เปิดโลกธรรมชาติผ่านสายตาเด็ก ๆ ก้าวเล็ก ๆ สู่การอนุรักษ์พื้นที่คุระบุรี

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของกิจกรรม City Nature Challenge (CNC) ที่มีการแข่งขันสำรวจและบันทึกข้อมูลสิ่งมีชีวิตในพื้นที่เมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกาเพื่อดูว่าเมืองไหนจะสามารถบันทึกชนิดพันธุ์สิ่งมีชีวิตได้มากกว่าผ่านแอปพลิเคชันอย่าง iNaturalist กิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนใส่ใจธรรมชาติและสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพผ่านการมีส่วนร่วมของประชาชน (Citizen Science) กิจกรรมขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งในสหรัฐฯ และนานาชาติ โดยรูปแบบกิจกรรมเน้นความสนุกควบคู่กับการเก็บข้อมูลจริง ใครก็มีส่วนร่วมได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักชีววิทยา เพียงแค่สำรวจสิ่งมีชีวิตรอบตัว ถ่ายรูป แล้วอัปโหลดเข้าสู่ระบบเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์และอาสาสมัครช่วยตรวจสอบและระบุชนิดพันธุ์สิ่งมีชีวิตในภายหลัง ปัจจุบันมีเมืองกว่า 700 เมืองจากทั่วโลกเข้าร่วมอย่างคึกคัก และในที่สุดก็ได้เข้าสู่ชุมชนในไทย รวมถึงในชุมชนคุระบุรี จ.พังงา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้นำกิจกรรมนี้มาใช้ เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ในเชิงปฏิบัติสำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้พวกเขามีส่วนร่วมในการสำรวจธรรมชาติในพื้นที่ที่อยู่อาศัยใกล้ตัว

กองบรรณาธิการ “แลต๊ะแลใต้” ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการนักสื่อสารและการสำรวจธรรมชาติ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา จัดขึ้นบริเวณทั้งภายในและรอบรั้วโรงเรียนบ้านทุ่งรักชัยพัฒน์ หมู่ที่ 6 ต.แม่นางขาว อ.คุระบุรี จ.พังงา มีครูและนักเรียนจากโรงเรียนบ้านสวนใหม่, บ้านบางหว้า, บ้านบางครั่ง บ้านบางวัน เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 40 คน ได้สำรวจธรรมชาติ ทั้งพรรณพืช สัตว์ แมลง เห็ด รวมถึงสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำจากลำธารที่ไหลข้าง ๆ โรงเรียนเพื่อเรียนรู้และพัฒนาทักษะในการเก็บข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พลเมืองผ่านการสำรวจธรรมชาติ 

บทความนี้ กองบรรณาธิการ “แลต๊ะแลใต้” ได้สัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมสำรวจธรรมชาติในคุระบุรี ให้มุมมองเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์พลเมือง (Citizen Science) ถึงความสำคัญของพื้นที่คุระบุรีและบทบาทของเด็ก ๆ กับการออกสำรวจธรรมชาติเพื่อสร้างความผูกพันกับสิ่งแวดล้อมในชุมชน เพื่อให้ทุกคนสามารถเป็นนักวิทยาศาสตร์พลเมืองและใช้กิจกรรมเพื่อเชื่อมโยงธรรมชาติกับชีวิตมนุษย์ นอกจากนี้ยังได้เห็นบทลาทของโรงเรียนในการเชื่อมโยงการเรียนรู้กับชุมชนเพื่อสร้างความร่วมมือและการใช้ประโยชน์จากการเก็บข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และการเชื่อมโยงกิจกรรม City Nature Challenge (CNC) กับการสื่อสารข้อมูลสู่สาธารณะผ่านการใช้แอปพลิเคชัน C-Site


เสียงจาก ‘ครู’ คุระบุรี:
เติบโตท่ามกลางธรรมชาติสู่ผู้บ่มเพาะการเรียนรู้

ครูอนัญพร ปานทน หรือ “ครูปู” จากโรงเรียนบ้านบางครั่ง เล่าว่า กิจกรรมสำรวจธรรมชาติครั้งนี้เป็นเหมือนการสอนอีกรูปแบบหนึ่งที่เด็ก ๆ ชื่นชอบ เพราะได้ลงมือทำจริง ได้สำรวจพื้นที่ใกล้ตัวของตนเอง ทำให้พวกเขารู้สึกสนุกและมีความสุขกับการเรียนรู้ธรรมชาติรอบตัว

