนวนมากพร้อม ๆ กัน เพราะประเทศไทยไม่เคยมีแบบนี้มาก่อน แต่มันต้องมี จะแยกกรรมาธิการเป็น 10 คณะก็ได้ แต่ผมเชื่อว่า กรรมาธิการเขาเอา เพราะกรรมาธิการชุดผม แต่งตั้งโดย สส. ครบทุกคน ไม่มีใครมีความเห็นอื่น ซึ่งรายละเอียดที่จะเสนอมีดังนี้
ด้านแรงงาน
- จะต้องมีการลงทะเบียนในทุกโครงการ ชื่อ ที่อยู่ ผู้ติดต่อ
- จะต้องมีการฝึกอบรมคนงานในเรื่องของความปลอดภัย
- เครื่องแต่งการ และอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยต้องมีครบ
- ตารางการทำงานต้องชัดเจน ใคร ทำที่ไหน อย่างไร จะได้ตามหาได้
- ต้องมีประกันอุบัติเหตุจากนายจ้างทุกคน
- ต้องมีระเบียบกับแรงงานข้ามชาติ เพราะแนวโน้มของแรงงานข้ามชาติที่จะเข้ามาทำงานก่อสร้างในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
การเผชิญเหตุ
- เส้นทางก่อสร้างจะถูกบังคับให้มีเส้นทางปลอดภัย เหมือนตอนประกาศสึนามิ
- ต้องมีที่หลบภัย
- ต้องมีการเตือนภัยในไซต์ก่อสร้าง เช่น มีกล้อง CCTV มีเสียงบอกให้รู้ทันที
- การค้นหาและการกู้ภัย ต้องมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ตอนนี้เราช่วยกันทำ แต่ต่อไปต้องเป็นระบบ
การช่วยเหลือเยียวยา
- ต้องมีงบประมาณ หรือกองทุนฉุกเฉินประเภทนี้ขึ้นมา รัฐออกส่วนหนึ่ง บริษัทออกส่วนหนึ่ง และมีคณะกรรมการ ใช้งานได้ทันที
- ต้องมีศูนย์อำนวยความสะดวกให้กับครอบครัวที่อยู่ตรงนั้น
- ต้องมีการลงทะเบียนหน่วยงานเอกชนที่มาช่วยให้ชัดเจน
- ขบวนการจ่ายเงินที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องรับผิดชอบ ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา ทางวินัย เ
ความปลอดภัยของสาธารณะชน
- สิ่งก่อสร้างที่สูง หรือโรงงานบางประเภทต้องมีระยะห่างชุมชนชัดเจน
- เสียงที่ดัง แสงที่สว่าง ของที่หล่นลงมา จะชดใช้ให้บ้านที่อยู่รอบ ๆ อย่างไร หรืออนาคตอาจจะเหมือนที่สวิซเซอร์แลนด์ จะไปก่อสร้างที่ไหนต้องถามรอบ ๆ ว่าให้ก่อสร้างไหมก่อนที่จะสร้าง

อย่างเหตุการณ์ สตง. ก็มีคำถามว่าจะมาทำไมที่นี่ ทั้ง ๆ ที่คุณขอไปสร้างที่ปทุมธานี ตามนโยบายของรัฐบาลในการกระจายหน่วยราชการออกจากกรุงเทพฯ เพื่อไม่ให้แน่นอยู่ในกรุงเทพฯ คุณไปขอที่ได้ 14 ไร่ จ้างออกแบบเสียเงินไป 22 ล้านบาท แล้วเปลี่ยนใจเข้ามาอยู่กลางเมือง การรถไฟเขาก็ให้เช่าปีละ 100 ล้านบาท เสียเงินออกแบบใหม่ สตง. ทำได้อย่างไร ถ้าหน่วยงานอื่นทำ แล้วคุณไปตรวจ คุณจะว่าอย่างไร
เรื่องการเตือนภัย ผมเป็นคนให้กำเนิดศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ หลังเกิดเหตุการณ์สึนามิ ตอนหลังเราโอนไปให้ ปภ. เมื่อตึกพัง อันดับแรกวิธีการของหน่วยราชการจะทำการค้นหาว่าใครรอดชีวิตบ้าง และนำตัวออกมา ทุกอย่างจะทุ่มเทไปที่ตรงนั้นหมด พอตอนจบก็จะเริ่มเข้าสู่การจ่าย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดยากในเชิงปฏิบัติ เพราะหากใครเดือดร้อนก็ใจร้อนเป็นธรรมดา ถ้าบริษัทหรือคนเข้าใจว่าวินาทีนี้ เราต้องอดทน ให้เขาทำเรื่องคนที่อาจจะมีชีวิตอยู่ก่อน เพราะการที่จะทำทุกเรื่องไปพร้อมกันมายาก ต้องให้เขาทำทีละขั้นตอน และขณะเดียวกัน เมื่อจัดการเสร็จ รัฐ หรือบริษัทต้องตามไปจ่ายเขาไม่ใช่ให้เขาเสียสละอย่างเดียว

