ลองคิดดูว่าอากาศที่ร้อนขึ้นส่งผลกระทบอะไรกับเราบ้าง “หงุดหงิดง่าย” “ขายของยาก” “สุขภาพแย่” เจอปัญหาเหล่านี้เหมือนกันหรือเปล่า? นี่เป็นคำตอบบางส่วนจากผู้คนเมื่อถามถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อน เห็นได้ชัดว่าปัญหานี้ไม่ได้กระทบแค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพ การใช้ชีวิต และการทำมาหากิน เช่น เสียงจากผู้ค้ารายหนึ่งที่บอกว่า “ผลกระทบที่เราเป็นหนี้อยู่ทุกวันนี้เกิดจากอุทกภัย ตั้งแต่น้ำท่วม ตั้งแต่โควิด ความร้อนทำให้เราค้าขายไม่ได้ น้ำท่วมก็ขายไม่ได้ เป็นผลกระทบยาว เป็นหนี้อย่างเดียว ไม่รู้จักจบสิ้น”

เหล่านี้เป็นเพียงคำตอบส่วนหนึ่ง จากตัวแทนภาคประชาชน กลุ่มแรงงานนอกระบบ แรงงานที่ทำงานที่บ้าน แรงงานหาบเร่แผงลอย ที่ร่วมงานเสวนาหัวข้อ “โลกร้อน คนรวน รัฐต้องทบทวนนโยบายเพื่อคนจนเมือง” จัดขึ้นโดย มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (HomeNet Thailand) ร่วมกับ สำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะ ไทยพีบีเอส (Thai PBS)
คุยถึงปัญหาโลกร้อนกับวิทยากรทั้ง 4 คน
– เบญจมาส โชติทอง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการและแผนงานสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย
– วนัน เพิ่มพิบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand
– กรรณิกา แก้วศรีสังข์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานนโยบายเศรษฐกิจแรงงานมหภาค สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน
– พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ
ดำเนินรายการโดย วิภาพร วัฒนวิทย์ ผู้ประกาศข่าว และ ผู้ช่วยบรรณาธิการ Decode.plus
.
“โลกร้อน แรงงานนอกระบบรวน” ปัญหาที่เผชิญและราคาที่ต้องจ่าย
พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ กล่าวถึงปัญหาของโลกร้อนที่ผู้คนกำลังเผชิญว่า ส่วนใหญ่เวลาพูดเรื่องโลกร้อนโลกรวน เรามักจะพูดถึงเรื่องภาคเกษตร น้อยมากที่เราจะพูดถึงภาคเมือง ซึ่งทุกวันนี้ความร้อนไม่เข้าใครออกใครและทุกคนต้องเผชิญกันหมด สิ่งที่พบเมื่อคนเผชิญกับอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นคือการเจ็บป่วย แรงงานที่เป็นหาบเร่-แผงลอย บางคนเจอภาวะหายใจไม่ออก บางคนก็บอกว่าจะเป็นลม ส่วนคนที่เป็นความดันโลหิตสูงก็แทบไม่กล้าเจอแดด ต้องรอให้แดดหายก่อนถึงจะขายของต่อได้ ขณะที่ไม่มีสิทธิ์ประกันสังคมในการรักษา เป็นภาวะที่เปราะบางอยู่แล้ว ก็ยิ่งเปราะบางหนักขึ้นไปอีก
นอกจากนั้นยังขายของไม่ได้เพราะอากาศร้อนและคนไม่ออกไปซื้อ ขณะที่คนที่เป็นผู้ผลิตหรือคนที่รับงานมาทำที่บ้าน สิ่งที่พวกเขาเจอคือ อาการคัน หงุดหงิด บางทีเย็บจักรไปมอเตอร์พัง ยกตัวอย่างสมัยก่อนสามารถซื้ออะไหล่อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นยางมากักตุนเป็นโหลได้ แต่ทุกวันนี้ที่อากาศร้อนทำให้อะไหล่ยางเสื่อมคุณภาพเร็ว ทำให้กักตุนเยอะไม่ได้และต้องซื้อทีละน้อย ซึ่งการซื้อทีละน้อยทำให้เสียเวลาและเสียค่ารถ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นไปอีก

“อากาศร้อนทำให้มีผลทั้งเรื่องสุขภาพและการทำมาหากิน นอนไม่ได้ หงุดหงิด ร้อน ถ้าเปิดพัดลมหรือแอร์ก็อาจจะทำให้มีค่าไฟที่สูงขึ้น บางทีบ้านของพวกเรามีหน้าต่างบานเดียว ไม่อยากใช้แอร์ก็จำเป็นต้องใช้ ทำให้ค่าไฟแพง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น”
พูลทรัพย์ สวนเมือง กล่าว
พูลทรัพย์ ชี้ว่า กลุ่มผู้ว่าจ้างไม่ได้ให้สวัสดิการเพิ่มเติมกับแรงงานเลย ขณะที่แรงงานต้องเผชิญกับความยากลำบากในภาวะโลกร้อน ตัวผู้ว่าจ้างเองได้ผลผลิตกลับไป แต่แรงงานกลับเป็นคนแบกรับความเสี่ยง ทั้งที่ปกติแรงงานก็ไม่ได้สิทธิ์อะไรอยู่แล้ว ค่าแรงก็ต่ำ ยกตัวอย่าง เย็บเสื้อบูติคหนึ่งตัวราคาไม่เกิน 10 บาท วันหนึ่งถ้าต้องได้ 300 บาท ต้องเย็บเสื้อ 30 ตัว ซึ่งเวลาทำงานก็จะมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ถ้าอากาศร้อน บางทีแรงงานก็ต้องทำงานกลางคืน ซึ่งก็เหมือนกับทั้งบ้านต้องเย็บผ้าด้วย เพราะเครื่องจักรเสียงดังทำให้ทุกคนในบ้านต้องตื่นและไม่ได้นอน
.
โลกรวนทำอาชีพเก่าตาย เกิดอาชีพใหม่เพื่อตอบโจทย์พลังงานสะอาด
กรรณิกา แก้วศรีสังข์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานนโยบายเศรษฐกิจแรงงานมหภาค สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ภาครัฐเองมองเห็นว่าภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบถึงการทำมาหากิน สุขภาพ และเศรษฐกิจของผู้ทำงาน จึงพยายามที่จะมีแนวทางในการให้ความช่วยเหลือ โดยมองว่าสิ่งแวดล้อมกับคนน่าจะต้องพัฒนาไปด้วยกัน
เธอเล่าต่อว่าแนวโน้มด้านสิ่งแวดล้อม มักจะมาควบคู่กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้ต้องมีการปรับปรุงในเรื่องการทำงาน บางอาชีพที่ทำอยู่อาจจะหายไป เพราะเทคโนโลยีเก่าไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มของโลกคือจะต้องเป็นพลังงานสีเขียว ซึ่งเน้นการใช้สินค้าที่รักษาโลก เช่นอะไรที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมคนก็จะไม่นิยม ดังนั้นการผลิตในทุกวันนี้จึงหันไปเอาใจผู้บริโภคมากขึ้น
ส่วนคนก็จะปรับตัวกับกระแสนี้มากขึ้น เช่นคนที่อยู่ในโรงงานการผลิตสินค้าแบบเก่า หากนายจ้างมีการปรับเทคโนโลยี คนก็ต้องมีการปรับตัวแต่ ถ้าคนไม่มีทักษะจะต้องตกงาน ตรงนี้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จะมีการเข้ามามีบทบาทพัฒนาฝีมือสำหรับคนที่อยู่ในระบบฝีมือแบบเก่า ให้มีทักษะการผลิตที่ตรงกับทักษะการผลิตสมัยใหม่ ตรงกับความต้องการของนายจ้าง
สำหรับใครที่ไม่มีเทคโนโลยี หรือไม่มีฝีมือที่สอดคล้องกับสมัยใหม่ กรมการจัดหางานก็จะเข้ามาหางานให้สอดคล้องกับสิ่งที่เป็น โดยการรองรับด้านอาชีพเสริม เพราะใช่ว่าทุกคนจะสามารถมีทักษะในเรื่องของกรีนจ๊อบ (Green Job) ที่เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่นเรื่องของพลังงานสะอาด โซลาร์เซลล์ การแปรรูปสินค้าเกษตร การรีไซเคิลขยะเป็นต้น ซึ่งใครที่ไปต่อทางนี้ไม่ได้ กรมการจัดหางานก็จะเข้ามารองรับตรงนี้
“ในส่วนของภาครัฐ เบื้องต้นมี พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนที่เสนอรัฐสภาพิจารณา ถ้ามีพระราชบัญญัติตัวนี้จะเป็นการคุ้มครองสิทธิของแรงงานนอกระบบได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้ต้องเข้าใจว่ารัฐพยายามผลักดัน แต่ยังต้องใช้เวลา และรอเวลาอีกนิดหนึ่ง”
กรรณิกา แก้วศรีสังข์ กล่าว