 “ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เราก็ยังเห็นระบบนิเวศที่หลากหลาย ทั้งพลับพลึงธาร นกเงือก และธรรมชาติที่ยังคงสมบูรณ์”

ครูอนัญพร ปานทน ครูโรงเรียนบ้านบางครั่ง

พื้นที่คุระบุรีเป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ระหว่าง จ.ระนองและ จ.พังงา มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งป่าเขา ทะเล และแหล่งน้ำหลากหลาย ครูปูสะท้อนว่า การที่เด็ก ๆ ได้สำรวจพื้นที่บ้านเกิด ทำให้พวกเขารู้จักสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่อยู่ในชุมชนท้องถิ่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ พืช หรือระบบนิเวศ และยังสามารถนำความรู้นี้ไปแบ่งปันให้คนภายนอกรู้จักคุระบุรีได้มากขึ้นด้วย สำหรับอนาคต ครูปูมองว่าด้วยความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติ พื้นที่คุระบุรีมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการต่อยอดจากเด็ก ๆ และการสนับสนุนอย่างเหมาะสมจากชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ

ปัจจุบันโรงเรียนในพื้นที่ได้พัฒนาเนื้อหาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติในท้องถิ่น การศึกษาเกี่ยวกับพลับพลึงธาร และการอนุรักษ์นกเงือก ลงในสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เพื่อเสริมความเข้าใจและความผูกพันกับพื้นที่ของตนเอง โดยโรงเรียนบ้านบางครั่งก็กำลังพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้เพิ่มเติม ครูปูยังกล่าวถึงการกระจายตัวของพลับพลึงธารทั่วพื้นที่คุระบุรี ไม่ว่าจะเป้นที่สวนตาเลื่อน วัดสวนวาง และแม้แต่ในบริเวณโรงเรียนบ้านทุ่งรักชัยพัฒน์ ส่วนการอนุรักษ์นกเงือกนั้นพบได้ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีพังงา รวมถึงพื้นที่รอบ ๆ ไทรทองและบางครั่ง ซึ่งยังคงมีสภาพธรรมชาติที่สมบูรณ์เหมาะแก่การสำรวจธรรมชาติ 

 “ถ้าเด็ก ๆ จากโรงเรียนในแต่ละอำเภอได้รวมตัวกัน และสำรวจพื้นที่ให้กว้างขึ้น ชุมชนก็จะมีแหล่งเรียนรู้มากขึ้น และเด็ก ๆ ก็จะได้ความรู้เพิ่มขึ้นด้วย” 

ครูอนัญพร ปานทน ครูโรงเรียนบ้านบางครั่ง

ครูปูมีความหวังว่า ในอนาคตจะมีการขยายกิจกรรมสำรวจธรรมชาติให้ครอบคลุมโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วอำเภอและจังหวัด เพราะจังหวัดพังงามีพื้นที่ธรรมชาติหลากหลายมาก หากเด็ก ๆ จากหลายโรงเรียนได้รวมตัวกันทำกิจกรรมเช่นนี้ จะช่วยสร้างแหล่งเรียนรู้ใหม่ ๆ ให้ชุมชน และเสริมพัฒนาการทางความรู้ของเด็ก ๆ ได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น



การมองเห็นธรรมชาติรอบตัว คือ หัวใจของนักวิทยาศาสตร์พลเมือง

คุณอธิปัตย์ อู่ศิลปกิจ หรือ “พี่เจ็ท” ผู้จัดการฝ่ายผลิตสื่อและกิจกรรมพิเศษจากมูลนิธิโลกสีเขียว ครั้งนี้มาในฐานะอาสาสมัครสำรวจธรรมชาติและยังเป็นหนึ่งในวิทยากรที่ร่วมให้ความรู้กับเด็ก ๆ ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า “Citizen Science” หรือ “วิทยาศาสตร์พลเมือง” ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การเชื่อว่า “ทุกคนสามารถเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้” โดยใช้เพียงสายตา การสังเกต และเครื่องมือพื้นฐานใกล้ตัว ในการสำรวจสิ่งมีชีวิตรอบบ้าน รอบโรงเรียน เพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติและมนุษย์

