การปรับตัวรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วม-น้ำแล้งด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ

เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (Geo-Informatics Technology) หรือ GI เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังเกิดภัย ซึ่งได้จากเทคโนโลยีดาวเทียม (Remote Sensing) ระบบดาวเทียมนำร่องโลก (Global Navigation Satellite System: GNSS) และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information system: GIS) 

บูรณาการทั้งสามส่วนและนำมาใช้ในการเฝ้าระวัง ติดตาม ประเมิน เพื่อนำมาใช้ในการรู้รับปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น และใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากข้อมูลที่ได้มีความทันสมัย มีความถูกต้องและแม่นยำเชิงตำแหน่ง ทำให้สามารถนำมาใช้งานได้หลากหลาย

ในสภาวะปกติ การเตรียมพร้อมและปรับปรุงข้อมูลเชิงพื้นที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะในแต่ละพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ทางธรรมชาติไปเป็นพื้นที่อาคารและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นทำให้มีความสูญเสียเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น การติดตามลักษณะของพื้นที่ในภาพรวมจำเป็นต้องใช้ดาวเทียมที่ได้จากเทคโนโลยีอวกาศมาเป็นเครื่องมือหลักในการได้มาของข้อมูลที่สามารถระบุรายละเอียดเชิงตำแหน่งหรือเชิงพื้นที่ได้ ซึ่งข้อมูลนี้สามารถบูรณาการร่วมกับข้อมูลภูมิสารสนเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่

นอกเหนือจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินแล้ว ยังสามารถนำมาพัฒนาและต่อยอดการใช้งานเพื่อการบริหารจัดการได้อีกด้วย ดังตัวอย่างเช่น การพัฒนา “แพลตฟอร์มเกษตรเชิงพื้นที่รายแปลงเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานราก (Dragonfly) หรือ แอปแมลงปอ”[1] ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลทางการเกษตรที่มีการออกแบบให้กับเกษตรกรในระดับรายแปลง ด้วยการใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศที่ความแม่นยำและทันสมัย

แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้เกษตรกรสามารถติดตาม เฝ้าระวัง คาดการณ์ และมีข้อมูลที่ทันสมัยโดยเฉพาะเรื่องสภาพอากาศ ความสมบูรณ์ของดินและพืช เพื่อให้สามารถนำใช้ประกอบการตัดสินใจในการวางแผน และการบริหารจัดการแปลงเพาะปลูกของตนได้อย่างครบวงจรตั้งแต่ก่อนเริ่มปลูกจนถึงการขายผลผลิตของตนสู่ตลาด สิ่งนี้ช่วยให้เกษตรกรลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยบำรุงดินและพืช และลดความเสี่ยงเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำที่เกิดจากผลผลิตล้นตลาดจนเกินไป 

เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น เทคโนโลยีอวกาศนำมาใช้เป็นข้อมูลหลักในการติดตามสถานการณ์ในภาพรวมทั้งในห้วงระหว่าง-หลังเกิดภัย และใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผนและตัดสินใจในภาวะวิกฤต ดังเช่น สถานการณ์น้ำท่วม ปี 2567 ข้อมูลที่ได้จากดาวเทียมที่มีการบันทึกภาพแบบใกล้เคียงกับเวลาจริง (near real-time) ที่ได้จากดาวเทียมที่หลากหลายการบันทึกทั้งดาวเทียมรายละเอียดต่ำ (Coarse resolution data) ที่มีรายละเอียดภาพ 300-1,000 เมตรต่อพิกเซล สามารถนำมาติดตามการแผ่ขยายของน้ำท่วมขังหรือพื้นที่ได้รับผลกระทบในบริเวณกว้าง หรือดาวเทียมรายละเอียดสูง-สูงมาก (High- Very high resolution) ที่มีรายละเอียด 50 เซนติเมตรหรือดีกว่า) เช่น ดาวเทียม THEOS-2 ของประเทศไทยที่มีรายละเอียดเชิงพื้นที่ 50 เซนติเมตร เป็นต้น ซึ่งให้รายละเอียดระดับพื้นที่ได้เป็นอย่างดี เช่น อาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง และถนน เป็นต้น

โดยข้อมูลนี้สามารถนำมาวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลด้านเศรษฐกิจ-สังคม สำหรับการประเมินพื้นที่ได้รับความเสียหายและจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ในการให้ความช่วยเหลือ (response) และฟื้นฟู (recovery) และติดตามดูพื้นที่ในภาพรวมได้อย่างชัดเจน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะมีการนำเสนอให้กับคณะทำงาน/คณะอนุกรรมการต่างๆ ที่ได้รัฐบาลได้มีการจัดตั้งขึ้น เช่น ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) หรือ ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย เป็นต้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้กับผู้มีอำนาจในการตัดสินใจต่อไป