.
ความร้อนของคนเมือง และพื้นที่สีเขียวที่หายไป
เบญจมาส โชติทอง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการและแผนงานสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า คนเมืองกับคนชนบทจะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่ต่างกัน ตอนนี้ภาวะโลกร้อนมี 2 ลักษณะคือ 1. แบบค่อยเป็นค่อยไป และ 2. แบบสุดขั้ว เช่นความร้อน และพายุต่าง ๆ
นอกจากนี้ผลกระทบยังมีเรื่องของความร้อน และแบบแผนของฝนที่อาจจะมาโดยคาดไม่ถึง เธอกล่าวว่า ภาวะเหล่านี้ส่งผลต่อการเตรียมข้าวของเตรียมรับมือที่ต้องมีมากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้โทษโลกร้อนอย่างเดียว หลายเรื่องเกิดจากการกระทำและการพัฒนาที่มองไม่ครอบคลุม ซึ่งเป็นการซ้ำเติมทำให้เกิดความร้อนมากขึ้น เช่น ตึกที่บังทิศทางลม และสิ่งปลูกสร้างที่ปลูกในพื้นที่รับน้ำ หรือลานจอดรถที่เป็นโครงสร้างแข็งไม่มีพื้นที่ให้น้ำซึมผ่าน เป็นต้น เหล่านี้ก็เร่งให้เกิดภาวะน้ำรอระบายนานขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาระวังผลกระทบ อาจจะต้องมองเรื่องภาวะโลกร้อนแบบ ภูมิอากาศ (Climate) และที่ไม่ใช่สภาพภูมิอากาศ (Non Climate) ควบคู่กันไป
ยังมีประเด็นผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มคนจน ที่มีศักยภาพในการปรับตัวน้อยกว่าคนที่มีศักยภาพสูง เธอเล่าต่อว่า เราเห็นผลกระทบกับสุขภาพ เห็นเรื่องของความหงุดหงิด ที่เห็นได้จากคำพูดของตัวแทนภาคประชาชนที่ตอบคำถามกันในตอนต้น รวมทั้งเรื่องของที่อาศัย การเกิดน้ำท่วม น้ำรอระบายก็มีผลต่อการทำมาหากินบ้านเรา

“ถ้าแห้งการเกิดไฟก็จะรุนแรงมากขึ้น เราจะเห็นไฟป่าตามข่าว แต่เราอาจจะลืมคิดว่าหมู่บ้านที่อยู่กันแออัด ถ้าเกิดความแห้งแล้งการลุกลามของไฟก็จะมากขึ้น… ฉะนั้นเวลาเราเสนอเชิงนโยบายอาจจะต้องชัดว่าอยู่ส่วน (sector) ไหน แล้วจับรวม sector กัน ว่ามันต้องเชื่อมโยงกันรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง”
เบญจมาส โชติทอง กล่าว
อีกหนึ่งนโยบายที่ เบญจมาส อยากผลักดันคือ การเพิ่มพื้นที่ธรรมชาติและพื้นที่สีเขียวให้ทำหน้าที่เป็นพื้นที่รับน้ำ หลายคนอาจรู้สึกไม่ชอบเมื่อเห็นน้ำท่วมขัง แต่ในความเป็นจริง พื้นที่เหล่านี้ช่วยรองรับน้ำและลดผลกระทบจากน้ำท่วมในจุดอื่นได้ ซึ่งแนวคิดการจัดการพื้นที่น้ำท่วมแบบนี้ถูกใช้ในหลายเมืองทั่วโลก โดยยอมให้บางพื้นที่ท่วมได้ภายใต้ระบบที่มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพียงแค่ผันน้ำออกไปยังพื้นที่รอบนอกเท่านั้น
เธอเสนอแนวคิดที่ว่า “วัดกับต้นไม้ต้องไปด้วยกัน ธรรมะกับธรรมชาติต้องไปด้วยกัน” คือเริ่มต้นจากทำพื้นที่วัดให้เป็นพื้นที่สีเขียว เพราะปัจจุบันที่ดินเหล่านี้มักถูกแปลงเป็นลานจอดรถหรือพื้นที่ตลาดนัดแล้วเก็บค่าเช่า เมื่อพื้นที่ที่เคยดูดซับน้ำหายไป น้ำก็จะไหลเทไปสู่ชุมชนรอบข้างซึ่งเสี่ยงได้รับผลกระทบ เธอมองว่านี่คือสิ่งที่สามารถเริ่มแก้ไขได้ทันที
เธอชี้ว่า พื้นที่สีเขียวจึงมีฟังก์ชันสำคัญมากกว่าความร่มรื่นหรือการดูดซับคาร์บอน เพราะยังทำหน้าที่เป็น “แก้มลิง” ตามแนวพระราชดำริ ช่วยรองรับน้ำได้ตามธรรมชาติ แต่ปัจจุบัน พื้นที่เหล่านี้หลายแห่งกลับถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรโดยไม่ได้เน้นผลผลิตทางการเกษตรจริงจัง หากแต่เพื่อจุดประสงค์ในการลดภาระภาษีที่ดิน ซึ่งความจริงแล้ว เราสามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ทันที ผ่านการใช้พื้นที่วัด พื้นที่ของหน่วยงานราชการ พื้นที่ทางทหาร พื้นที่ริมทางรถไฟ หรือพื้นที่ราชพัสดุต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ควรกลายเป็นนโยบายลำดับต้น ๆ ว่าไม่ใช่แค่สร้างอาคารอย่างเดียว แต่ต้องอยู่อย่างกลมกลืนกับพื้นที่สีเขียวและพื้นที่รับน้ำ ทั้งนี้เสนอว่า กทม. ต้องทำมากกว่าพื้นที่ที่ดูแลอยู่
.
รัฐกับภารกิจลดก๊าซเรือนกระจก ทำจริงหรือแค่พูด?
วนัน เพิ่มพิบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand กล่าวว่า จากที่เราทำเวิร์ดคลาวด์ (ขอ 3 คำสำหรับภาวะโลกร้อน) กับของพี่น้องตัวแทนประชาชนที่อยู่ที่นี่ ที่แม้ไม่ใช่กลุ่มใหญ่แต่เมื่อพูดถึงโลกร้อน เราจะเห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับวิถีชีวิต ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเงินในกระเป๋าหรือค่าใช้จ่าย รายได้น้อย แต่รายจ่ายเยอะ นี่คือผลกระทบด้วย ฉะนั้นไม่ใช่เพียงแค่การพูดเรื่องการลดการปล่อยก๊าสเรือนกระจก หรือการพูดว่าทำยังไงให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ และทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงอย่างเดียว แต่สิ่งที่ต้องมาพร้อมกันคือเราต้องพูดถึงเรื่องผลกระทบ
เธอกล่าวต่อว่า นอกจากพี่ ๆ ที่อยู่ในนี้แล้ว ยังมีพี่น้องในที่อื่นอีกที่ไม่รู้ว่าตนเองได้รับผลกระทบจากโลกร้อนอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ในการทำงานกับพี่น้องเกษตรกรและพี่น้องประมง เวลาพูดถึงโลกร้อนไม่ได้พูดถึงแค่ฝนตก น้ำท่วม หรือว่าแล้ง แต่พูดถึงเรื่องอุณหภูมิที่มันสูงขึ้น นั่นแปลว่ามันมีความร้อนสูง ฉะนั้นเราพูดถึงความร้อนสูง 41 องศานี้ร้อนแล้ว บางพื้นที่ 43 องศา เราจะอยู่อย่างไรถ้ามันเป็นแบบนี้ มันจะกลายเป็นสิ่งปกติใหม่ (New Normal) ที่กำลังเกิดขึ้น ฉะนั้นเราจะอยู่ยังไงกับการที่จะร้อนขึ้น แล้ววันนี้เรารู้แล้วว่ามันร้อนขึ้นส่งผลกระทบกับอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องตัวเอง เรื่องวิถีชีวิต
“ในระดับนโยบายของประเทศ มาถามเราหน่อย… ว่าโลกร้อนส่งผลกระทบอะไรกับเรา มันอาจมีนอกเหนือจากเรื่องความร้อนก็ได้ น้ำท่วมเราเคยรู้ไหม พี่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมยังไง… มีบ้างไหมคะ”
วนัน เพิ่มพิบูลย์ กล่าว