 “Citizen Science คือการใช้สายตา การสังเกต และเครื่องมือพื้นฐานที่อยู่ใกล้ตัว สำรวจสิ่งมีชีวิตรอบ ๆ ตัว เพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับชีวิตมนุษย์”

คุณอธิปัตย์ อู่ศิลปกิจ อาสาสมัครสำรวจธรรมชาติ

พี่เจ็ทกล่าวว่า วันนี้เขาได้มาร่วมกับคุณครูและน้อง ๆ โดยชวนน้อง ๆ ออกไปสำรวจสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบ ๆ โรงเรียนและรอบบ้านของตัวเอง ผ่านกระบวนการ Citizen Science โดยใช้เครื่องมือพื้นฐานที่หาได้ใกล้ตัว อย่างการเก็บตัวอย่างสิ่งมีชีวิต แล้วนำมาจำแนกดูว่ามีอะไรอยู่ในพื้นที่บ้าง การทำกิจกรรมเช่นนี้ไม่ได้เน้นการเก็บข้อมูลอย่างเต็มรูปแบบทางวิชาการ แต่เน้นให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วม ลงมือสำรวจจริง เพื่อ “มองเห็น” ธรรมชาติที่อยู่ใกล้ตัวและตั้งคำถามได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่พบเจอนั้น “บอกอะไร” เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขา

โดยทั่วไปกระบวนการสำรวจธรรมชาติ CNC มักจะเป็นการสำรวจในเมืองที่ชวนให้คนได้ออกไปสัมผัสและมองเห็นธรรมชาติในมุมที่ลึกซึ้งกว่า อย่างเช่น ในพื้นที่สวนสาธารณะ ที่นอกจากการใช้เป็นพื้นที่เพื่อวิ่งออกกำลังกายแล้ว ยังสามารถการสังเกตสัตว์ต่าง ๆ การเข้าใจบทบาทของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อปลูกฝังความเข้าใจและทักษะในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน

ในครั้งนี้ แม้การเก็บตัวอย่างในคุระบุรีจะไม่ได้เน้นปริมาณการเก็บข้อมูลให้ได้จำนวนมาก แต่เป้าหมายคือการให้เด็ก ๆ ได้ลงมือทำ ได้เห็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ผ่านกล้องกล้องจุลทรรศน์ไมโครสโคป (Microscope) เพื่อซึมซับความเข้าใจว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็ต้องการที่อยู่อาศัยเช่นเดียวกับมนุษย์ และนำไปสู่การตั้งคำถามต่อไปว่า เด็ก ๆ เองจะช่วยดูแลสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ให้อยู่ร่วมกับพวกเขาในพื้นที่ของตัวเองได้อย่างไร การเข้าใจธรรมชาติอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพลเมืองที่ตื่นรู้ พร้อมที่จะปกป้องและอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

“สิ่งสำคัญคือการให้เด็ก ๆ ได้เห็นว่า พื้นที่รอบตัวพวกเขาเต็มไปด้วยชีวิตที่เปราะบาง และชีวิตเหล่านั้นก็ต้องการที่อยู่อาศัยไม่ต่างจากมนุษย์” 

คุณอธิปัตย์ อู่ศิลปกิจ อาสาสมัครสำรวจธรรมชาติ

แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พี่เจ็ทได้มาคุระบุรี แต่รู้สึกประทับใจที่ได้เห็นว่าพื้นที่แห่งนี้ยังคงมีธรรมชาติหลงเหลืออยู่จำนวนมาก ทั้งพื้นที่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และพื้นที่ที่ชุมชนร่วมกันจัดการดูแล แม้จะมีบางส่วนที่ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมมนุษย์บ้าง แต่โดยรวมยังถือว่ามีความสมบูรณ์ในเชิงระบบนิเวศเพียงพอที่สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ จะสามารถอาศัยอยู่ได้ แนวทางของ Citizen Science คือการนำตัวเองมาเป็นส่วนหนึ่งของการสังเกต บันทึกข้อมูล และแปรผลข้อมูล เพื่อให้ชุมชนได้เห็นภาพรวมว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด Citizen Science ช่วยสร้างความเข้าใจว่า “ธรรมชาติรอบตัว” มีความหมายมากกว่าการดำรงอยู่ของมนุษย์เพียงอย่างเดียว