วันนี้ผมเสียเวลากับ ผู้ว่าฯ สตง. เพราะผมให้เกียรติท่านเกินไป เชิญไป 4 ครั้งแล้ว จนวันนี้ไม่เชิญแล้ว ผมมีอีกหลายเรื่องต้องจัดการ แต่ผมฝากผ่านตรงนี้ เผื่อท่านจะได้ยิน ท่านไปตั้งสติ ท่านทำงานมานาน ท่านคงมีความดีเยอะแยะ และมีสติปัญญา ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตั้งท่านเป็นผู้ว่าฯ ถ้าท่านจะรักษาเกียรติของท่าน และของหน่วยงาน ท่านต้องให้ความร่วมมือกับฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมีคณะกรรมาธิการของผมเป็นตัวแทน ท่านทำแบบนี้ สร้างตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสังคมไทย

นันทน อินทนนท์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ เสริมต่อในส่วนของข้อเสนอว่า เราควรจะมีประกันภัยภาคบังคับ อย่างที่ท่านปลอดประสพกล่าว อาจจะมีการจัดตั้งกองทุน หรือการประกันภัยภาคบังคับที่ไม่ต้องพิสูจน์ว่าใครเป็นผู้สร้างความเสียหายอย่างแท้จริง และมีระบบการเยียวยาเบื้องต้นก่อน ซึ่งระบบกฎหมายแบบนี้น่าจะทำให้ระบบกฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต และสภาทนายความก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ ออกแบบดีไซด์ ให้ความเห็นกับหน่วยงานภาครัฐในอนาคต

ปิดท้าย นิลุบล พงษ์พยอม กลุ่มนายจ้างสีขาว กล่าวทิ้งท้าย ขอบคุณทุกส่วนที่จะสานเรื่องนี้ต่อจนจบ จนกว่าทุกคนจะเข้าสู่ภาวะปกติสุข เพราะปัจจุบัน ปัญหาไม่ได้ถูกแก้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เป็นนายจ้าง แรงงาน คนที่สื่อสารภาษาไทยกับเราไม่ได้ ทายาทของผู้เสียชีวิตบางคน ยังไม่ได้รับเงิน เขาขาดเสาหลักของเขาไป เราเห็นสิ่งที่ท่านพยายามทำ บ้านเรากฎหมายเยอะมาก แต่ไม่ได้ถูกนำไปใช้ ต่อให้ท่านทำเรื่องกฎหมาย แต่หน่วยงานเจ้าหน้าที่ หรือทุกคนไม่ทำอะไรตามกฎระเบียบ
อย่างตึกนี้มีคนเสียชีวิต แต่ทำไมเราถึงยังไม่รู้เลยว่า อีก 7-9 คน เป็นใคร ญาติเขาคือใคร ทายาทเขาอยู่ไหน ความรับผิดชอบของคนที่ดูแลเรื่องคนงาน คนเข้าตึก ณ วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นกล้องวงจรปิด หรือใด ๆ ที่ท่านปลอดประสพพูด เราเห็นดีด้วยทุกประการ