วนัน เล่าว่า หลายครั้งเวลาที่รัฐพูดถึงการลดก๊าซเรือนกระจก มักเน้นที่การใช้เทคโนโลยี เช่น พลังงานสะอาด หรือระบบคาร์บอนเครดิต โดยหวังผลให้ตัวเลขการปล่อยก๊าซลดลง แต่สิ่งที่มักถูกมองข้ามคือ “ผลกระทบต่อคนตัวเล็กในระบบ” ซึ่งรวมถึงแรงงานนอกระบบ เกษตรกร ชาวประมง และคนจนเมือง ตัวอย่างเช่น พี่น้องเกษตรกรหรือแรงงานในเมืองไม่ได้รับรู้เลยว่าตัวเองได้รับผลกระทบจากโลกร้อนอย่างไร ทั้งที่จริง ๆ พวกเขาได้รับผลกระทบหนัก เช่น ความร้อนที่พุ่งขึ้นถึง 41-43 องศา ซึ่งไม่เพียงแค่สร้างความอึดอัด แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพและการทำมาหากินโดยตรง
.
“สามเด้ง” ผลกระทบจากโลกร้อนที่ซ้ำเติมคนจน
วนัน เพิ่มพิบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand กล่าวว่า ชี้ว่า ผลกระทบจากโลกร้อนมีอย่างน้อย 3 ชั้น หรือที่เรียกว่า “สามเด้ง”
เด้งแรก คือ คนจน แรงงานนอกระบบ และคนในชุมชนแออัด ที่แม้ไม่มีเรื่องโลกร้อน ก็เดือดร้อนอยู่แล้วจากสภาพเศรษฐกิจและโครงสร้างสังคม เช่น ไม่มีหลักประกัน ไม่มีเงินสำรอง เมื่ออยู่ในบ้านที่ร้อนจัด ต้องใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น ก็ได้รับผลกระทบไม่มีใครช่วยรับผิดชอบ
เด้งที่สอง คือ เมื่อโลกร้อนขึ้น ผลกระทบที่ซ้ำเติมก็คือเรื่องสุขภาพ ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต เช่น ค่าไฟแพงขึ้น การออกไปขายของลำบากขึ้น เพราะน้ำท่วมหรืออากาศร้อนจัด
เด้งที่สาม คือ นโยบายที่ออกมาเพื่อ “แก้ปัญหาโลกร้อน” กลับไปกระทบกลุ่มคนเล็ก ๆ อีก เช่น โครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ที่เปิดโอกาสให้กลุ่มทุนจ่ายเงินเพื่อรักษาสิทธิในการปล่อยก๊าซ โดยไม่ได้ลดการปล่อยจริง ส่วนชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการกลับไม่ได้รับผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม
ยกตัวอย่างกรณี กทม. กำลังมีแนวทางเรื่องซื้อขายคาร์บอนเครดิต นี่เป็นเรื่องที่กว้างขวางมากในประเทศไทย ซึ่งประเด็นการซื้อขายคาร์บอนนี้ มันส่งเสริมให้กลุ่มทุนยังคงสามารถปล่อยและทำร้ายโลกใบนี้ได้อยู่
“สมมติมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้เท่านี้ในบริษัท ก.ไก่ ถ้าหาวิธีการในหลีกเลี่ยงไม่ให้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณเดิม คือเขาก็จะขอซื้อ พูดง่าย ๆ ว่าจะจ่ายตังค์ ประหนึ่งว่าเขาเป็นคนลดเอง ฉะนั้นเขาไม่ได้ลดแต่มีสตางค์มาให้ ดังนั้น คำถามคือว่ามันมีความเป็นธรรมในการแก้ปัญหาแบบนี้ไหม และนอกจากจะไม่เป็นธรรมใครได้รับประโยชน์ ก็คือกลุ่มทุนนั่นเองที่ได้รับประโยชน์” ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand กล่าว
เธอกล่าวต่อว่า พี่น้องเราที่ถูกหลอกว่า ถ้าเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตแล้วเราจะได้อะไร แต่แท้จริงแล้วมันมีคนได้มากกว่าเรา ทั้งนี้เราไม่ได้ถูกมองข้ามแต่เราถูกซ้ำเติม เพราะโลกร้อนไม่ได้ถูกแก้ไข เราจะยังคงมีโลกร้อน อุณหภูมิจะยังสูงขึ้นและค่าไฟจะแพงขึ้น ขายของไม่ได้อีกเพราะฝนก็จะมา อุณหภูมิก็จะสูงพุ่งขึ้นไปอีก ประเด็นที่กล่าวมาเธอตั้งคำถามต่อว่า “เราจะรับมือกันยังไง”