หนึ่งในการค้นพบที่น่าตื่นตาตื่นใจ คือการพบ “พลับพลึงธาร” พืชเฉพาะถิ่นที่เติบโตได้เฉพาะในสภาพแวดล้อมที่น้ำไหลสะอาด  พี่เจ็ทอธิบายว่า “การพบพลับพลึงธาร มันสะท้อนว่าสภาพของลำธารยังดีอยู่ ยังซัพพอร์ตสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นได้” นอกจากนี้ เด็ก ๆ ยังมีโอกาสได้สังเกตนกเงือกและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่ชี้วัดสุขภาพของผืนป่าในบริเวณนี้ได้เป็นอย่างดี แม้พี่เจ็ทจะไม่เคยมาเยือนคุระบุรีมาก่อน แต่เขาก็เต็มใจและตั้งใจที่จะมาเพื่อเรียนรู้และอยากเห็นด้วยตาตนเองว่าพื้นที่แห่งนี้มีอะไรบ้าง และหลังการลงพื้นที่สำรวจร่วมกับเด็ก ๆ เขายืนยันได้ว่า คุระบุรีคือหนึ่งในพื้นที่ที่ยังคงความหลากหลายและสมบูรณ์ทางธรรมชาติได้อย่างน่าชื่นชม



เปิด ‘รั้ว’ โรงเรียน ปลูก ‘ต้นกล้า’ รักษ์ธรรมชาติในชุมชน

ผอ.แสงเดือน วรรณรัตน์ หรือ “ผอ.กุ้ง” ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านทุ่งรักชัยพัฒน์ บอกเล่าถึงแนวทางการขยายการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมว่า เดิมโรงเรียนมีการเตรียมพื้นที่และกิจกรรมเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกต้นไม้ การดูแลทรัพยากรธรรมชาติ และลดการใช้สารเคมีภายในโรงเรียน แต่เมื่อลงมือทำเพียงโรงเรียนเดียวก็เกิดผลเฉพาะกลุ่มเท่านั้น จึงมีแนวคิดที่จะชวนโรงเรียนใกล้เคียงอีก 4 แห่ง มาร่วมกิจกรรมสำรวจธรรมชาติร่วมกัน เพื่อสร้างความตระหนักให้เด็ก ๆ รักและหวงแหนธรรมชาติในชุมชนของตนเอง พร้อมทั้งร่วมกันดูแล รักษา และอนุรักษ์ให้อยู่คู่ชุมชนต่อไป

“หากโรงเรียนเราทำเพียงลำพัง ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ไม่มากนัก การรวมกลุ่มโรงเรียนในละแวกเดียวกัน ช่วยให้เด็ก ๆ มีโอกาสสำรวจธรรมชาติและเรียนรู้ร่วมกัน ก่อเกิดความรัก ความหวงแหน และแรงบันดาลใจในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของตนเองและชุมชน”

ผอ.แสงเดือน วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านทุ่งรักชัยพัฒน์

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน ผอ.กุ้งมองว่าการปลูกฝังความรักในธรรมชาติควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก จึงจัดให้เด็ก ๆ สำรวจธรรมชาติในพื้นที่ของตนเองอย่างสม่ำเสมอ โรงเรียนยังเน้นการทำเกษตรอินทรีย์อย่างจริงจัง แทบไม่ใช้สารเคมีเลย เพื่อรักษาสมดุลธรรมชาติ การสังเกตพบว่า การปลูกพืชผักโดยไม่รบกวนธรรมชาติ เช่น การปลูกมะเขือโดยปล่อยให้หญ้าอยู่ร่วมกันโดยไม่ตัด ทำให้ได้ผลผลิตดี มีโรคและศัตรูพืชน้อยลง เป็นตัวอย่างจริงที่เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ในพื้นที่จริง

