
ในรายการ “อีสานขานขาว” ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 ดำเนินรายการโดย สันติ ศรีมันตะ ได้พูดคุยกับ อุบล อยู่หว้า เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน ถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ ความมั่นคงของเมล็ดพันธุ์ ในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกท่ามกลางความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อเกษตรกรในภาคอีสาน

สถานการณ์และความท้าทายของเมล็ดพันธุ์
อุบล ชี้ให้เห็นว่า ฤดูกาลเพาะปลูกปีนี้เริ่มต้นด้วยความผันผวนของสภาพอากาศ บางพื้นที่เผชิญฝนตกหนักจนน้ำท่วม ขณะที่บางพื้นที่ยังคงแห้งแล้ง ส่งผลต่อการเพาะปลูกและความมั่นคงของเมล็ดพันธุ์ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ท้าทายเกษตรกร ดังนี้:

- การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ:
ฝนตกไม่เป็นไปตามฤดูกาลเดิม บางครั้งเกิดฝนทิ้งช่วงนานเกิน 10 วัน ทำให้ข้าวเสียหายจากภัยแล้ง หรือบางครั้งฝนตกหนักกะทันหันจนเกิดน้ำท่วม สร้างความเสียหายต่อผลผลิต โดยเฉพาะในพื้นที่นาโคกที่มักขาดน้ำ และนาลุ่มที่เสี่ยงน้ำท่วม - ความหลากหลายของพันธุ์ข้าวลดลง:
ปัจจุบันเกษตรกรส่วนใหญ่ในภาคอีสานหันไปปลูก ข้าวหอมมะลิ และพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากความต้องการของตลาดที่เน้นข้าวเมล็ดยาวสวยงาม ข้าวพื้นบ้านที่มีเมล็ดสั้นหรือป้อม เช่น ข้าวเหนียวแดง ข้าวดอกแก้ว หรือข้าวลอย ถูกมองว่าไม่มีบทบาททางเศรษฐกิจ ทำให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมลดลงอย่างมาก วิทยากรระบุว่า ข้าวพื้นบ้านกว่า 100 สายพันธุ์ที่กลุ่มเมล็ดพันธุ์บ้านกุดหิน จ.ยโสธร รวบรวมไว้นั้น มีศักยภาพในการปรับตัวต่อสภาพอากาศและให้ผลผลิตสูง แต่ถูกละเลยเพราะไม่ตอบโจทย์ตลาด - ข้อจำกัดของข้าวหอมมะลิ:
ข้าวหอมมะลิและพันธุ์ที่เกี่ยวข้องมีจุดอ่อนคือ อ่อนแอต่อโรคเชื้อรา เช่น โรคใบไหม้ ซึ่งพบได้ตั้งแต่ระยะกล้าจนถึงระยะออกดอก ส่งผลต่อผลผลิตและเพิ่มความเสี่ยงให้เกษตรกร - อิทธิพลของนโยบายและตลาด:
ในอดีต นโยบายของรัฐส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนไปปลูกข้าวพันธุ์ใหม่ที่ตลาดต้องการ เช่น ข้าวหอมมะลิ โดยมองว่าข้าวพื้นบ้าน “ไม่มีคุณภาพ” การใช้กลยุทธ์แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ เช่น นำข้าวหอมมะลิไปแลกกับข้าวพื้นบ้าน ทำให้ข้าวพื้นบ้านค่อย ๆ หายไปจากชุมชน นอกจากนี้ โรงสีและเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ เช่น รถไถและรถเกี่ยว สนับสนุนการปลูกข้าวพันธุ์เดียวในพื้นที่กว้าง ส่งผลให้ความหลากหลายของเมล็ดพันธุ์ลดลง - สงครามการค้าและภาษี:
สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวหอมมะลิของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกหลักไปยังสหรัฐฯ (ปริมาณ 7-8 แสนตันต่อปี) การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจทำให้ราคาข้าวหอมมะลิในตลาดสหรัฐฯ สูงขึ้น ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง โดยเฉพาะเมื่ออินเดียและเวียดนามกลับมาเป็นคู่แข่งในตลาดโลก - แรงงานและต้นทุน:
แรงงานเกษตรลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ย้ายไปทำงานในเมือง ส่งผลให้เกษตรกรต้องพึ่งพาเครื่องจักร เช่น รถไถและรถเกี่ยว ซึ่งเพิ่มต้นทุนการผลิต ขณะที่ราคาข้าวในตลาดโลกผันผวนและกำไรต่ำ
ศักยภาพของข้าวพื้นบ้าน
วิทยากรเน้นย้ำว่า ข้าวพื้นบ้านมีศักยภาพที่ถูกละเลย เช่น:
- ความทนทานต่อสภาพอากาศ: ข้าวพื้นบ้าน เช่น ข้าวเหนียวแดง หรือข้าวลอย สามารถปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำท่วมหรือแห้งแล้ง
- คุณค่าทางโภชนาการและการแปรรูป: ข้าวพื้นบ้านเหมาะสำหรับการแปรรูปเป็นอาหารท้องถิ่น เช่น ข้าวจี่ ข้าวแต๋น หรือเหล้าโท ตัวอย่างเช่น ข้าวเหนียวแดงที่เริ่มได้รับความนิยมในร้านอาหารที่กรุงเทพฯ และส่งออกไปยังร้านอาหารฝรั่งในรูปแบบข้าวนึ่งคู่กับไก่
- ความหลากหลายทางพันธุกรรม: ข้าวพื้นบ้านมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น ความสามารถในการฟูของแป้ง หรือปริมาณวิตามินในจมูกข้าว ซึ่งสามารถนำไปวิจัยและพัฒนาต่อได้
อย่างไรก็ตาม การนำข้าวพื้นบ้านกลับมาใช้เผชิญข้อจำกัดด้านการยอมรับจากตลาดและการขาดงานวิจัยที่ลงลึกถึงคุณสมบัติของข้าวแต่ละพันธุ์