วนัน ยังพูดถึงนโยบายการส่งเสริมการเปลี่ยนรถยนต์ดีเซลเป็นรถไฟฟ้า โดยมองว่า ที่บอกว่าช่วยลดการปล่อยคาร์บอน แต่คำถามคือใครจะได้สิทธิประโยชน์จากโครงการนี้ ถ้าเป็นเงินกู้ และใครจะต้องเป็นหนี้ นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนรถเมล์ดีเซลกว่า 1,000 คันในกรุงเทพฯ เป็นรถเมล์ไฟฟ้า ซึ่งแม้จะดูดีในเชิงสิ่งแวดล้อม แต่แรงงานที่เคยขับรถดีเซล และคนที่เคยประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์เหล่านี้ในระบบนอกอย่างแรงงานฝีมือในครัวเรือน กลับไม่ได้รับการพูดถึงว่าเขาจะปรับตัวอย่างไร จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังหรือไม่
ประเด็นการปรับเปลี่ยนจากรถใช้น้ำมันมาเป็นรถใช้พลังงานไฟฟ้า กรรณิกา แก้วศรีสังข์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานนโยบายเศรษฐกิจแรงงานมหภาค สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า เรื่องนี้อาจทำให้พนักงานบางคนต้องปรับตัวใหม่ เพราะไม่เคยขับรถประเภทนี้มาก่อน กระทรวงแรงงานจึงมีหลักสูตรอบรมพัฒนาทักษะใหม่ (reskill/upskill) โดยมีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานรองรับ ส่วนผู้ที่อยากเปลี่ยนอาชีพ ก็มีกรมการจัดหางานเข้ามาช่วยวางแผนหางานที่เหมาะสมให้
ส่วนเรื่องสิ่งแวดล้อมกับแรงงาน เธอมองว่า นโยบายคาร์บอนเครดิตอาจสร้างอาชีพใหม่ขึ้น ในการปลูกต้นไม้เพื่อขายเครดิตให้กับกลุ่มธุรกิจที่ปล่อยมลพิษอย่างสายการบิน เธอมองว่านี่คือโอกาส แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมคนที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ กระบวนการเปลี่ยนผ่าน ควรเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรม ภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการดูแล เช่น หากคนตกงาน ก็ต้องช่วยหางานหรือสนับสนุนการพัฒนาทักษะใหม่ แต่ในส่วนของสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ประกันสังคม ตอนนี้ยังเป็นระบบสมัครใจ ยังไม่มีนโยบายให้เข้าถึงถ้วนหน้า ซึ่งเป็นประเด็นที่ควรพูดคุยกันต่อ โดยรัฐอาจต้องพิจารณาแนวทางจัดหางบ เช่น การเก็บภาษีจากกลุ่มรายได้สูง หรือเพิ่มค่าคาร์บอนเครดิต เพื่อมาสนับสนุนแรงงานอย่างทั่วถึง
.
“แรงงานทำงานที่บ้าน” กลุ่มที่นโยบายโลกร้อนยังมองไม่เห็น
พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ ยอมรับว่า ประเทศไทยยังล้าหลังมากในการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่แค่ในเชิงนโยบาย แต่ยังรวมถึงความเข้าใจของคนในสังคมด้วย หลายคนยังมองว่าแค่ขายคาร์บอนเครดิตได้เงินก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ทั้งที่ความจริงทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงกันหมด
เธอย้ำว่า เรายังรู้ไม่เท่าทันโลกร้อน จึงขยับช้าในการรับมือ วันนี้เราต้องเจอกับวิกฤตหลายชั้น เจอสองเด้งก็หนักแล้ว ถ้าสามเด้ง ประชาชนจะอยู่กันอย่างไร เรื่องง่าย ๆ อย่างการเปิดแอร์ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน โดยไม่รู้เลยว่าความร้อนที่ปล่อยออกไปสะสมเป็นมลพิษต่อส่วนรวมอย่างไร นี่คือผลลัพธ์ของการขาดความตระหนักรู้ ดังนั้นเราต้องเริ่มจากการทำให้ประชาชนเข้าใจว่าสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนไปอย่างไร และเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาอย่างไร ลองฟังเสียงคนที่พูดว่า “อากาศร้อนจนแสบผิว” แล้วเชื่อมโยงให้ได้ว่า นี่คือผลจากโลกร้อน และเราทุกคนล้วนมีส่วน ทั้งในฐานะผู้ก่อ และผู้ได้รับผลกระทบ
จากการที่ พูลทรัพย์ ได้คุยกับแรงงาน เธอชี้ว่าหลายคนเริ่มตระหนักว่าโลกร้อนเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะสามกลุ่มหลัก คือ โรงงานที่ใช้พลังงานฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า และอุตสาหกรรมปศุสัตว์ บางคนถึงขั้นเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น เลิกกินเนื้อวัวเพื่อช่วยลดโลกร้อน คำถามคือ เราจะทำอย่างไรให้คนในประเทศตื่นรู้และก้าวไปด้วยกัน หากแต่ละคนยังแยกกันคิด เราก็จะไม่สามารถป้องกันหรือกำหนดนโยบายที่เหมาะสมได้ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดกลับไม่ใช่ผู้ก่อมลพิษ แต่คือคนที่ปรับตัวไม่ทัน ซึ่งไม่ยุติธรรมเลย เพราะคนเหล่านี้มักไม่มีส่วนในการสร้างวิกฤต แต่กลับต้องรับผลเต็ม ๆ
เธอเล่าต่อว่า รู้สึกโกรธทุกครั้งที่ได้ฟังคำพูดในเวทีระดับโลกที่ว่า “ผู้หญิงคือคนที่จะมาช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน” เพราะแม้จะพูดถึงผู้หญิงทุกคนอย่างมีความหวัง แต่ขณะเดียวกันรู้ไหมว่า อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียส ก็เพิ่มความเสี่ยงแท้งในหญิงตั้งครรภ์ได้ถึง 27–42%
“ที่บอกว่าผู้หญิงทั่วโลกต้องลุกขึ้นมาช่วยกัน แต่ว่าทำไมไม่ไปจัดการกับคนที่ปล่อย (ก๊าซเรือนกระจก) อันนี้เป็นความไม่ยุติธรรม… ไม่ใช่ว่าให้ผู้หญิงทุกคนมาแก้ปัญหาตรงนี้ แต่ให้ทุกคนช่วยกันคิดว่า เราจะแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไร เราจะเดินไปข้างหน้าร่วมกันยังไง” พูลทรัพย์ กล่าว
.
เมื่อเสียงของประชาชนยังไม่ไปถึงนโยบาย ควรเริ่มต้นอย่างไร?
วนัน เพิ่มพิบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand กล่าวว่า มีนโยบายแก้ปัญหาโลกร้อนมากมาย แต่ส่วนใหญ่กลับเอื้อนายทุน ทำให้ประชาชนยังเดือดร้อน และคำถามใหญ่คือ จะเอาเงินมาจากไหน เพราะการลงทุน การชดเชย รวมถึงการสร้างสวัสดิการสังคม ต้องใช้เงินจำนวนมาก
เธอตั้งคำถามต่อว่า เงินจากรัฐจะพอไหม หรือรัฐจะใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน พร้อมแนะว่า แหล่งทุนและบริษัทต่าง ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ควรจ่ายภาษีและเงินชดเชยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แทนการได้รับสิทธิพิเศษ เพราะธุรกิจที่ทำลายโลกมานาน ควรเสียภาษีเป็นค่าบาปบ้าง เธอในฐานะภาคประชาสังคม เรียกร้องให้รัฐเรียกเงินจากกลุ่มที่ทำลายโลก โดยเฉพาะนักธุรกิจรายใหญ่ เพื่อนำมาใช้ช่วยเหลือคนจนที่ได้รับผลกระทบซึ่งเข้าถึงสวัสดิการได้ยาก รวมถึง ฟังเสียงประชาชนที่ประสบปัญหา เช่น น้ำท่วมจนขายของไม่ได้ ไม่ใช่โยนให้ไปขายที่อื่น โดยไม่แก้ปัญหาอย่างจริงจัง
วนัน ยังเสนออีกว่า คนทำงานกลางแจ้งที่เจอปัญหาผื่นคันจากความร้อน ควรต้องเข้าถึงครีมกันแดด ซึ่งควรเป็นสิทธิในระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค ไม่ใช่แค่สินค้าด้านความงาม (cosmetic) ทั่วไป เพราะครีมกันแดดช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้