แต่ ณ วันนี้ ที่ตัวแทนแรงงาน และนายจ้างของผู้เสียชีวิตที่นั่งกันอยู่ทุกวันนี้ คนที่รอดชีวิตยังไม่มีการพูดถึง ว่าจะเยียวยาและแก้ไขอย่างไร ให้เขาทำงานหากินต่อได้ เรื่องของประกาศ กฎหมายเรามีบังคับใช้อยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้หน่วยงานราชการมีเซอร์วิสตรงนี้ และคำนึงถึงคนที่กำลังเดือดร้อน อาจจะไม่ใช่แค่กลุ่มนี้ ไม่มีใครการันตีได้ว่าจะมีแค่ตึกนี้ตึกเดียวที่ถล่มในวันข้างหน้า และภัยพิบัติอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน วันนี้เรายังไม่เห็นหน่วยงานไหนออกมาเป็นเซ็นเตอร์ โดยที่เราไม่ต้องทวงถามไป เราต้องทวงถามไปทุกหน่วยงานว่าตอนนี้ทำอะไรไปถึงไหน ประชาชนจะอยู่อย่างไร อนาคตข้างหน้าถ้ามีภัยพิบัติต่อ ทุกคนมองหน้ากันว่าเราจะต้องเอาตัวรอดกันเอง โดยที่ราชการ หรือรัฐบาลไม่ออกมายื่นมือ หรือมีคำสั่งอะไร ท่านนายก ท่านยังเงียบอยู่ ลงพื้นที่แค่วันแรก ท่านยังไม่เอาอำนาจของท่านมาทำให้เรื่องนี้จบอย่างไว
รับชมบทสนทนา จากเสวนาฟังเสียงประเทศไทย : ถอดบทเรียนตึก สตง. ความปลอดภัยและชีวิตคนทำงาน ย้อนหลังแบบเต็ม ๆ ได้ที่
– โหวตฉากทัศน์ –
หลังจากได้ฟังเสียงสะท้อน จากการถอดบทเรียนของหน่วยงานภาครัฐ นายจ้าง และลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้แล้ว คุณคิดว่าประเทศไทยควรจะเริ่มแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ทางรายการเรามี ฉากทัศน์ที่เป็นตุ๊กตาตั้งต้นให้กับทุกท่านได้ลองโหวตเลือกกัน โดยจัดลำดับจาก ฉากทัศน์ขั้นต่ำ ไปจนถึง ฉากทัศน์เชิงโครงสร้าง และฉากทัศน์ในอุดมคติ

ฉากทัศน์ที่ 1 เยียวยาอย่างมีมนุษยธรรม – สื่อสารความรับผิดชอบ
ภายใต้สถานการณ์ภัยพิบัติที่อาจมีความถี่และทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต การตอบสนอง ต่อเหตุการณ์อย่างทันท่วงทีถูกให้ความสำคัญเป็นวาระของสังคม รัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเจ้าของโครงการรับผิดชอบการเยียวยา ทันที แก่ผู้เสียหาย เปิดเผยผลสอบสวนสาธารณะ โปร่งใส และมีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน
มีการรวบรวมองค์ความรู้เป็นคู่มือ เพื่ออบรมเจ้าหน้าที่และแรงงานเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน รวมทั้งการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการต่าง ๆ ที่นำมาสู่การดูแลคุ้มครอง ชดเชย เยียวยาทั้งแรงงานและนายจ้าง เพื่อเตรียมทุกคนให้พร้อมรับมือหากเกิดภัยพิบัติ
“ไม่ควรมีใครต้องตายเงียบ เพียงเพราะไม่มีบัตรประชาชนไทย” แรงงานไทยและข้ามชาติที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ ได้รับการเยียวยาทันทีและเสมอภาค โดยไม่ขึ้นกับสัญชาติ
รัฐแสดงความรับผิดชอบ ทั้งในเชิงนโยบายและเชิงมนุษยธรรม เช่น ส่งตัวแทนเยี่ยมครอบครัวแรงงานข้ามชาติ จัดเตรียมล่ามและแปลเอกสารกระบวนการขอค่าชดเชยให้ครอบครัวแรงงานต่างชาติ ทำ MOU กับสถานทูตของแรงงาน เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องเอกสาร
สิ่งที่เกิดขึ้นจะลดความรู้สึกว่าภาครัฐละเลย คืนความไว้วางใจแก่สังคมระดับหนึ่ง แต่อาจยังไม่ป้องกันเหตุซ้ำในระบบได้
ฉากทัศน์ที่ 2 สร้างกลไกคุ้มครองแรงงาน – ปฏิรูปวิธีจัดจ้างของรัฐ