นอกจากกิจกรรมทางการเกษตรแล้ว ผอ.กุ้งยังเชื่อมโยงแนวคิดนี้กับการจัดการเรียนการสอนผ่านหลักสูตรบูรณาการ เช่น การจัดการขยะในโรงอาหารโดยแยกขยะเปียกมาทำปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกอง ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ก็สามารถนำกลับมาใช้ในการปลูกต้นไม้ในโรงเรียนได้ทั้งหมด นอกจากนี้ โรงเรียนยังมีการเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา เพื่อนำเศษอาหารเหลือไปทำปุ๋ย และสร้างระบบหมุนเวียนอย่างยั่งยืน ผลจากการดำเนินงานเหล่านี้ เด็ก ๆ มีความสุขกับการทำกิจกรรมและการเรียนรู้ โดยเริ่มตั้งแต่ระดับอนุบาลผ่านโครงการ “บ้านวิทย์น้อย” ที่เน้นการสืบค้นทางวิทยาศาสตร์ เช่น การศึกษาพืช ดอกไม้ ต้นไม้ในโรงเรียน ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างมีความสุขและได้ลงมือปฏิบัติจริง

กิจกรรมนี้เชื่อมโยงกับบทเรียนในห้องเรียนได้โดยตรง โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์ในเรื่องการสืบค้น แต่ครั้งนี้มีกิจกรรมใหม่ คือการศึกษาสายน้ำ ที่แม้ยังทำกันน้อยแต่เด็ก ๆ ได้รับประสบการณ์ใหม่ และมีความตื่นเต้นกับอุปกรณ์ที่ได้รับจากผู้ใหญ่ใจดี ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้แบบ Active Learning อย่างเต็มที่

“การสร้างเยาวชนที่มีหัวใจอนุรักษ์นั้น เป็นภารกิจที่ไม่สามารถทำคนเดียวได้ แต่ต้องอาศัยพลังจากทุกภาคส่วน”

ผอ.แสงเดือน วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านทุ่งรักชัยพัฒน์

ความคาดหวังของโรงเรียนคือ เด็ก ๆ จะนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดสังเกตและดูแลสิ่งแวดล้อมในครัวเรือนของตนเอง เช่น ตรวจสอบคุณภาพน้ำ การลดการใช้สารเคมี และถ่ายทอดเสียงสะท้อนให้ผู้ปกครองรับรู้และเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อให้เกิดการทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระดับครัวเรือนต่อไป นอกจากนี้ ผอ.กุ้งยังได้ย้ำถึงความตั้งใจว่า การสร้างเยาวชนที่มีหัวใจอนุรักษ์นั้น เป็นภารกิจที่ไม่สามารถทำคนเดียวได้ แต่ต้องอาศัยพลังจากทุกภาคส่วน และโรงเรียนบ้านทุ่งรักชัยพัฒน์ขอตั้งปณิธานว่าจะร่วมมือกับเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อปลูก “ต้นกล้า” แห่งความรักและหวงแหนธรรมชาติให้เติบโตต่อไปในอนาคต



สำรวจได้ทุกที่ เรื่องเล่าธรรมชาติผ่านมุมมองของเด็ก ๆ

พี่พิภพ พานิชภักดิ์ นักผลิตสารคดีอิสระและผู้จัดการเรียนรู้จาก “ห้องเรียนสุดขอบฟ้า” กล่าวถึงการนำแนวคิดจากโครงการ City Nature Challenge (CNC) มา ปรับใช้ในพื้นที่ที่ไม่ใช่ “เมือง” แม้ชื่อกิจกรรมจะเน้นคำว่า “City” แต่ในปีนี้ CNC ได้เริ่มโครงการมาเป็นปีที่ 10 แล้ว ทางผู้จัดจากสหรัฐอเมริกาได้ขยายขอบเขตให้การสำรวจธรรมชาติสามารถเกิดขึ้นได้ทุกภูมิประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่ ชุมชนเล็ก หรือพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์กลาง เพราะพื้นที่คุระบุรี จ.พังงา ไม่ใช่เมืองใหญ่ตามนิยามเดิมของโครงการ แต่พี่พิภพก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า 

ธรรมชาติไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมือง เพราะพื้นที่อื่นก็มีความหลากหลายทางชีวภาพที่งดงามไม่แพ้กัน ชนบทก็สำรวจได้ เมืองก็สำรวจได้”

พี่พิภพ พานิชภักดิ์ นักผลิตสารคดีอิสระและผู้จัดการเรียนรู้จาก “ห้องเรียนสุดขอบฟ้า”

คำกล่าวนี้สะท้อนชัดเจนถึงแนวคิดที่มองว่าการสำรวจธรรมชาติควรเกิดขึ้นได้ในทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียม สำหรับเขา CNC คือเวทีที่เปิดกว้าง ไม่จำกัดแค่ใครหรือที่ไหน แต่เป็นโอกาสของทุกคนในการเข้าถึงการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สัมผัสได้จริง กิจกรรมในครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่เปิดโลกให้กับเด็ก ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดพื้นที่การเรียนรู้ให้ชุมชนโดยรอบได้เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติผ่านมุมมองของเยาวชน

บรรยากาศการเรียนรู้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เด็ก ๆ ได้เรียนรู้วิธีการสังเกตธรรมชาติในท้องถิ่น การบันทึกข้อมูล และทดลองออกแบบการเล่าเรื่องธรรมชาติวิทยาจากสิ่งที่ตนเองพบเจอ หัวใจสำคัญของกิจกรรมนี้คือ การได้ลงมือทำจริง ซึ่งเปลี่ยนธรรมชาติให้กลายเป็นสนามเด็กเล่นแห่งการเรียนรู้

พี่พิภพเน้นว่า CNC ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเก็บข้อมูลเท่านั้น แต่ยังต้องการให้ เกิด “การเล่าเรื่อง” และ “การเชื่อมโยง” กับสาธารณะ ผ่านการใช้แอปพลิเคชัน C-Site ที่ทำงานร่วมกับ iNaturalist เพื่อให้ข้อมูลที่เด็ก ๆ สำรวจได้ถูกเผยแพร่ต่อไปยังผู้คนวงกว้าง

“นี่อาจเป็นอนาคตใหม่ของ Citizen Science”

พี่พิภพ พานิชภักดิ์ นักผลิตสารคดีอิสระและผู้จัดการเรียนรู้จาก “ห้องเรียนสุดขอบฟ้า”

หลังกิจกรรมเสร็จสิ้น พี่พิภพ Post เฟสบุ๊กส่วนตัว ความว่า “ขอขอบคุณสำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะ ไทยพีบีเอส ที่ได้นำแอปพลิเคชัน C-site มาต่อยอดกิจกรรม iNaturalist เพื่อให้ กิจกรรมสำรวจธรรมชาติไม่ได้เป็นเพียงแต่การเก็บข้อมูล แต่ยังเป็นการแสดงออกและสื่อความหมาย ผมได้สื่อสารกับทีมกลาง CNC ในต่างประเทศว่า การเชื่อมโยงแอปพลิเคชันเช่นนี้อาจจะเป็นหน้าใหม่ที่สำคัญของการสำรวจธรรมชาติ เมื่อการสำรวจและการสื่อสารมาบรรจบกัน

เพราะไม่ใช่แค่การบันทึกข้อมูลในฐานกลางเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างพื้นที่ของการสื่อสารที่ให้สังคมเข้าใจ เห็นคุณค่า และร่วมกันดูแลความหลากหลายทางชีวภาพในแต่ละพื้นที่อย่างลึกซึ้ง พี่พิภพหวังว่าในอนาคต กิจกรรมในลักษณะนี้จะขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้เยาวชนทุกคนได้มีโอกาสเรียนรู้ธรรมชาติในบริบทของตนเอง พร้อมสร้างเรื่องเล่าที่ส่งต่อคุณค่าไปสู่คนหมู่มาก เกิดเป็นความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ชุมชน และเทคโนโลยีการสื่อสารอย่าง C-Site จึงไม่เพียงแต่ช่วยเก็บรักษาข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพเท่านั้น หากยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยต่อยอดความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ และอาจวางรากฐานให้กับนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ในอนาคต

แชร์บทความนี้