เบญจมาส โชติทอง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการและแผนงาน สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เสริมว่า หากระบุปัญหาโลกร้อนอย่างชัดเจน ก็จะช่วยแก้ไขได้ตรงจุด พี่น้องแรงงานได้สะท้อนเรื่องค่าใช้จ่ายและการทำมาหากิน รวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น อาการคันผิวหนัง หงุดหงิด โรคหยุดหายใจขณะนอน ความดันโลหิต และโรคหลอดเลือด ซึ่งวิจัยยืนยันว่า โลกร้อนทำให้อาการเหล่านี้รุนแรงขึ้น โดยคนที่เข้าถึงระบบสาธารณสุขได้น้อยจะได้รับผลกระทบรุนแรงกว่า
ด้าน พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ ย้ำว่า ยังมีเรื่องของกลุ่มผู้ค้าแผงลอยและวินมอเตอร์ไซค์ ที่ต้องมีที่บังแดดและห้องน้ำให้เพียงพอ เพราะต้องทำงานหลายชั่วโมงในสภาพร้อนจัด การขาดน้ำดื่มส่งผลให้เสี่ยงติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่ต้องแก้ไข เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า หาบเร่แผงลอยและวินมอเตอร์ไซค์เป็นส่วนสำคัญของเมือง ดังนั้นต้องทำอย่างไร ให้คนกลุ่มนี้มีสุขภาพดีและปลอดภัยมากขึ้น
เธอมองว่า กทม. ควรร่วมกับกระทรวงแรงงาน สร้างที่พักวินมอเตอร์ไซค์ พร้อมน้ำสะอาด และห้องน้ำ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ นอกจากนี้อุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้โรคจากยุง เช่น ไข้เลือดออกและมาลาเรียกลับมาแพร่ระบาดอีก เราจึงต้องเชื่อมโยงปัญหาเหล่านี้และเน้นการป้องกันก่อนเกิดเหตุ โดยข้อเรียกร้องที่สำคัญคือ ต้องมีการแจ้งเตือนความเสี่ยงล่วงหน้าเพื่อให้ชุมชนเตรียมตัวและป้องกันได้ทัน ไม่ใช่รอจนเกิดเหตุแล้วค่อยแจ้ง เช่น โรคลมแดด หรือภาวะฮีทสโตรก (Heat Stroke) ที่มักพบในคนทำงานกลางแจ้ง
กรรณิกา แก้วศรีสังข์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานนโยบายเศรษฐกิจแรงงานมหภาค สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ชี้แจงประเด็นข้างต้นว่า กระทรวงแรงงานมีมาตรการดูแลแรงงานโดยเฉพาะผู้ที่มีนายจ้าง เช่น การจัดน้ำดื่ม และเวลาพักที่เหมาะสม ส่วนแรงงานนอกระบบก็มีการร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ให้ความรู้ด้านสุขภาพ และการป้องกันผลกระทบจากอากาศร้อน
เธอกล่าวว่า ปัจจุบันมีคณะกรรมการด้านโลกร้อนที่เปิดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็น ซึ่งจะช่วยให้รัฐออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์คนทำงานจริง โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ ที่ภาครัฐอาจเข้าถึงได้ยากในบางเรื่อง เช่น การทำจุดน้ำดื่ม จุดพักบังแดดให้ไรเดอร์และวินมอเตอร์ไซค์ ที่ยังทำได้ไม่ครบถ้วน แต่รัฐพยายามผลักดันให้สวนสาธารณะหรือห้องสมุดมีพื้นที่บริการเหล่านี้ และอยากให้ชุมชนร่วมพัฒนาระบบเตือนภัย เช่น ใช้ไลน์ออฟฟิเชียล แจ้งเตือนอากาศร้อนหรือฝนตก
.
ฟังเสียงประชาชน ผู้เดือดร้อนจากภาวะโลกร้อน

ตัวแทนเครือข่ายแรงงานนอกระบบ สะท้อนว่า
รัฐยังความสำคัญกับแรงงานนอกระบบไม่มากพอ เหมือนพวกเขาถูกจัดไว้ท้ายแถว สิ่งที่ควรเร่งผลักดันคือปัญหาการพัฒนาเมือง ตึกสูงขึ้นเต็มไปหมด ทำให้พื้นที่ค้าขายเดิม รวมถึงแผนสำหรับทำพื้นที่กักเก็บน้ำ หายไป
อีกเรื่องคือโครงการโซลาร์เซลล์ของ กทม. ที่เคยเสนอของบชุมชนละ 200,000 บาท แต่ถูกปฏิเสธว่า “ไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวก็พัง” ทั้งที่งบเดิมมักใช้กับของซ้ำๆ อย่างเก้าอี้ โต๊ะ ไม้กวาด หรือทัศนศึกษาที่ไม่ได้เกิดประโยชน์จริง ถ้าเป็นไปได้อยากให้นำงบก้อนนี้มาทำโซลาร์เซลล์ในชุมชนดีกว่า ถ้าทำปีละชุมชน ในระยะยาวก็ค่อยๆ ครอบคลุม 2,000 กว่าชุมชนใน กทม. ได้
นอกจากนี้ เธอยังสะท้อนเรื่อง “น้ำดื่ม” ที่เคยมีตามป้ายรถเมล์ แต่ปัจจุบันกลับหายไป ทั้งที่สิ่งนี้เป็นความจำเป็นพื้นฐานของคนที่ทำงานกลางแจ้ง
เบญจมาส โชติทอง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการและแผนงาน สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ชี้แจงประเด็นข้างต้นว่า ปัญหานี้สะท้อนข้อจำกัดของระบบจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมักจัดสรรงบไปกับของที่ไม่ตอบโจทย์ พร้อมยืนยันว่าจะช่วยส่งเสียงผลักดันต่อไป ส่วนเรื่องน้ำดื่ม ก็ถือเป็นสิทธิพื้นฐานที่ไม่ควรถูกละเลย หากมีจุดบริการน้ำสะอาดเข้าถึงได้ง่าย ก็ช่วยลดขยะจากขวดพลาสติก และไม่ต้องใช้งบประมาณมากนัก อีกทั้งควรจัดพื้นที่ให้มีต้นไม้และบรรยากาศร่มรื่นสำหรับแรงงานที่ขายของริมทาง แม้ฟุตบาทอาจดูไม่สวยงามนัก แต่ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันดูแล ก็สามารถอยู่ร่วมกับเมืองได้อย่างกลมกลืน
.
ตัวแทนประชาชน กล่าวว่า การปรับพื้นที่ในชุมชน ควรคำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก ทั้งในแง่ของการให้ข้อมูลและการมีส่วนร่วม ข้อเสนอสำคัญคือ รัฐควรแก้ปัญหาเชิงรุกมากกว่าแค่รอรับผลกระทบ สำหรับนโยบายปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว แม้จะเป็นมาตรการทางอ้อมที่ดูดี แต่ถ้าพื้นที่เหล่านี้ถูกเก็บภาษีแล้วนำเงินมาพัฒนาชุมชนได้ ก็อาจให้ประโยชน์ที่ชัดเจนและตรงจุดกว่า
ขณะเดียวกัน ในระดับโรงงานที่มีนโยบายเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยของแรงงาน แต่แรงงานนอกระบบผู้เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่รับงานจากโรงงานมาทำอีกทอด ส่วนนี้กลับยังไม่เห็นมีการพูดถึงนโยบายที่จะออกมาดูแลแรงงานเลย

