คนข้ามขอบประชากรข้ามชาติ : คนริมโขงกับเมล็ดพันธุ์ สถานะสัญชาติ และการศึกษาข้ามพรมแดน

ผู้เขียนหยิบเรื่องราวการลงพื้นที่ภาคสนามอบรมเชิงปฏิบัติการ “นักข่าวพลเมือง Thai PBS” เมื่อวันที่ 30-31 พฤษภาคม 2568 ณ บ้านตามุย ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ประเด็น “ประชากรข้ามชาติ” #ประชากรข้ามชาติ #คนข้ามขอบ #อุบลราชธานี ผู้เข้าร่วมทั้งสิ้นราว 30 คน เป็นทั้งนักกิจกรรมในพื้นที่ นักพัฒนาเอกชน และชาวบ้านกลุ่มไร้สถานะสัญชาติในชุมชนแถบชายแดนแม่น้ำโขงไทย-ลาว

พัชรี ศรัทธานนท์ กล่าวสะท้อนว่า “การเข้าอบรมครั้งนี้ตนเองและผู้เข้าร่วมอบรมรู้สึกดี อบอุ่นใจ และมองว่ามีเครือข่ายภายนอกเข้ามาร่วมทำกิจกรรมในพื้นที่ชุมชนที่เผชิญปัญหาต่างๆ หลายมิติ ทั้งสัญชาติ สถานะทางกฎหมาย บัตรประชาชน ผลกระทบจากการเข้าไม่ถึงทรัพยากรธรรมชาติ ผลกระทบจากการพัฒนาในแม่น้ำโขง การศึกษาของเด็กชายขอบ รวมทั้งการเข้าไม่ถึงรัฐสวัสดิการต่างๆ ของคนตัวเล็กตัวน้อย การทำงานสื่อสารในพื้นที่ชุมชนทำให้เรื่องราวต่างๆ ของชาวบ้านและคนชายขอบที่ถูกปิดกั้นการรับรู้มีโอกาสเปิดเผยสู่สาธารณะมากขึ้น การเข้าร่วมอบรมครั้งนี้รู้สึกดีและได้รับความร่วมมือจากผู้เข้าร่วมและชุมชน” ผู้เขียนแบ่งการเล่าออกเป็น 3 ประเด็น ดังนี้

ประเด็นแรก “คนข้ามขอบ” กับ “สิทธิ” และ “สถานะสัญชาติ”

ภาพ : อภิชาติ ทนสู้

            พบว่า ในบริบทพื้นที่ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำโขงประเทศไทยหลายจังหวัดเป็นพื้นที่ของ “คนข้ามขอบ” หรือ “ประชากรข้ามรัฐ” หลากมิติ ทั้งจากพลวัตการข้ามพรมแดนจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ การเมืองและความขัดแย้งใน สปป.ลาว การข้ามพรมแดนเพื่อโอกาสทางด้านการศึกษา หรือการข้ามพรมแดนเพื่อแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจ 3 แบบ คือ เป็นแรงงานแบบวันต่อวัน (ข้ามเช้าเย็นกลับ) เป็นแรงงานระยะสั้น 1-3 เดือน เพื่อหารายได้จากการรับจ้างในภาคเกษตรกรรม และการเป็นแรงงานระยะยาวในเมืองใหญ่ รวมถึงพบปรากฏการณ์บอกเล่าเกี่ยวกับการข้ามชาติที่สัมพันธ์กับอาหารและเมล็ดพันธ์

         ประสิทธิ์ จำปาขาว ช้าวบ้านบะไห ตำบลห้วยยาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ผู้ขับเคลื่อนเรื่องสิทธิสัญชาติตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 กระทั่งได้รับสิทธิสัญชาติในปี พ.ศ.2554 ประสิทธิ์ กล่าวสะท้อนถึงช่วงของการไม่มีสิทธิสัญชาติว่าเป็นช่วงเวลาของการถูกบูลลี่จากสังคมที่ไม่เข้าใจ (ทั้งตนเองและคนในชุมชน) รวมทั้งเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านที่ไม่มีสิทธิและสถานะสัญชาติอยู่ในสังคมท่ามกลาง “ความกลัว” บางคนแม้จะออกไปทำงานต่างถิ่นได้แต่ยังคงถูกกดค่าแรงและไม่ได้รับความเท่าเทียมบางอย่างในสังคม นอกจากนั้น ประสิทธิ์ ได้กล่าวถึงความสำคัญของการสื่อสารประเด็นประชากรข้ามชาติว่า การสื่อสารสำคัญมากเพราะเราต้องบอกเล่าเรื่องราวในชุมชนให้ทุกคนได้เห็น เรื่องราวในชุมชนต้องสื่อสารออกไป ในหมู่บ้านมีเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่พูดถึง

