สนามเลือกตั้ง อบจ. ในปี 68 ที่เชียงใหม่คึกคักเมื่อ เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ บรู๊ค ดนุพร ปุณณกันต์ โฆษกพรรคเพื่อไทย 2 แกนนำจาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ระดับชาติ ตอบรับมาแสดงวิสัยทัศน์ร่วมกับผู้สมัคร นายก อบจ. และสอบจ. เชียงใหม่ ในเวที The Voice เลือกตั้ง อบจ.เชียงใหม่ 2568” ที่คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จัดขึ้น
เพราะจุดยืนและวิสัยทัศน์ของการเมืองระดับชาติ มีผลต่อพัฒนาการและการผลักดันเพื่อสร้างความเข้มแข็งของการปกครองท้องถิ่นอย่างปฏิเสธไม่ได้
3 คำตอบเรื่องกระจายอำนาจ ผ่านสถานการณ์เลือกตั้ง อบจ.จากทั้ง 2 ท่านจึงน่าสนใจไม่น้อย


ยกแรก “เชียงใหม่ สำคัญอย่างไร ?”
ณัฐพงษ์ : ทุกคนรู้เชียงใหม่คือหัวเมืองสำคัญของภาคเหนือ ศูนย์กลางแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก มีมรดกวัฒนธรรมตกทอดมาช้านาน แต่วันนี้ สิ่งที่สำคัญคือจะมีการเลือกตั้ง อบจ เชียงใหม่ คำถามที่น่าสนใจคือการพัฒนาการเมืองท้องถิ่นเชียงใหม่ สำคัญอย่างไร ?
คนเชียงใหม่พยายามยามผลักดัน พรบ.เชียงใหม่มหานครมายาวนาน อยากมีงบ มีอำนาจ มีบุคลากรบริหารเชียงใหม่ได้ เพราะเชียงใหม่ก็ยังมีปัญหาหลายด้านรอการแก้ไข เชื่อหรือไม่ว่า เชียงใหม่ติดอันดับ 3 เรื่องความเหลื่อมล้ำ อันดับ 3 ในเรื่องสัดส่วนประชากรที่ได้รับผลกระทบภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และถ้าวัดดัชนีความก้าวหน้าของคนเรื่องคุณภาพชีวิต เชียงใหม่มีปัญหาสาธารณะสุขเป็นอันดับ 67 ซึ่งรั้งท้ายเมื่อเทียบจังหวัดที่เหลือ ดังนั้นการเมืองท้องถิ่นควรเข้ามาแก้ไขปัญหาชีวิตคนเชียงใหม่โดยสรุป 3 ด้านคือ เศรษฐกิจปากท้องทั่วถึง เท่าเทียม ปัญหาสิ่งแวดล้อม PM 2.5 ปัญหาสาธารณสุขและสุขภาพ
สำรับพรรคอนาคตใหม่ มาถึงพรรคก้าวไกล และพรรคประชาชน จุดยืนเราไม่เคยเปลี่ยน คือผลักดันกระจายอำนาจ ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปลดล็อคท้องถิ่น โดยผมเป็นคนมาปราศรัยที่เชียงใหม่ ด้วยหวังจะสถานปนาอำนาจของท้องถิ่น ให้จัดการความเป็นไปของตนเอง จึงอยากตั้งคำถามเรื่องการผลักดันกระจายอำนาจที่ต้องอาศัยพรรคการเมืองระดับประเทศว่า นโยบายผู้ว่า CEO ตอบโจทย์กระจายอำนาจจริงหรือไม่ ? ปัญหาอำนาจทับซ้อนของผู้ว่าราชการจังหวัดที่คนกรุงเทพแต่งตั้ง กับนายกอบจ.ที่คนเชียงใหม่เลือก ใครจะรู้ปัญหาตอบโจทย์พื้นที่มากกว่ากัน สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ต้องการความชัดเจนของจุดยืน และความจริงใจ พรรคประชาชนผลักดันกระจายอำนาจตั้งแต่ระดับจังหวัดลงมา และเห็นว่าควรควบรวมราชการส่วนภูมิภาคเข้ากับท้องถิ่น โดยเห็นด้วยกับภาคประชาสังคมที่แบ่งการปกครองเป็น 2 ระดับ เพื่อให้การจัดการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพ ถ้าผมไม่มาทำการเมืองจะไม่เคยทราบว่าหลายจังหวัด ไม่มีน้ำประปาสะอาด ไหลแรง อีกอย่าง ระบบขนส่งสาธารณะ ทีทำไมต้องให้คนกรุงเทพตัดสินใจเรื่องการวางสายรถเมล์ พรรคประชาชนเคยเสนอ พรบ. ขนส่งทางบก ให้อบจ. มีอำนาจจัดการเดินสายรถเมล์ได้เอง แต่ไม่ผ่านสภา หลายกฎมายที่เสนอในระดับ พรบ เพื่อผลักดันกจายอำนาจ เช่นการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กให้เปิดทุกวัน เช่นเชียงใหม่เป็นจังหวัดท่องเที่ยวผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยทำงานวันหยุด การผลักดันให้ถ่ายโอน รพสต ศูนย์ทันตกรรม ศูนย์กายภาพ ศูนย์ฟอกไต ในทุกอนามัย
ดังนั้น จึงมีคำถามต่อ จุดยืนของพรรคการเมืองว่าจะผลักดันกระจายอำนาจไปถึงจุดไหน ? สำหรับผม นายกหรือผู้บริหารสูงสุดจังหวัดจะต้องมาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่ผู้ว่า CEO
ดนุพร: เชียงใหม่เป็นจุดยุทธศาสตร์ภาคเหนือ พื้นที่กว้างใหญ่ ประชากรเกือบ 4 ล้านคนไม่นับประชากรแฝง เป็นแหล่งเศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น หายาก นักท่องเที่ยวมาเยือนเมื่อนึกถึง ช้าง ภูเขา อากาศสดชื่น รายได้หลักคือการท่องเที่ยวและส่งออก แต่ใครจะคาดคิดว่า เราจะเจอปัญหาโควิด การบินทั่วโลกชะงัก สาธารณะสุขมีปัญหา ดังนั้นในอนาคต เชียงใหม่เป็นหมุดหมายสร้างรายได้ให้กับประเทศ
การกระจายอำนาจ มีระบุไว้ในมาตรา 78 ของรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ภาครัฐต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดูแลตัวเองได้ วันนี้ 28 ปีผ่านมาแล้ว เราเห็นว่าการกระจายอำนาจจำเป็น แต่ไทยไม่ได้ปกครองแบบประชาธิปไตยต่อเนื่อง เมื่อใดที่ประเทศถูกปกครองโดยคณะปฏิวัติ การกระจายอำนาจเป็นคนละเรื่องคนละขั้ว ผมเติบโตมาจากพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนถึงเพื่อไทย เล่นการเมืองมา 20 ปี เรายังไปไม่ถึงไหน
การเลือกตั้งนายกอบจ.สำคัญ กับเชียงใหม่ ส่วนจุดยืนเรื่องอำนาจทับซ้อนของ นายกอบจ.กับ ผู้ว่า เห็นว่า นายกอบจ.บริหาร อบจ. แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดที่แต่งตั้งมาจากส่วนกลาง มีอำนาจบริหารจัดการหัวหน้าส่วนราชการ เขียนรายงานถึงนายก ถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องว่าต้องการอย่างไร
การกระจายอำนาจมีไม่กี่อย่าง กระจายทรัพยากร กระจายเม็ดเงินที่เคยระบุว่ากี่เปอร์เซ็นต์ ทำได้จริงหรือไม่ เพราะ การกระจายอำนาจพูดง่าย แต่การกระทำ รัฐต้องวางโครงสร้างพื้นฐานที่แต่ละจังหวัดให้พร้อมกับการกะจายอำนาจ นโยบายพรรคเพื่อนไทย จับมาตั้งแต่ปี 2544 แต่เนื่องจากไม่ได้บริหารต่อเนื่อง เลยสดุดลง จุดยืนของเรายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย สนับสนุนการกระจายอำนาจ ทุกพรรคการเมืองเชื่อว่าอำนาจที่แท้จริงหรือประชาชน ต้องได้รับการตอบสนองจากนโยบายพรรคการเมือง