เธอย้ำว่า นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐ ควรเน้นที่การรับมือผลกระทบจากโลกร้อนอย่างตรงจุด ไม่ใช่เพียงแค่ปลูกต้นไม้เพื่อขายคาร์บอนเครดิต เพราะนั้นไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาโลกร้อนที่แท้จริง ทั้งนี้รัฐควรเป็นเจ้าภาพหลักในการออกนโยบายที่ปกป้องประชาชนจากผลกระทบเหล่านี้
ส่วนเรื่องประกันสังคม เธอมองว่า การลดการจ่ายเงินสมทบไม่ใช่คำตอบ แต่ควรขยายสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิง และแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อน เช่น อาการป่วยจากอากาศร้อน น้ำท่วม หรือสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย การเริ่มต้นจากกลุ่มเหล่านี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบสวัสดิการที่ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน
กรรณิกา แก้วศรีสังข์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานนโยบายเศรษฐกิจแรงงานมหภาค สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ตอบประเด็นข้างต้นว่า แม้ปัจจุบันยังไม่มีการขยายสิทธิประกันสังคม ไปถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติหรือสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่สำนักงานประกันสังคม มีการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอยู่แล้ว โดยเฉพาะในชุมชนต่าง ๆ ซึ่งสามารถสะท้อนความต้องการผ่านช่องทางนี้ได้ ทั้งนี้ มีแนวโน้มว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยู่ในระหว่างการพิจารณาขยายสิทธิ์ดังกล่าว หากนโยบายรัฐให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ก็จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่นำไปสู่การปรับระบบประกันสังคมให้ครอบคลุมกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในวงกว้างมากขึ้น
.
ต้นทุนแฝงของแรงงาน รัฐบาลสามารถช่วยอะไรได้บ้าง?
กรรณิกา แก้วศรีสังข์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานนโยบายเศรษฐกิจแรงงานมหภาค สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานนอกระบบได้รวมสิทธิและการคุ้มครองต่าง ๆ ไว้ครบถ้วน เพียงแต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ ในความคิดเห็นส่วนตัวเธอมองว่า ระหว่างนี้ ภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกัน เช่น หากแรงงานนอกระบบได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติและสูญเสียรายได้ ควรมีช่องทางให้เข้าถึงกองทุนหรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งปัจจุบันมีธนาคารอย่างออมสินและ ธ.ก.ส. ที่เปิดให้กู้ในลักษณะนี้ เพื่อช่วยพยุงสถานการณ์และลดผลกระทบที่เกิดขึ้น
ตัวแทนประชาชน แสดงความคิดเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.แรงงานอิสระไม่ได้ตอบโจทย์ความเป็นจริงของแรงงานนอกระบบ โดยเฉพาะกลุ่มไรเดอร์ที่รู้สึกว่าตนถูกผลักเข้ามาอยู่ภายใต้กฎหมายนี้อย่างไม่สมัครใจ แทนที่จะเป็นการคุ้มครอง กลับกลายเป็นการตีกรอบสิทธิและความอิสระเดิมที่เคยมี ยิ่งไปกว่านั้น หากจะเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น เงินกู้ การดูแลสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ ก็จำเป็นต้องสมัครเป็นสมาชิกและเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นภาระเกินกำลังในภาวะที่ต้นทุนชีวิตเพิ่มสูงขึ้น จากผลกระทบของโลกร้อน
เธอชี้ว่า พ.ร.บ.นี้ ไม่ควรถูกมองว่าเป็นทางออก เพราะรัฐมีหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตแรงงานอยู่แล้ว การออกกฎหมายนี้จึงเหมือนเป็นการตีกรอบให้แคบลง ไม่สอดคล้องกับความจริงของแรงงานอิสระ ที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง อีกทั้ง พ.ร.บ.นี้ ไม่ได้แตะถึงปัญหาใหญ่ เช่น ผลกระทบจากโลกร้อน ซึ่งแรงงานกลับต้องแบกรับโดยไร้หลักประกันหรือความมั่นคงใด ๆ รัฐควรมีนโยบายที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบมากกว่านี้ เพราะพวกเขาก็เป็นฟันเฟืองสำคัญในระบบเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงกลุ่มที่ถูกผลักออกจากระบบสวัสดิการ ภายใต้ชื่อ “แรงงานอิสระ” ที่ไม่มีความอิสระอย่างแท้จริง

วนัน เพิ่มพิบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand เธอเห็นด้วยกับตัวแทนประชาชน ที่มองว่ากฎหมายใหม่นี้ไม่ตอบโจทย์ เธอเสริมว่านี่เป็นประเด็นสิทธิโดยตรง สำหรับประเด็นเรื่อง พ.ร.บ.แรงงานอิสระ ควรใช้โอกาสนี้เพื่อบรรจุเรื่องโลกร้อนเข้าไปด้วย เพราะเป็นเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เสียงจากประชาชนที่ส่งถึงรัฐตลอดเวลา มักไม่ได้รับการตอบสนองอย่างแท้จริง ทั้งที่ประชาชนพูดมาโดยตลอด ไม่ใช่เพิ่งเริ่มพูด
ทั้งนี้เธอย้ำว่า การรับมือกับโลกร้อนไม่ใช่แค่การพยากรณ์อากาศ แต่ควรมีข้อมูลระยะยาวเพื่อให้ประชาชนได้วางแผนปรับตัว เช่น หากรู้ว่าอีก 10 ปีฝนจะตกมากขึ้นในกรุงเทพฯ ประชาชนก็จะสามารถเสนอให้มีพื้นที่รองรับน้ำ หรือพื้นที่ค้าขายที่เหมาะสมได้ ไม่ใช่แค่รอรับผลกระทบอย่างเดียว
ในส่วนของด้านสภาพภูมิอากาศอื่น ๆ ที่ประเทศไทยจัดทำและจะเสนอไปยังสหประชาชาติ เธอชี้ว่า แผนฉบับแรกไม่มีเรื่องแรงงานเลย ดังนั้น แผนฉบับใหม่ต้องมีการพูดถึงแรงงาน การเปลี่ยนผ่าน การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกลุ่มเล็ก กลุ่มเปราะบาง และแรงงานในเมืองที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อน
เธอยังเตือนในเรื่องเงินทุนว่า หากการสนับสนุนยังอยู่ในรูปแบบเงินกู้หรือตั้งกองทุนให้เป็นหนี้ซ้ำ ๆ ก็จะไม่ต่างจากเดิม ชาวนา เกษตรกร และกลุ่มเปราะบางก็จะกลายเป็นหนี้ต่อเนื่อง โดยไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรความเปราะบาง ที่ถูกภาวะโลกร้อนซ้ำเติมได้
.
เสียงจากหาบเร่แผงลอย สู่คนทำงานด้านนโยบาย