“ชีวิต” และเป็นชีวิตของคนที่ไม่มีสถานะสัญชาติรวมทั้งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต เช่น ข้อจำกัดเรื่องการเดินทางออกนอกพื้นที่ การเข้าไม่ถึงหรือไม่ได้รับการศึกษา การเข้าไม่ถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล หรือผู้สูงอายุบางคนไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ เป็นต้น

“เมื่อวานไปลงพื้นที่บ้านบะไหทำสื่อกรณีสถานะบุคคล พบกรณีกลุ่มคนที่เข้าข่ายมาตรา 7 ทวิ วรรค 2 ได้ไปพูดคุยสอบถามเรื่องราวความเป็นไปมาเกี่ยวกับสัญชาติ

ภาพ : อภิชาติ ทนสู้

และพบว่าเป็นกรณีคนไทยตกหล่น คือ ไม่มีสถานะทางทะเบียนและเป็นปัญหาที่ทับซ้อนแก้ยาก เมื่อได้ฟังเรื่องราวก็รู้สึกว่าอยากช่วยให้เขาเข้าถึงสิทธิที่พึงมีพึงได้ต่อไป พอได้บัตรประชาชนก็รู้สึกภูมิใจ สามารถออกไปต่างถิ่นได้ มีสิทธิขั้นพื้นฐานและมีเสียงในสังคมมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ถ้าไม่มีสิทธิก็เข้าไม่ถึงโอกาส ไม่ใช่แค่ดีใจที่ตัวเองได้ อยากให้พี่น้องทุกคนที่มีปัญหาเหมือนกันในหมู่บ้านได้รับสิทธิเหมือนกัน” ประสิทธิ์ จำปาขาว กล่าว สอดคล้องกับ พัชรี ศรัทธานนท์ ชาวบ้านตามุย ที่เข้าร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการฯ กล่าวว่า “ไปเจอปัญหาแล้วรู้สึกอยากให้เขามีสิทธิเหมือนคนไทย เข้าถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เข้าถึงบัตรสุขภาพ อยากให้รัฐเข้าไปช่วยเหลือ อยากให้เขาเป็นเหมือนพลเมืองไทย เพราะเขาเป็นคนไทยที่ตกสิทธิ์และสถานะสัญชาติ”

ประเด็นสอง “เรือนักเรียนข้ามชาติ”: การศึกษาข้ามพรมแดนของนักเรียนริมฝั่งน้ำโขงไทย-ลาว

         การอบรมเชิงปฏิบัติการดังกล่าวสะท้อนปรากฏการณ์น่าสนใจเกี่ยวกับคนข้ามขอบ หรือประชากรข้ามชาติหลายมิติ เช่น การข้ามด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์และการเมือง หรือการข้ามพรมแดนด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจและสังคม ขณะที่พบว่า ในพื้นที่มีการเคลื่อนย้ายข้ามชาติด้วยเหตุผลของโอกาสทางการศึกษา กล่าวคือ เด็กจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านฝั่งลาวตลอดริมฝั่งแม่น้ำโขง มีความต้องการเข้ามาศึกษาในฝั่งไทย เนื่องจากผู้ปกครองมองเห็นโอกาสของพัฒนาการเด็กและโอกาสทางการศึกษา จึงส่งลูกหลานให้ข้ามมาเรียนฝั่งไทยแบบไปเช้าเย็นกลับ  หลังจากที่ พันทวี พลนำ อบรมเชิงปฏิบัติการได้โพสข้อความในแอพพลิเคชั่น C-site Repor ว่า “ครู” คือ เรือข้ามชาติจุดหมายที่สำเร็จ โดยเล่าว่า ได้ลงพื้นที่โรงเรียนบ้านตามุย พบเด็กในกลุ่มจีในโรงเรียน โดยเป็นนักเรียนจาก สปป.ลาว ที่ต้องการมาเล่าเรียนที่โรงเรียน คณะครูได้ให้ความสำคัญด้านการศึกษาของนักเรียนกลุ่มนี้ ซึ่งมีทั้งเด็กอนุบาลและประถมศึกษา ตลอดจนส่งเสริมการเรียนถึงขั้นสูงต่อไป ซึ่ง พันทวี พลนำ กล่าวว่า “รู้สึกได้ว่าโรงเรียนฝั่งลาวข้ามมาเรียนในฝั่งไทยมีข้อจำกัดเรื่อง “โอกาส” การลงพื้นที่ทำให้เห็นถึงข้อแตกต่างของโอกาสทางด้านการศึกษา การเข้ามารับการศึกษาในฝั่งไทยจะได้เปิดโอกาส เป็นประโยชน์ด้านการเรียนต่อ หรือการไปหางานทำต่อในอนาคตได้ นอกจากนั้นการมีเด็กนักเรียนในพื้นที่ชายแดนได้เรียนร่วมกันยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกและลดอคติทางสังคมลง” ขณะที่ การสนทนากับคุณครูและผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตามุย ชี้ให้เห็นว่า โรงเรียนบ้านตามุยเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนริมฝั่งแม่น้ำโขงไทย-สปป.ลาว มีนักเรียนทั้งสิ้น 53 คน เป็นนักเรียนที่ข้ามจาก สปป.ลาว มาเรียนจำนวน 8 คน แต่ละวันผู้ปกครองจะขับเรือข้ามแม่น้ำโขงมาส่งเรียน และเด็กๆ จะได้รับการสนับสนุนค่าอุปกรณ์การเรียน ชุดนักเรียน หนังสือ และค่าอาหารกลางวัน โดยเด็กกลุ่มนี้มีสถานะเป็นเด็ก “กลุ่มจี” และมีโอกาสได้รับการศึกษาในโรงเรียนร่วมกับเด็กๆ ในหมู่บ้านตามุย การเข้าเรียนในโรงเรียนขึ้นอยู่กับความพร้อมของเด็กและผู้ปกครอง