บทสรุปและทางออกที่วิทยากรเสนอ
วิทยากรได้เสนอแนวทางเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของเมล็ดพันธุ์และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ดังนี้:
- ลดต้นทุนการผลิต:
เกษตรกรควรมุ่งลดต้นทุนการผลิตลง 60% โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้เมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่และลดการพึ่งพาเครื่องจักรที่สิ้นเปลือง - ปรับระบบการเพาะปลูก:
เปลี่ยนจากการปลูกข้าวพันธุ์เดียวในพื้นที่กว้าง ไปสู่การเพาะปลูกที่หลากหลายและเน้นคุณภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น ข้าวพื้นบ้านสำหรับอาหารท้องถิ่นหรือผลิตภัณฑ์แปรรูป - กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ:
เกษตรกรควรมองหาโอกาสในการปลูกพืชอื่น ๆ ที่มีอัตรากำไรสูง เช่น ถั่วเขียว หรือพืชที่ประเทศไทยยังต้องนำเข้า รวมถึงพัฒนาระบบอาหารท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม - ใช้ข้อมูลพยากรณ์อากาศ:
เกษตรกรยุคใหม่ควรใช้แอปพลิเคชันพยากรณ์อากาศ เช่น แอปจากกรมอุตุนิยมวิทยา, Windy, หรือ TMD เพื่อวางแผนการเพาะปลูกและลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่ผันผวน วิทยากรแนะนำให้ใช้ข้อมูลจากหลายแอปเพื่อหาค่าเฉลี่ยและเพิ่มความแม่นยำ - การวิจัยและความร่วมมือ:
รัฐและหน่วยวิชาการควรร่วมมือกับเกษตรกรและผู้ประกอบการในการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว โดยเฉพาะข้าวพื้นบ้านที่มีศักยภาพ เพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านผลผลิต คุณค่าทางโภชนาการ และความต้องการของตลาด ตัวอย่างเช่น การวิจัยคุณสมบัติแป้งหรือวิตามินในข้าวพื้นบ้านเพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ - นโยบายที่ยั่งยืน:
รัฐควรมองข้ามการให้เงินช่วยเหลือระยะสั้น และหันมาสนับสนุนนโยบายที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกร เช่น การพัฒนาศูนย์เมล็ดพันธุ์ชุมชน การส่งเสริมการปลูกพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่ และการสร้างโอกาสในตลาดใหม่ ๆ - การทำนาออนไลน์:
วิทยากรตอบรับข้อเสนอจากผู้ฟังที่แนะนำให้เกษตรกรหันมาทำ “นาออนไลน์” โดยใช้ช่องทางออนไลน์ในการจำหน่ายผลผลิต เช่น ข้าวพื้นบ้านหรือผลิตภัณฑ์แปรรูป เพื่อเพิ่มรายได้และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่
ความมั่นคงของเมล็ดพันธุ์ในภาคอีสานกำลังเผชิญความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง อิทธิพลของตลาด และนโยบายที่ไม่เอื้อต่อความหลากหลายทางพันธุกรรม อย่างไรก็ตาม ข้าวพื้นบ้านยังคงเป็นคำตอบสำคัญที่มีศักยภาพในการปรับตัวและสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้วยการลดต้นทุน ปรับระบบการเพาะปลูก ใช้เทคโนโลยีพยากรณ์อากาศ และการสนับสนุนจากรัฐและหน่วยวิชาการ เกษตรกรอีสานสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างความยั่งยืนให้กับการเกษตรและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้