ยกที่ 2 “มองพรรค เมืองเชียงใหม่ จะเอาจะใดกับกระจายอำนาจ”
ดนุพร: พรรคเพื่อไทยทำมานานแล้ว ในขณะนั้นมีนโยบายที่เป็นการทดลองกระจายอำนาจ แต่รัฐธรรมนูญยกเลิกไป นั่นคือนโยบาย กองทุนหมู่บ้าน S M L เป็นการทดลองโดยจัดสรรงบประมาณ มีจากเมื่อก่อนจะมีคำว่างบมาจากส่วนกลาง เหมือนไอติมแท่งกว่าจะมาถึงท้องถิ่น เหลือนิดเดียว งบประมาณเหล่านี้จะพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างไร เลยลองโยนงบมาให้บริหารกันเอง หมู่บ้านละ 1 ล้าน มากู้ยืมในหมู่บ้าน มีดอกเบี้ย คาดหวังว่าเมื่อกระจายมาถึงประชาชน วันหนึ่งจะกลายเป็นธนาคารหมู่บ้านและชุมชน S M L เอาเงินทุนตามความใหญ่ของหมู่บ้าน 200 -300- 500 หมู่บ้าน งบประมาณ 2- 3-500,000 บาท มีการจัดทำประชาคมของตัวเอง เชิญสมาชิกมาประชุม อยากเอาไปพัฒนาท้องถิ่นอะไร ซึ่งสิ่งนี้ เราจะรื้อฟื้นใหม่ด้วยงบประมาณ 11,000 ล้านใน 80,000 หมู่บ้าน จะปัดฝุ่นนโยบายนี้ เพราะกว่าจะแก้กฎหมายในสภา เราลองให้ประชาชนมีอำนาจ ตัดสินใจว่ากองทุนหมู่บ้านจะเอาอย่างไร หรือจะพัฒนาระบบสุขภาพในหมู่บ้านอย่างไร
ณัฐพงษ์ :เนื่องจากเป็นเวทีดีเบทเลยอยากพูดให้เข้าประเด็นให้ โดยอยากฟังคำตอบจากคุณบรู๊คว่า ถ้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันจะกระจายอำนาจ ผมคิดว่าทำได้ ไม่ต้องรอหรือบอกว่าประชาชนไม่พร้อม แต่เริ่มได้ทันที
ในรัฐสภาสมัยนี้ไม่มีทางที่พรรคประชาชนจะจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แต่เราสามารถผลักดันร่วมกันได้ในระดับกฎหมายพระราชบัญญัติ
ถ้าพรรคเพื่อไทยเห็นด้วยในระดับสภาบนทำร่วมกันได้แน่นอน ตัวอย่าง สัดส่วนรายได้ท้องถิ่น ช่วงการหาเสียงปี 66 พรรคเพื่อนไทยหาเสียง มีนโยบายชัดเจนให้สัดส่วนรายได้ท้องถิ่น 35 เปอร์เซ็นต์โดยเร็วที่สุด คำถามคือ กี่โมง ? เรารู้ว่าการผลักดันกระจายอำนาจปี 40 เคยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ให้ท้องถิ่น 35 เปอร์เซ็นต์ เมื่อรัฐประหารปี 49 แก้กฎหมายให้เหลือ 25 % แต่มีเป้าหมาย 35 จากวันนั้นถึงวันนี้ไม่เคยถึง ได้ประมาณ 29-30 เปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้เสนอได้เลย ถ้าจะแก้ พรบแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจ ขั้นต่ำเอาให้ถึง 35เปอร์เซ็นต์ ในสมัยนี้ ก็จะช่วยกันโหวตสนับสนุนได้
เรื่องอำนาจท้องถิ่นซ้อนราชการส่วนกลางและภมิภาค แก้ไขได้ กลาง กพ. นี้ จะมีร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ปลดล็อคให้มี สสร ยกร่างรัฐธรรมทั้งฉบับ เรื่องกระจายอำนาจต้องสถาปนาระดับรัฐธรรม เพราะมีกฎหมายซ้อนทับอำนาจส่วนกลางและท้องถิ่นมากมาย ยืนยันว่าท้องถิ่นมีอำนาจทำได้ทุกอย่าง ยกเว้น ศาล ทหาร เงินตรา และการต่างประเทศ แต่เรื่องการผลักดันแก้ไขนี้ท้องถิ่น อบจ.ทำไม่ได้ ต้องอาศัยพรรคการเมืองระดับประเทศผลักดัน พรรคเพื่อไทยจะยืนยันหลักการ ปลดล็อคท้องถิ่น เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หลายคนบอกว่าควรคุยหลังจาก ได้ สสร ให้สสรที่มาจากการเลือกตั้งไปแก้ไข แต่ก่อนมีสสร ต้องปลด มาตรา 256 ก่อน พรรคเพื่อไทยคิดเห็นอย่างไรต่อวาระนี้