ด้วยข้อดีของเทคโนโลยีดาวเทียมที่มีการบันทึกภาพกว้างและต่อเนื่อง ทำให้ได้ข้อมูลที่มีรายละเอียดหลากหลาย และสามารถนำไปใช้ในการวางแผนและตัดสินใจการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ในภาวะฉุกเฉินโดยเฉพาะพื้นที่ทรัพยากรและเครื่องมือจำกัด และช่วยในการแยกแยะหรือจำแนกพื้นที่ประสบภัยออกเป็นส่วนต่างๆ เช่น พื้นที่ชุมชนที่ประสบภัยน้ำท่วมโดยสิ้นเชิง พื้นที่ชุมชนที่ปลอดภัยแต่ไม่สามารถเข้าถึงได้เนื่องจากถนนถูกตัดขาด หรือพื้นที่เกิดดินถล่มแต่เป็นพื้นที่ภูเขาสูงและไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ เป็นต้น

หรือเป็นข้อมูลประกอบในการจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมด้วยการนำขอบเขตพื้นที่น้ำท่วมวิเคราะห์ร่วมกับตำแหน่งอาคารบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการได้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ประสบภัยและสร้างความเป็นธรรมในการชดเชยเยียวยาได้อย่างถูกต้องกับสภาพความเป็นจริง

ภาพถ่ายจากดาวเทียมรายละเอียดสูง PlanetScope (รายละเอียดเชิงพื้นที่ 3 เมตรต่อพิกเซล) บึนทึกภาพวันที่ 12 กันยายน 2567 (1 สัปดาห์หลังเกิดเหตุการณ์) แสดงพื้นที่น้ำท่วมขังตลอดแนวลำน้ำแม่น้ำกก เผยให้เห็นถึงพื้นที่ชุมชน อาคาร สิ่งปลูกสร้างโดยรอบของสนามบินเชียงราย จังหวัดเชียงราย ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในเดือนกันยายน 2567 
ตัวอย่างการวิเคราะห์อาคารบ้านเรือน (สีชมพู) ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมของอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อประกอบการวางแผนให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบภัย 

ทั้งนี้ ข้อมูลที่มีลักษณะเป็นชุดข้อมูลหลายช่วงเวลา (Time-series data) ช่วยให้การวิเคราะห์สถานการณ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากข้อมูลมีความทันสมัยและสอดคล้องกับความเป็นจริงของแต่ละพื้นที่ ตัวอย่างที่เด่นชัดในการนำข้อมูลที่ได้จากเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศกับการบริหารจัดการภัยพิบัติ กล่าวคือ การบริหารจัดการการระบายน้ำลงในทุ่งรับน้ำบางระกำ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสุโขทัยและพิษณุโลก และเป็นพื้นที่รับน้ำทั้งจากแม่น้ำยม (ด้านซ้าย) และแม่น้ำน่าน (ด้านขวา)

ทั้งนี้ ในแต่ละปีจำเป็นต้องมีการติดตามว่าในพื้นที่ทุ่งดังกล่าวยังคงมีพื้นที่ปลูกข้าวหรือไม่ก่อนที่จะดำเนินการผันน้ำเข้าไปยังในทุ่งรับน้ำหลังวันที่ 15 กันยายนของทุกปี เพื่อลดความเสียหายด้านผลผลิตข้าวของเกษตรกรในบริเวณพื้นที่ทุ่งรับน้ำดังกล่าว และบรรเทาความเดือดร้อนของพื้นที่หรือชุมชนที่อยู่ท้ายน้ำโดยการนำน้ำเข้าไปกักเก็บไว้ในพื้นที่เกษตรที่เก็บเกี่ยวไปหมดแล้ว

จากภาพถ่ายดาวเทียมที่มีการบันทึกภาพวันที่ 16 กันยายน 2567 ตรวจพบว่าในพื้นที่ 2 ใน 3 ของทุ่งบริเวณตั้งแต่ตอนกลางถึงตอนล่างมีน้ำท่วมขังไปแล้ว โดยที่เกษตรกรมีการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวแล้วเสร็จ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการรู้รับปรับตัวของเกษตรกรและชุมชนในพื้นที่ที่จะมีการเร่งเก็บเกี่ยวให้แล้วเสร็จก่อนที่น้ำจะไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงตรวจพบว่าพื้นที่ตอนบนของทุ่งรับน้ำที่ตรวจพบพื้นที่ปลูกข้าวมากถึง 2 หมื่นไร่