พ่อค้าหาบเร่แผงลอย กล่าวว่า คนในอาชีพนี้แทบไม่เคยพูดถึงโลกร้อนเลย เพราะสิ่งที่กังวลจริง ๆ คือจะถูกเทศกิจไล่หรือไม่ จะยังมีที่ขายของหรือเปล่า ทั้งที่นโยบายปลูกต้นไม้ล้านต้นเพื่อทำเมืองสีเขียวก็ดูดี แต่กลับกลายเป็นว่าแผงลอยกลับถูกมองว่าเป็นอุปสรรค ทั้งที่จริงแล้วอาชีพนี้เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมีมูลค่ามากถึง 10% ของ GDP ประเทศ
ถ้าผู้มีอำนาจเปลี่ยนมุมมอง อาชีพนี้จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ค้าได้ และเมื่อคนมีรายได้ มีความมั่นคง ความสนใจเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมก็จะตามมา แต่หากยังต้องดิ้นรนแค่จะขายของให้ได้ในวันรุ่งขึ้น เรื่องโลกร้อนย่อมเป็นเรื่องไกลตัว
นอกจากนี้ เขายังสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาว่า ได้ฟังเรื่อง พ.ร.บ.แรงงานอิสระมาตลอด 8 ปี แต่ไม่เคยเห็นผลเป็นรูปธรรม เช่นเดียวกับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ชุมชนเคยเสนอของบ เพียง 2 แสนบาท แต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุน สุดท้ายเขาตั้งข้อสังเกตว่า ประชาชนไม่เคยได้รับประโยชน์จากเงินสนับสนุนโลกร้อนระหว่างประเทศ เช่น คาร์บอนเครดิต ทั้งที่เราก็เป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง และการประชาสัมพันธ์ของรัฐก็ยังอ่อนมาก เขาไม่เคยได้ยินเรื่องการตั้ง “กลุ่มโลกร้อน” หรือแนวทางช่วยเหลือใด ๆ เลย
เขายอมรับว่า ตอนแรกที่เริ่มการเสวนา เขาไม่รู้จะพูดอะไรเกี่ยวกับโลกร้อน แต่เข้าใจว่ากลุ่มทุนใหญ่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโลกร้อน แต่รัฐบาลกลับไม่มีอำนาจในการลดผลกระทบจากกลุ่มทุนเหล่านี้ เพราะมีผลประโยชน์ซ้อนกัน สิ่งที่อยากขอคือ “ทุนสำรอง” เพื่อช่วยพวกเราที่มีรายได้น้อย บางคนมีทุนสำรองแค่วันสองวัน บางคนแค่เดือนสองเดือน แม้รัฐบาลจะบอกว่าไม่มีงบ แต่ประกันสังคมกลับปล่อยกู้ 10,000 ล้านบาทให้บางกลุ่มได้หมดในไม่กี่นาที ขณะที่ลูกค้าหาบเร่ พนักงานรับจ้างกลับไม่เคยได้รับทุนช่วยเหลือเลย จึงอยากให้รัฐฟังเสียงพวกเขาบ้าง และช่วยสนับสนุนทุนสำรองเพื่อให้เราปรับตัวอยู่กับโลกที่เปลี่ยนแปลงนี้ได้
แม่ค้าหาบเร่แผงลอย กล่าวว่า กฎหมายส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากมุมมองของคนตัวเล็ก แต่ถูกเขียนจากบนลงล่าง โดยไม่ถามความเห็นจากคนที่ใช้ชีวิตจริง ๆ เช่น กทม.ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 4,500 แห่ง และปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาอย่างโปร่งใส ขณะที่นโยบายต่าง ๆ กลับเน้นไล่คนจนเมือง และสร้างความสะดวกสบาย เช่น รถไฟฟ้า โดยไม่เคยถามคนในเมืองว่ารู้สึกอย่างไร
คนจนเมืองอย่างพวกเธอกลับถูกมองเป็น “ผู้ร้าย” ทั้งที่ปัญหาหลักไม่ได้มาจากคนกลุ่มเล็ก ๆ แต่เป็นผลจากการจัดการที่ล้มเหลวของภาครัฐ เช่น การแยกขยะที่รัฐเองก็ยังทำไม่สำเร็จ

เธอสรุปว่า ดังนั้นนโยบายที่ออกมาจึงไม่ได้มาจากการรับฟังอย่างแท้จริง แต่เป็นแค่ภาพลวงตาว่ารับฟังประชาชน และมีความเห็นเพียงส่วนน้อย ที่ถูกนำมาพิจารณา
ตัวแทนประชาชน กล่าวถึงเงื่อนไขเรื่องทุนไว้ว่า กองทุนส่วนใหญ่ต้องผ่านธนาคารหรือองค์กรที่มีข้อจำกัดเยอะ ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงยาก เช่น ธนาคารออมสิน ต้องใช้คนมีเงินค้ำประกัน คนที่มีรายได้ประจำหรือเป็นข้าราชการจึงเข้าถึงง่าย แต่คนทั่วไปเข้าถึงยาก ดังนั้นถ้ามีกองทุนภายใต้ประกันสังคมที่แค่เป็นสมาชิกก็สามารถกู้ได้เลย ไม่ต้องผ่านธนาคาร ก็จะช่วยได้มาก และถ้ากองทุนนี้ปลอดดอกเบี้ย และเน้นช่วยอาชีพโดยตรง ก็จะช่วยลดภาระหนี้ซ้ำซากได้ เพราะที่ผ่านมา กองทุนหลายแห่งคนไม่รู้จักหรือเข้าถึงยาก จึงควรลดเงื่อนไขการเข้าถึงให้มากขึ้น

พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ กล่าวว่า คณะกรรมการประกันสังคมชุดนี้ใกล้หมดวาระแล้ว จึงต้องเร่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง เพราะคนที่เดือดร้อน คือแรงงานซึ่งมีสายป่านสั้นกว่านายจ้าง เป็นการขับเคลื่อนนโยบายที่ล้าหลัง ไม่ทันสถานการณ์กับเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้แรงงานที่เป็นกลุ่มใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจถูกมองข้ามอย่างหนัก ประเทศเจริญแต่ประชาชนกลับอยู่ชายขอบ สถานการณ์ปัจจุบันมีวิกฤติเศรษฐกิจ โควิด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้งที่ซ้ำเติมความเปราะบางของสังคม แต่เสียงประชาชนกลับไม่ได้รับการตอบรับอย่างจริงจัง
เธอมองว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติความยากจน และแม้ประชาชนจะใช้บัตรสวัสดิการรัฐเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อภัยพิบัติรุนแรง เช่น อุณหภูมิสูงเกิน 40 องศา เธอเรียกร้องให้รัฐทำนโยบายที่มองเห็นคุณค่าของคน และนำความรู้ที่มีไปใช้ขับเคลื่อนประเทศอย่างแท้จริง ที่ผ่านมามีการพูดเรื่องนี้มานานกว่า 20 ปี แต่ยังไม่มีการนำไปปฏิบัติ
ทั้งนี้แม้จะมีการพูดถึงวิกฤตโลกร้อนมากขึ้น พูลทรัพย์มองว่า ไม่เห็นว่ามีหน่วยงานรัฐออกมาจัดการหรือออกนโยบายที่ช่วยให้ประชาชนปรับตัวได้จริง มีเพียงโฆษณาชวนเชื่อว่าทำแล้วได้ผล ขณะที่ระดับชาติก็ยังไม่มีการยกระดับความร้อน ให้เป็นภัยพิบัติอย่างจริงจัง เธอเสนอว่านอกจากรัฐบาลกลางแล้ว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรมีบทบาทมากขึ้น ต้องเข้าใจปัญหาโลกร้อนและมีแนวนโยบายชัดเจน เพราะหากส่วนกลางยังนิ่งเฉย ความหวังอาจต้องฝากไว้กับท้องถิ่น แต่คำถามสำคัญคือ ถ้าคนข้างล่างต้องลุกขึ้นมาทำเองทั้งหมด เราจะแก้ปัญหานี้ได้จริงหรือไม่
.
กระทรวงแรงงานอยู่ตรงไหนในนโยบายโลกร้อน?
กรรณิกา แก้วศรีสังข์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานนโยบายเศรษฐกิจแรงงานมหภาค สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การจัดการผลกระทบจากภาวะโลกร้อนไม่สามารถทำได้เพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคการเมืองที่เป็นผู้กำหนดนโยบาย ส่วนภาคราชการนั้นเป็นผู้ปฏิบัติ ซึ่งแม้ภาครัฐจะเข้าใจปัญหา แต่ก็ติดข้อจำกัด เช่น ความซ้ำซ้อนของบทบาทหน่วยงาน และการขาดเจ้าภาพหลักในการบูรณาการงานร่วมกัน
เธอเสนอว่า ควรดึงภาคชุมชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่น การใช้กลไกอาสาสมัครหรือคนในพื้นที่เป็นกระบอกเสียงประชาสัมพันธ์โครงการรัฐที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกับแรงงานนอกระบบ ที่อาจไม่มีเวลาเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่า แม้นโยบายด้านแรงงานอิสระจะพูดถึงมานาน แต่ก็ยังไม่คืบหน้าเพราะติดเรื่องผลประโยชน์
กรรณิกา ชี้ว่า ในระยะยาว กระทรวงแรงงานกำลังเริ่มศึกษาผลกระทบของภาวะโลกร้อน ต่ออนาคตการทำงานในไทย โดยเฉพาะในภาคเกษตร อุตสาหกรรม และท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน และใช้เป็นข้อมูลตั้งต้นเพื่อวางแนวทางปรับตัวของตลาดแรงงานในอีก 5–10 ปีข้างหน้า พร้อมมองว่าอาชีพใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับยุคสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง เช่น ไรเดอร์หรืองานแพลตฟอร์ม อาจเป็นคำตอบในอนาคต