ผมเสนอเพิ่มเติม การผลักดันกระจายอำนาจ ไม่เฉพาะเชียงใหม่มีพรบ.เชียงใหม่มหานคร เลือกตั้งผู้ว่า ควบรวมราชการส่วนภูมิภาค ยืนยันต้องทุกหัวระแหงทุกจังหวัดพร้อมกัน ยืนยันการสถานปนาอำนาจว่าไม่ต้องรอว่าจังหวัดไหนพร้อมหรือไม่พร้อม เพราะถ้าเชื่อในประชาธิปไตย ประชาชนพร้อมเสมอ
ยก 3 : คนรุ่นใหม่จะมีส่วนร่วมกับพรรคของท่านได้อย่างไร
ณัฐพงศ์ : ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ สังคมถูกผลักไปข้างหน้าด้วยพลังของหนุ่มสาว เยาวชน การเลือกตั้งที่จะถึงนอกจากจะไปใช้สิทธิ จำนวนสัดส่วนยิ่งมาก ผลการเลือกตั้งยิ่งสะท้อนเจตจำนงของประชาชน สำหรับนโยบายที่เปิดกว้างประชาชนเพื่อประชาชน คุณพันธ์อาจ (ผู้สมัครนายกอบจ.เชียงใหม่จากพรรคประชาชน) เป็นบุคลาการที่เชื่อมั่นได้ว่ามีความรู้ความสามารถใช้ดิจิตอล โดยนำแพลทฟอร์มออนไลน์เข้ามารับเรื่องร้องเรียน เปิดประชาพิจารณ์ทุกโครงการ มีแนวนโยบายให้คนที่มีแนวคิดพัฒนาเชียงใหม่มีส่วนออกแบบนโยบาย จะใช้เทคโนโลยีมารับฟังความคิดเห็นและสร้างความโปร่งใส แต่สำคัญคือถ้าตัวแทนผู้สมัครบอกว่าเปิดกว่าง แต่ตัวเราไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อใจได้ว่าจะโปร่งใสหรือไม่ เป็นเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่น แล้วพรรคมีนโยบายอะไรคือโปร่งใส ตรงไปตรงมาในการบริหาร อบจ ถ้าเชื่อว่าไม่โปร่งใสก็ไม่มีคนอยากมีส่วนร่วม เทคโนโลยีดิจิตอลทำให้โปร่งใสได้ การ Live การประชุมพิจารณางบประมาณแน่นอน เพื่อความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ประชาธิปไตย 3 เสาสำคัญ
ผลักดันทุกจังหวัด สู้การเลือกตั้งระดับประเทศในครั้งหน้า สำคัญที่สุดคือเปิดกว้าง สร้างการมีส่วนร่วม พลังของประชาชนมีส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดขึ้น
ดนุพร : คนรุ่นใหม่สำคัญ เทคโนโลยีมาไกล จนคนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมบริหารประเทศ เสนอนโยบายได้ ไม่ได้อยากให้การเลือกตั้งจบที่การเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรคไหนชนะ อยากช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่อง เรื่องทุจริตมายาวนาน ทุกคนรู้ ปปช.