โดยข้อมูลนี้ได้มีการประสานและแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและบริหารจัดการก่อนที่จะมีการดำเนินการในขั้นตอนอื่นๆ ต่อไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมที่ใช้ในการสังเกตการณ์เป็นหลัก หรือแม้แต่การติดตามสถานการณ์น้ำในแต่ละทุ่งรับน้ำในพื้นที่จังหวัดอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และสุพรรณบุรี ยังคงมีน้ำอยู่ในแต่ละทุ่งรับน้ำมากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาในกรณีที่จำเป็นต้องมีการระบายน้ำลงในลำน้ำเพิ่มเติม

การใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมติดตามอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวและมีผลกระทบในภาพรวมต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องการข้อมูลที่แสดงสภาพพื้นที่ ณ ปัจจุบัน เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปด้วยความถูกต้องตามบริบทของพื้นที่ และถือเป็นตัวอย่างของแนวปฏิบัติที่ดี (Best practice) ในการนำข้อมูลที่ได้จากเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ในการปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อลดความสูญเสียที่สามารถป้องกันได้ และลดผลกระทบที่สามารถควบคุมได้ในเบื้องต้น ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้วางแผนประกอบการตัดสินใจในภาพรวม เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ (observation) ติดตาม (monitoring) วิเคราะห์ (analysis) และคาดการณ์ (forecast) 

นอกจากนี้ ข้อมูลภูมิสารสนเทศที่ได้มาจากเทคโนโลยีดาวเทียมสามารถนำมาบูรณาการร่วมกับองค์ความรู้การประเมินความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ยังเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาและต่อยอดระบบการแจ้งเตือนล่วงหน้า (Early Warning System: EWS) สำหรับใช้เป็นมาตรการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ในอนาคตได้อีกด้วย เพื่อสร้างความยั่งยืนในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดและให้ชุมชน/สังคมปลอดภัย และลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ภัยในรูปแบบต่างๆ ให้เหมาะกับบริทบทของแต่ละพื้นที่ ที่มีความหลากหลายในมิติทางด้านกายภาพ สิ่งแวดล้อม และสังคม

โดยในระยะสั้นช่วยให้มีข้อมูลแจ้งเตือนภัยที่ทันสมัยสำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการรับมือสถานการณ์น้ำในภาวะวิกฤต และในระยะยาวสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวางผังเมืองหรือกำหนดนโยบายเพื่อรองรับและเตรียมพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

กรอบแนวคิด Early Warnings for All Initiative ที่มีการประยุกต์ใช้ข้อมูลจากเทคโนโลยีดาวเทียมในการติดตาม เฝ้าระวัง และแจ้งเตือนสถานการณ์ภัยโดยใช้ (ที่มา: World Meteorological Organization)

