อีสานขานข่าว EP 16 : “ความมั่นคงเมล็ดพันธุ์ในยุคภูมิอากาศผันผวน: เกษตรกรอีสานเผชิญความท้าทายและทางออก”

ในรายการ “อีสานขานขาว” ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 ดำเนินรายการโดย สันติ ศรีมันตะ ได้พูดคุยกับ อุบล อยู่หว้า เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน ถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ ความมั่นคงของเมล็ดพันธุ์ ในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกท่ามกลางความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อเกษตรกรในภาคอีสาน

สถานการณ์และความท้าทายของเมล็ดพันธุ์

อุบล ชี้ให้เห็นว่า ฤดูกาลเพาะปลูกปีนี้เริ่มต้นด้วยความผันผวนของสภาพอากาศ บางพื้นที่เผชิญฝนตกหนักจนน้ำท่วม ขณะที่บางพื้นที่ยังคงแห้งแล้ง ส่งผลต่อการเพาะปลูกและความมั่นคงของเมล็ดพันธุ์ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ท้าทายเกษตรกร ดังนี้:

  • การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ:
    ฝนตกไม่เป็นไปตามฤดูกาลเดิม บางครั้งเกิดฝนทิ้งช่วงนานเกิน 10 วัน ทำให้ข้าวเสียหายจากภัยแล้ง หรือบางครั้งฝนตกหนักกะทันหันจนเกิดน้ำท่วม สร้างความเสียหายต่อผลผลิต โดยเฉพาะในพื้นที่นาโคกที่มักขาดน้ำ และนาลุ่มที่เสี่ยงน้ำท่วม
  • ความหลากหลายของพันธุ์ข้าวลดลง:
    ปัจจุบันเกษตรกรส่วนใหญ่ในภาคอีสานหันไปปลูก ข้าวหอมมะลิ และพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากความต้องการของตลาดที่เน้นข้าวเมล็ดยาวสวยงาม ข้าวพื้นบ้านที่มีเมล็ดสั้นหรือป้อม เช่น ข้าวเหนียวแดง ข้าวดอกแก้ว หรือข้าวลอย ถูกมองว่าไม่มีบทบาททางเศรษฐกิจ ทำให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมลดลงอย่างมาก วิทยากรระบุว่า ข้าวพื้นบ้านกว่า 100 สายพันธุ์ที่กลุ่มเมล็ดพันธุ์บ้านกุดหิน จ.ยโสธร รวบรวมไว้นั้น มีศักยภาพในการปรับตัวต่อสภาพอากาศและให้ผลผลิตสูง แต่ถูกละเลยเพราะไม่ตอบโจทย์ตลาด
  • ข้อจำกัดของข้าวหอมมะลิ:
    ข้าวหอมมะลิและพันธุ์ที่เกี่ยวข้องมีจุดอ่อนคือ อ่อนแอต่อโรคเชื้อรา เช่น โรคใบไหม้ ซึ่งพบได้ตั้งแต่ระยะกล้าจนถึงระยะออกดอก ส่งผลต่อผลผลิตและเพิ่มความเสี่ยงให้เกษตรกร
  • อิทธิพลของนโยบายและตลาด:
    ในอดีต นโยบายของรัฐส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนไปปลูกข้าวพันธุ์ใหม่ที่ตลาดต้องการ เช่น ข้าวหอมมะลิ โดยมองว่าข้าวพื้นบ้าน “ไม่มีคุณภาพ” การใช้กลยุทธ์แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ เช่น นำข้าวหอมมะลิไปแลกกับข้าวพื้นบ้าน ทำให้ข้าวพื้นบ้านค่อย ๆ หายไปจากชุมชน นอกจากนี้ โรงสีและเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ เช่น รถไถและรถเกี่ยว สนับสนุนการปลูกข้าวพันธุ์เดียวในพื้นที่กว้าง ส่งผลให้ความหลากหลายของเมล็ดพันธุ์ลดลง
  • สงครามการค้าและภาษี:
    สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวหอมมะลิของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกหลักไปยังสหรัฐฯ (ปริมาณ 7-8 แสนตันต่อปี) การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจทำให้ราคาข้าวหอมมะลิในตลาดสหรัฐฯ สูงขึ้น ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง โดยเฉพาะเมื่ออินเดียและเวียดนามกลับมาเป็นคู่แข่งในตลาดโลก
  • แรงงานและต้นทุน:
    แรงงานเกษตรลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ย้ายไปทำงานในเมือง ส่งผลให้เกษตรกรต้องพึ่งพาเครื่องจักร เช่น รถไถและรถเกี่ยว ซึ่งเพิ่มต้นทุนการผลิต ขณะที่ราคาข้าวในตลาดโลกผันผวนและกำไรต่ำ

ศักยภาพของข้าวพื้นบ้าน

วิทยากรเน้นย้ำว่า ข้าวพื้นบ้านมีศักยภาพที่ถูกละเลย เช่น:

  • ความทนทานต่อสภาพอากาศ: ข้าวพื้นบ้าน เช่น ข้าวเหนียวแดง หรือข้าวลอย สามารถปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำท่วมหรือแห้งแล้ง
  • คุณค่าทางโภชนาการและการแปรรูป: ข้าวพื้นบ้านเหมาะสำหรับการแปรรูปเป็นอาหารท้องถิ่น เช่น ข้าวจี่ ข้าวแต๋น หรือเหล้าโท ตัวอย่างเช่น ข้าวเหนียวแดงที่เริ่มได้รับความนิยมในร้านอาหารที่กรุงเทพฯ และส่งออกไปยังร้านอาหารฝรั่งในรูปแบบข้าวนึ่งคู่กับไก่
  • ความหลากหลายทางพันธุกรรม: ข้าวพื้นบ้านมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น ความสามารถในการฟูของแป้ง หรือปริมาณวิตามินในจมูกข้าว ซึ่งสามารถนำไปวิจัยและพัฒนาต่อได้

อย่างไรก็ตาม การนำข้าวพื้นบ้านกลับมาใช้เผชิญข้อจำกัดด้านการยอมรับจากตลาดและการขาดงานวิจัยที่ลงลึกถึงคุณสมบัติของข้าวแต่ละพันธุ์

บทสรุปและทางออกที่วิทยากรเสนอ

วิทยากรได้เสนอแนวทางเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของเมล็ดพันธุ์และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ดังนี้:

  • ลดต้นทุนการผลิต:
    เกษตรกรควรมุ่งลดต้นทุนการผลิตลง 60% โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้เมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่และลดการพึ่งพาเครื่องจักรที่สิ้นเปลือง
  • ปรับระบบการเพาะปลูก:
    เปลี่ยนจากการปลูกข้าวพันธุ์เดียวในพื้นที่กว้าง ไปสู่การเพาะปลูกที่หลากหลายและเน้นคุณภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น ข้าวพื้นบ้านสำหรับอาหารท้องถิ่นหรือผลิตภัณฑ์แปรรูป
  • กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ:
    เกษตรกรควรมองหาโอกาสในการปลูกพืชอื่น ๆ ที่มีอัตรากำไรสูง เช่น ถั่วเขียว หรือพืชที่ประเทศไทยยังต้องนำเข้า รวมถึงพัฒนาระบบอาหารท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม
  • ใช้ข้อมูลพยากรณ์อากาศ:
    เกษตรกรยุคใหม่ควรใช้แอปพลิเคชันพยากรณ์อากาศ เช่น แอปจากกรมอุตุนิยมวิทยา, Windy, หรือ TMD เพื่อวางแผนการเพาะปลูกและลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่ผันผวน วิทยากรแนะนำให้ใช้ข้อมูลจากหลายแอปเพื่อหาค่าเฉลี่ยและเพิ่มความแม่นยำ
  • การวิจัยและความร่วมมือ:
    รัฐและหน่วยวิชาการควรร่วมมือกับเกษตรกรและผู้ประกอบการในการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว โดยเฉพาะข้าวพื้นบ้านที่มีศักยภาพ เพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านผลผลิต คุณค่าทางโภชนาการ และความต้องการของตลาด ตัวอย่างเช่น การวิจัยคุณสมบัติแป้งหรือวิตามินในข้าวพื้นบ้านเพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่
  • นโยบายที่ยั่งยืน:
    รัฐควรมองข้ามการให้เงินช่วยเหลือระยะสั้น และหันมาสนับสนุนนโยบายที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกร เช่น การพัฒนาศูนย์เมล็ดพันธุ์ชุมชน การส่งเสริมการปลูกพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่ และการสร้างโอกาสในตลาดใหม่ ๆ
  • การทำนาออนไลน์:
    วิทยากรตอบรับข้อเสนอจากผู้ฟังที่แนะนำให้เกษตรกรหันมาทำ “นาออนไลน์” โดยใช้ช่องทางออนไลน์ในการจำหน่ายผลผลิต เช่น ข้าวพื้นบ้านหรือผลิตภัณฑ์แปรรูป เพื่อเพิ่มรายได้และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่

ความมั่นคงของเมล็ดพันธุ์ในภาคอีสานกำลังเผชิญความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง อิทธิพลของตลาด และนโยบายที่ไม่เอื้อต่อความหลากหลายทางพันธุกรรม อย่างไรก็ตาม ข้าวพื้นบ้านยังคงเป็นคำตอบสำคัญที่มีศักยภาพในการปรับตัวและสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้วยการลดต้นทุน ปรับระบบการเพาะปลูก ใช้เทคโนโลยีพยากรณ์อากาศ และการสนับสนุนจากรัฐและหน่วยวิชาการ เกษตรกรอีสานสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างความยั่งยืนให้กับการเกษตรและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

แชร์บทความนี้