ไม่รู้ นักการเมืองอยู่แล้วไป ประชาชนจะเกิดและเติบโตในเชียงใหม่ การมีส่วนร่วมของประชาชนสำคัญ ไม่อยากไม่แบ่งฝ่าย ถ้าพรรคการเมืองไม่ชนะ คนไม่ได้เลือกมาต่อต้านทุกนโยบาย ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น อยากเห็นว่าไม่ว่าใครจะชนะ เรา Keep การเลือกตั้งและเดินไปอีก 4 ปี ไม่ว่าจะเป็นโยบาย คนเหล่านั้นเมื่อเลือกตั้งแล้วจบก็คือจบ รออีก 4 ปี ร่วมกันบริหารท้องถิ่นด้วยตัวเอง การปฏิรูป การพัฒนาการศึกษาสำคัญที่สุด ใช้เวลายาวนาน ใช้งบมหาศาล เพราะคนรุ่นใหม่ว่าจะเข้ามานั่นบริหารในสภา ต้องอาศัยระยะเวลา ดังนั้น อยากเห็นการเมืองไทยมีความสามัคคี หาเสียงกันไป เมื่อหาเสียงแล้วจบคือจบ เพื่อไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนฝ่ายค้าน การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูการเมือง ถึงท่านไม่จับมือกับเรา เราก็มี 314 เสียงเต็มสภา แต่อยากให้มาร่วมมือกัน คุณเท้งให้ความร่วมมือได้ดี บางกฎหมายติติงมีเหตุมีผล มีประโยชน์ นี่คือการเมืองใหม่อย่างแท้จริง พรรคเพื่อไทยไม่ได้ให้ความสำคัญรุ่นใหม่ คนชั้นกลาง สูงอายุ เราพยายามประสานเอาความคิดดีดีของนักศึกษารุ่นใหม่ประสานชนชั้นกลาง และอาศัยประสบการณ์ของผู้สูงอายุทำให้นโยบายกลมกล่อม มีประโยชน์ทุกภาคส่วน อำนาจการตัดสินใจในมือของท่านจะเวียนทุก 4 ปีใช้อำนาจกำหนดชีวิตท่านเอง
รับรู้วิสัยทัศน์ของแกนนำคนสำคัญของพรรค ต่อการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นผ่านบริบทสนามเชียงใหม่แล้ว ลองมาติดตาม เรื่องการปกครองท้องถิ่นในสายของของศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง นักวิชาการการเมืองการปกครอง กันบ้าง
“การปกครองท้องถิ่นไทยที่ผ่านมาถูกละเลยมาตลอด คุณรู้ไหมเพราะอะไร เพราะในมหาวิทยาลัย คณะแพทย์ คณะพยาบาล คณะวิศวะ คณะอักษร คณะมนุษย์ เหล่านี้ ไม่มีวิชาปกครองท้องถิ่น ไม่มีวิชาบริหารท้องถิ่น เพราะฉะนั้นเราต้องขอบคุณพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ที่เน้นให้ความสำคัญต่อการปกครองท้องถิ่นในรอบหลายปีมานี้ อันดับที่หนึ่งต้องส่งเสริมเขา
เราเห็นท่านอดีตนายกฯ กระโดดลงมาที่สนามอุดร และพูดให้ประชาชนตื่นตัว ว่าการเลือกตั้งอบจ.นั้นสำคัญ ปรากฏว่ากลุ่มหมอที่เป็นเพื่อนผม อายุ 50 60 แล้ว โทรมาถามว่าอบจ. มันเป็นยังไง มีความสำคัญยังไง ก็เรามีผู้ว่าแล้วทำไมเราต้องมีนายกอบจ.อีก ประเด็นนี้สะท้อนความล้มเหลวของระบบมหาวิทยาลัยทันที ก็คือว่าการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย สอนเรื่องการปกครองท้องถิ่น เฉพาะรัฐศาสตร์ และนักศึกษาบางคณะที่มาเลือก เช่นศึกษาศาสตร์ หรือสื่อสารมวลชน นอกนั้นทุกคณะไม่รู้เลย นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะฉะนั้นกลับไปเรื่องการศึกษา ต้องปฏิรูปการศึกษา ให้วิชาเกี่ยวกับการบริหารจัดการท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้อยู่ในหลักสูตรของปริญญาตรี โท เอก และอยู่ในหลักสูตรของมัธยมด้วย พวกเรารู้ไหม เด็กสายวิทย์ที่อยากเป็นแพทย์ วิศวะ ไม่รู้เรื่องการปกครองท้องถิ่นเลย แล้วเขาบอกว่า น้า น้า หนูไม่สนใจท้องถิ่นเลย เพราะหนูจะสอบเข้าแพทย์ให้ได้ แล้วหลังจากนั้นหลายปีก็มาถามว่าอบจ. คืออะไร ?