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการเฝ้าระวังและการเตือนภัย

  1. การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือนวัตกรรมรูปแบบใหม่ (Disruptive technology) เช่น Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) มาใช้ในการประมวลร่วมกับชุดข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) จะช่วยให้การพัฒนาแบบจำลองหรือการคาดการณ์สถานการณ์ภัยในรูปแบบต่างๆ ให้มีความรวดเร็ว มีความแม่นยำสูง และยืดหยุ่นได้ทุกสถานการณ์ จะช่วยให้การเฝ้าระวังและการเตือนภัยสถานการณ์ต่างๆ มีแผนรองรับที่ทันสมัยและสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
  2. การรวมศูนย์ข้อมูลเพื่อบูรณาการข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือ (Tools) เครื่องตรวจวัด หรือเทคโนโลยีต่างๆ ของหลายหน่วยงานเพื่อสร้างเอกภาพสำหรับการแจ้งเตือนภัยและคาดการณ์ โดยสามารถจัดทำเป็นฐานข้อมูลกลางแบบเปิด (open data) ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันให้ทุกหน่วยงานสามารถเข้าถึงและใช้งานร่วมกันได้อย่างง่าย (easy to access) เพื่อให้เกิดการบูรณาการข้อมูลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และลดการใช้จ่ายงบประมาณที่ซ้ำซ้อนกันในการพัฒนาฐานข้อมูลของหน่วยงานต่างๆ 
  3. การซักซ้อมแผนในระดับพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมการรับมือสถานการณ์ภัยอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะพื้นที่ประสบภัยซ้ำซาก โดยเฉพาะการนำระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Thailand Incident Command System หรือ ICS) สำหรับการนำมาใช้เป็นเครื่องมือการจัดการในภาวะฉุกเฉินของประเทศไทย 
  4. การสร้างความตระหนักและการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี(Capacity building) เพื่อการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติและผู้บริหารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ข้อมูล เครื่องมือ และเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และกลุ่มที่ 2 เป็นประชาชนทั่วไป ควรมีการสื่อสารในรูปแบบที่เข้าใจง่ายหรือมีสื่อประชาสัมพันธ์สมัยใหม่ที่เข้าถึงประชาชนได้ทั่วไป
  5. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านภัยพิบัติ ทั้งจากการรวบรวมอาสาสมัครในแต่ละพื้นที่ กลุ่มเยาวชนต่างๆ และเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่/ท้องถิ่น โดยให้มีการซักซ้อมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูล เครื่องมือ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้เท่าทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน 
  6. การกำหนดนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเฝ้าระวังและการเตือนภัยควรมีความต่อเนื่องหรือสอดคล้องกัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว และลดภาระของเจ้าหน้าที่/ผู้ปฏิบัติงานในการดำเนินงาน
  7. การบูรณาการความร่วมมือในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการดำเนินงานในการเฝ้าระวังและเตือนภัยมีหลากหลายมิติและมีหน่วยงาน/ผู้รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องในแต่ละภาคส่วน ซึ่งการบริหารจัดการใดๆ ล้วนมีผลต่อมิติข้างเคียง ดังนั้น การบริหารจัดการพื้นที่ควรเป็นลักษณะ Area-based ในลักษณะต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำ 
  8. การสร้างและผลิตบุคลากรด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อให้เกิดการพัฒนาและต่อยอดการเฝ้าระวังและการแจ้งเตือนภัย โดยอาจจะแสวงหาทุนเพื่อศึกษาวิจัยโครงการต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการ upskill และ reskill ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้สามารถคิดค้น ต่อยอด และพัฒนาเพิ่มเติมจากองค์ความรู้เดิมได้มากขึ้น 

Target groups

  1. ภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับนโยบาย ระดับปฏิบัติการ และระดับพื้นที่ สามารถนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศมาใช้ในการวางแผนเตรียมความพร้อม การป้องกัน และติดตามสถานการณ์ทั้งในภาวะปกติและภาวะวิฤต ตามหลักการ 2P2R (Prevention, Preparedness, Recovery, Response) เพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบาย มาตรการ และ/หรือแผนงานทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และให้เกิดการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นไปในทิศทางเดียวกันโดยเฉพาะการบรรลุเป้าหมาย SDG Goals (Goal 6, 11, 13) 
  2. ภาคเอกชน มุ่งเน้นการเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ รวมทั้งการจัดทำแผนดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องสำหรับการบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤติ (Business Continuity Plan: BCP) เพื่อให้มีแผนสำรองเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น และให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดชะงัก 
  3. สถาบันการศึกษาและองค์กรอิสระต่างๆ ช่วยให้เกิดการค้นคว้า ศึกษาวิจัย แลกเปลี่ยนข้อมูล สร้างองค์ความรู้ และพัฒนานักวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อการขยายผล ต่อยอด และบูรณาการเทคโนโลยีในการเฝ้าระวัง เตรียมพร้อม และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต
  4. ภาคประชาชน และกลุ่มผู้มีส่วนได้-ส่วนเสียอื่นๆ เช่น กลุ่มเปราะบาง ชุมชนที่ตั้งโดยรอบของพื้นที่ประสบภัยซ้ำซาก เป็นต้น ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบทั้งเชิงลบและเชิงบวกในการพัฒนาหรือการดำเนินการใดๆ เพื่อสร้างความตระหนักรับรู้ (Preparedness) และใช้เป็นข้อมูลเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งในส่วนพื้นที่ประสบภัยพิบัติซ้ำซากเพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบเดิมมิให้ขยายเพิ่มมากขึ้น และพื้นที่ที่ไม่เคยประสบภัยพิบัติมาก่อน เพื่อป้องกันความเสี่ยงใหม่ที่อาจจะทำให้เกิดความสูญเสียในด้านต่างๆ ขึ้น 

ผู้เขียน : ดร. สุรัสวดี ภูมิพานิช นักภูมิสารสนเทศ GISTA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)


[1] รายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://dragonfly.gistda.or.th/

แชร์บทความนี้