.
ใครควรเป็นแกนกลางขับเคลื่อนนโยบายรับมือโลกร้อน?
เบญจมาส โชติทอง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการและแผนงาน สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ระบุว่า แม้การออกกฎหมายจะสำคัญ แต่ “แผน” คือเครื่องมือหลักของภาครัฐที่ใช้กำหนดทิศทางการใช้งบประมาณและนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAP) ซึ่งปัจจุบันยังมีช่องว่างอยู่มาก แม้จะระบุถึงกลุ่มเปราะบาง แต่แรงงานในเมืองที่มีความเสี่ยงสูงกลับยังไม่ถูกพูดถึงอย่างชัดเจน
เธอชี้ว่า แผน NAP ระดับชาติและระดับจังหวัดยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และการมีข้อเสนอจากภาคประชาชนที่ชัดเจนอาจช่วยเติมเต็มแผนปฏิบัติการได้ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น กรุงเทพมหานครและเทศบาล ที่ควรมีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อน นอกจากนี้ยังมีปัญหาการจัดการเมืองที่ไม่สอดรับกับภาวะโลกร้อน เช่น การตัดต้นไม้ การถมที่สร้างบ้านขวางทางน้ำ และการละเลยพื้นที่ธรรมชาติ ที่ควรใช้เป็นที่รับน้ำและลดความร้อน เธอย้ำว่าเมืองต้องวางแผนทั้งในเชิงระบบ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า และเตรียมรับมือภาวะฉุกเฉิน โดยต้องไม่ลืมกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ ที่มักถูกมองข้าม
ทั้งนี้ เบญจมาส มองว่า การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากการเข้าถึงกลไกรัฐ แม้จะเป็นจุดเล็ก ๆ แต่หากทุกคนร่วมกันขับเคลื่อน ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชุมชน โดยเฉพาะคนจนเมืองที่ต้อง “รอดไปด้วยกัน”
.
กลไกแบบไหนที่ต้องใช้ เพื่อให้เรา “รอดไปด้วยกัน”?
วนัน เพิ่มพิบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand กล่าวว่า เรื่องประชาชนเป็นศูนย์กลาง ถูกพูดมานานในภาคประชาสังคม แต่เมื่อรัฐนำไปใช้กลับมีความหมายที่ต่างออกไป กลายเป็นเพียงคำในแผนงานแต่ไม่ใช่การปฏิบัติจริง เช่นเดียวกับสโลแกน “Build Back Better” หลังโควิด ที่ฟังดูดี แต่ในทางปฏิบัติก็ยังวนซ้ำกับรูปแบบเดิม จึงต้องเปลี่ยนใหม่เป็น “Build Back Differently” ที่ไม่ใช่แค่ฟื้นฟู แต่ต้องสร้างระบบใหม่ที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
เธอยังพูดถึงระบบปัจจุบันที่ยังวนเวียนกับหนี้ แม้จะมีงบใหม่ แต่ก็มาในรูปแบบเงินกู้ ไม่ใช่เงินให้เปล่าหรือกองทุนที่ช่วยคนอย่างแท้จริง ขณะที่รัฐพูดถึงการสนับสนุน SME และวิสาหกิจชุมชน แต่การสนับสนุนจริงกลับเอนเอียงไปทางกลุ่มทุน ทำให้ประชาชนไม่ได้ประโยชน์เต็มที่
ส่วนเรื่องโลกร้อน เธอมองว่า ประเด็นถูกจำกัดแค่เรื่องลดคาร์บอน ทั้งที่มันเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน เช่น ค่าไฟแพง การเข้าถึงทรัพยากร หรือการเปลี่ยนผ่านพลังงาน เช่น เปลี่ยนจากถ่านหินไปใช้โซลาร์ ซึ่งก็ต้องใช้แบตเตอรี่จากเหมืองแร่ ส่งผลกระทบต่อชุมชนอีก การเปลี่ยนพลังงานจึงไม่ควรเป็นแค่ “เปลี่ยนขวด แต่เหล้าเดิม”

สุดท้าย วนัน ย้ำว่า ประชาชนต้องมีส่วนร่วมจริง ๆ ไม่ใช่แค่ฟังเสียงจากคนที่มีอิทธิพล แต่ต้องฟังคนรากหญ้า ให้พวกเขามีที่นั่งในกระบวนการตัดสินใจ และตรวจสอบได้ เพราะสิ่งที่เรากำลังเผชิญไม่ใช่การสู้กับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่คือการสู้กับระบบเดิม ที่ต้องเปลี่ยนทั้งโครงสร้าง หากยังใช้วิธีเดิม เปลี่ยนเครื่องมือ แต่ไม่เปลี่ยนเจ้าของ ระบบก็ยังไม่เปลี่ยน และคนก็ยังไม่ใช่ศูนย์กลางอย่างแท้จริง
“เราต้องเปลี่ยนทั้งระบบ… ประชาชนเป็นศูนย์กลาง คำนี้มันแสลงใจ มันเป็นพูดคำเดียวกันกับรัฐ แต่ในความหมายของเราคือในระดับล่าง ในระดับรากหญ้า ที่ต้องได้รับความเข้มแข็ง ฉะนั้นสิ่งที่มันจะต้องเปลี่ยนคือเปลี่ยนอำนาจ ให้มาอยู่ในอำนาจของประชาชน ไม่ให้อำนาจไปอยู่ในมือของกลุ่มทุนแบบเดิม” วนัน เพิ่มพิบูลย์ ผู้อำนวยการบริหาร Climate Watch Thailand กล่าว
วิภาพร วัฒนวิทย์ ผู้ดำเนินรายการ กล่าวสรุปวงเสวนาในครั้งนี้ว่า จากการพูดคุยทำให้เราเห็นชัดขึ้นว่า “ปัญหาโลกร้อน” ไม่ใช่เรื่องของใครคนเดียว แต่คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ้อนทับอยู่บนความเหลื่อมล้ำเดิมในสังคมไทย ทั้งในมิติของการลงทุน คุณภาพชีวิต และโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย ซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุด
สรุปเนื้อหาจากวงเสวนา “โลกร้อน คนรวน รัฐต้องทบทวนนโยบายเพื่อคนจนเมือง” เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน 2568 เวลา 13.30 – 16.00 น. ณ ลานไม้ ชั้น 1 อาคาร A องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส)
.
ชมย้อนหลัง