เรื่องใหญ่ที่สุดคือ การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น จากที่ผ่านมาอบจ. ได้งบพันล้านก็จริง แต่ก็มีปัญหาอยู่ก็คือ อำนาจการบริหารงานของแต่ละหน่วยไปทับซ้อนกับจังหวัดและอำเภอ เพราะฉะนั้นงานหลายอย่างที่ซับซ้อนหลายอย่างนั้น ต้องโยนให้อบจ.หมดเลย ท้องถิ่นไม่ควรดูแล งานหลายอย่างที่อบต. และเทศบาลดูแล ก็ต้องให้เทศบาลและอบต. ดูแล แล้วพอเป็นภาพรวมของจังหวัด เช่น สนามกีฬาของจังหวัด ห้องสมุดของจังหวัด โรงละครของจังหวัด การจัดการขยะของจังหวัด ให้อบจ. เป็นผู้ดูแล ในต่างประเทศมีบทเรียน น้ำหลากมาผ่านจังหวัด น้ำท่วมใหญ่ เขาเลยแก้ใหม่ แม่น้ำมันผ่านหลายหน่วย ตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมา เรียกว่า คณะกรรมการแม่น้ำ นำทุกหน่วยมาร่วมมือกัน เป็นสหบาลมาดูแลทั้งจังหวัดเลย เพราะฉะนั้นในแง่นี้ แต่ละจังหวัดมีปัญหาไม่เหมือนกัน แต่ปัญหาใหญ่ร่วมกันหมดเลยคือ 1. งานทับซ้อนของอำเภอและจังหวัด 2. เรื่องการศึกษา คนยังไม่รู้ว่าองค์กรต่าง ๆ มีบทบาทอะไร เพราะส่วนใหญ่อำเภอและจังหวัดเอาไปทำหมดเลย คนเลยตื่นตัว ตั้งแต่นายกทักษิณออกมาพูดเรื่องนายกอบจ. คนเลยตื่นตัวว่าอบจ. มันสำคัญอย่างไร บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่อบจ. ต้องแสดงฝีมือตรงนี้
แล้วก็กลับไปประเด็นที่ผมพูดเมื่อกี้ นายกอบจ.ต้องแสดงฝีมือ และสจ. ต้องตรวจสอบ และสจ. ต้องไม่กลัวด้วย ว่า 1.ไม่ควรมาจากพรรคเดียวกัน 2.ก็คือ สจ.นี่นะ อย่างถ้าฟังการหาเสียงของคนบางคนเวลานี้ เขาบอกว่าถ้าผมได้เป็นสิ่งแรกเลย ผมจะระดมสจ. มานั่งคุยกัน อ้าว ทุกคนต้องทำงานมาแล้ว สจ. อยู่อำเภอไหน คุณต้องบอกแล้วว่าอำเภอคุณมีปัญหาอะไร มานั่งแล้วต้องจัดระบบการทำงานทันที ถ้าวิจารณ์การหาเสียงของสจ. บางคนคือยังไม่ได้ทำงานจริง ๆ ยังพูดลอย ๆ ต้องลงไปสอบถามความเห็นของประชาชนว่าปัญหาคืออะไร…
มองเรื่องการเลือกตั้งกับการกระจายอำนาจสำคัญอย่างไร
สำคัญสิครับคือ ประชาธิปไตยต้องมี 2 ระดับ เพราะระดับประเทศมันใหญ่ แต่ท้องถิ่น แต่ละท้องถิ่นควบคุมกันเอง และประชาชนต้องตื่นตัว ผมถามคุณเลยนะครับ ถ้าหากว่าอบจ. ไม่สำคัญ หมอไม่ออกมาถามหรอกว่าอบจ. มันเป็นยังไง แสดงว่ามันสำคัญ เพราะด้านหนึ่งนายกทักษิณพูดเอง สองหมอออกมาถามเอง แล้วทำไมต้องมาถาม ก็เพราะไม่รู้ แล้วทำไมถึงไม่รู้ เพราะกระทรวงศึกษาไม่เคยทำหน้าที่นี้เลย มหาวิทยาลัยแต่ละที่ไม่ทำเรื่องนี้เลย มหาวิทยาลัยทุกมหาวิทยาลัยผมยืนยันได้เลย พลาด 2 เรื่อง 1. ไม่มีวิชาบริหารจัดการท้องถิ่นเป็นวิชาบังคับของบัณฑิตป.ตรี ทุกคณะ 2. ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ทุกคนรู้เรื่องวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ วัดทุกอย่างของกรุงเทพ แต่ไม่รู้เลยว่าบ้านตัวเอง วัดเป็นอย่างไร ประวัติความเป็นมาอย่างไร อำเภอตั้งตอนไหน อำเภอตั้งมากี่ปีแล้ว ไม่รู้เพราะไม่ได้เรียน คนไทยมีความสามารถ มีความรู้ แต่ไม่ได้เรียน …