รัฐมุ่งปรับเปลี่ยน กฎ กติกา และระบบสนับสนุนความปลอดภัย อาทิ ปรับระบบจัดซื้อจัดจ้างโดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ไม่ใช่แค่ราคาต่ำสุด ออกข้อกำหนดใหม่ให้โครงการของรัฐทุกแห่งต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยแรงงานเทียบเท่าโรงงานอุตสาหกรรม
ผู้รับเหมามีหน้าที่อบรมแรงงานและส่งรายงานการจัดการความปลอดภัย ส่วนเจ้าของโครงการซึ่งเป็นหน่วยราชการต้องตรวจสอบรายงานก่อนอนุมัติงวดเงิน จัดตั้งกองทุนเยียวยาแรงงานเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินโดยไม่ต้องรอคดี และบังคับให้ผู้รับเหมาและวิศวกรควบคุมรายงานแผนความปลอดภัยและการบริหารความเสี่ยงต่อรัฐ
“แรงงานไม่ได้ต้องการแค่ค่าแรง แต่ต้องการกลับบ้านอย่างปลอดภัย” ทุกโครงการก่อสร้างของรัฐควรต้องบังคับให้แรงงานข้ามชาติ ขึ้นทะเบียนถูกต้อง โดยไม่ซับซ้อน และมีการทำฐานข้อมูลผู้รับเหมาที่มีประวัติอุบัติเหตุซ้ำซาก
จัดการอบรมความปลอดภัย ในภาษาของแรงงาน มีสายด่วนหรือระบบแจ้งเหตุไม่ปลอดภัยในไซต์งาน เพื่อรับมือได้ทันท่วงที ตั้งระบบ “กรรมการร่วมดูแลความปลอดภัย” ที่มีตัวแทนแรงงานร่วมอยู่
สิ่งที่เกิดขึ้นจะลดความเสี่ยงจากต้นเหตุในไซต์งาน แรงงานมีช่องทางร้องเรียนและเข้าถึงการเยียวยา และรัฐมีเครื่องมือควบคุมมากขึ้นโดยไม่ต้องรอเหตุร้าย
ฉากทัศน์ 3 รัฐรับผิดชอบเชิงระบบ – ปฏิรูปลึกทั้งโครงสร้าง
ร่วมเปลี่ยนทั้งโครงสร้างอำนาจ ความรับผิดชอบ และระบบตรวจสอบ โดยมีองค์กรกลางที่เป็นอิสระตรวจสอบโครงการก่อสร้างของรัฐและเอกชน ที่รับฟังเสียงจากแรงงาน
ปรับกฎหมายให้เจ้าของโครงการต้องรับผิดเบื้องต้นหากเกิดเหตุ ไม่ผลักภาระไปที่ผู้รับเหมาอย่างเดียว และมีระบบรับผิดรับชอบที่ชัดเจน โปร่งใส ให้แรงงานได้รับการคุ้มครองที่เป็นมาตรฐาน โดยกำหนดให้ทุกไซต์งานต้องมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยประจำ และขึ้นทะเบียนต่อภาครัฐ อีกทั้งจัดระบบการออกใบอนุญาตผู้รับเหมาและวิศวกร ให้มีคะแนนความน่าเชื่อถือ คะแนนด้านการดูแลแรงงาน และมีบทลงโทษที่ชัดเจน
“แรงงานต้องไม่เป็นเพียงเงาในโครงการของรัฐ แต่เป็นประชาชนที่รัฐต้องปกป้อง” ต้องแก้ที่โครงสร้าง เพื่อทำให้แรงงานมีพลังต่อรองในระบบ กระทรวงแรงงานพัฒนากลไกเพื่อรองรับแรงงานข้ามชาติแบบถาวร
พัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศที่เชื่อมโยงข้อมูลแรงงานจากทุกหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และมีระบบฐานข้อมูลออนไลน์สาธารณะทุกโครงการก่อสร้าง ทั้งเรื่องงบประมาณ ความคืบหน้าและความปลอดภัย สร้างวัฒนธรรม “ป้องกันก่อนเกิด”
ภาคประชาชนและวิชาการเป็นกลไกสำคัญในการติดตาม ตรวจสอบ และเสนอข้อมูลเชิง แต่การปฏิรูปลึกทั้งโครงสร้างต้องใช้พลังจากสาธารณะ เพื่อผลักดันให้รัฐต้องตอบสนอง