ประเด็นสาม “เมล็ดพันธุ์ข้ามพรมแดน” อาหาร ผู้คน และพืชพรรณริมฝั่งแม่น้ำโขง

         สุวารินทร์ เซ็นนอก ผู้เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ ชี้ว่า ตนมีความสนใจเกี่ยวกับ “เมล็ดพันธ์ข้ามชาติ” กล่าวคือ สนใจว่าฝั่งไทยกับฝั่งลาวปลูกพืชเหมือนกันหรือไม่จึงนำเสนอข้อมูลประเด็น “คนริมโขงกับเมล็ดพันธุ์” ผ่านการบอกเล่าเรื่องราวผ่าน “ป้าพิม” หญิงชาวบ้านตามุย เล่าว่า.. เมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ ได้มาจากการปลูกในแต่ละปีซึ่งไม่มีการซื้อขายใดๆ เกิดจากการแบ่งปันจากเพื่อนบ้านทั้งในหมู่บ้านเดียวกันและจากประเทศเพื่อนบ้านมาแลกเปลี่ยน การเดินทางมาแลกเปลี่ยนจะเดินทางมาโดยเรือข้ามลำน้ำโขงมาเพราะชาวบ้านต่างมีความสัมพันธ์แบบ “ฉันพี่น้อง” ไปมาหาสู่กับไม่เพียงแต่แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์พืชเท่านั้น แต่ยังคงมีหลายๆ อย่างรวมทั้งประเพณีบุญหรือพิธีกรรมต่างๆ “เมล็ดพันธุ์เป็นสื่อกลางในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพืชกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือระหว่างมนุษย์พืช” ขณะที่ การสนทนาเพิ่มเติมกับ สุวารินทร์ พบว่า ในพื้นที่ชายแดนริมฝั่งแม่น้ำโขงมีการแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์กัน เช่น ฝ้าย ถั่วฝักยาว แตงโม ข้าวโพดพันธุ์พื้นบ้าน ฯลฯ มองว่าการแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์เป็นการแบ่งปันและการให้ “ชีวิต” คือ การแบ่งปันอาหารของคนในพื้นที่ชายแดนและการข้ามชาติของเมล็ดพันธุ์ และเห็นว่าพื้นที่เรียกว่า “เกษตรฮิมโขง” เป็นทั้งที่ปลูกพืชและแหล่งหาปลา การแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์เป็นเป็นการสร้างความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง “เรามีก็แบ่งปันเขา เขามีก็แบ่งปันเรา” แต่ปัจจุบันสถานการณ์แม่น้ำโขงที่ผันผวน ลด-เพิ่ม ไม่เป็นปกติส่งผลกระทบต่อการไหลของน้ำ รวมถึงสารเคมีบางอย่างไหลลงแม่น้ำสาขาและแม่น้ำโขงส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของตะกอนดินที่เป็นส่วนสำคัญของพืช การเกษตร ระบบนิเวศ และวิถีชีวิตของผู้คนตามริมโขง “การสื่อสารเรื่องราวของพื้นที่เป็นประโยชน์สำหรับการสร้างการรับรู้เชิงประเด็นของพื้นที่ในวงกว้างขึ้น เขาจะได้รับรู้ถึงความเดือดร้อนของผู้คนริมโขง”

ขณะที่ จารุวรรณ สุพลไร่ กล่าวถึงประเด็น “อาหารไร้พรมแดน” ว่า แม่ลี สังข์ทอง อายุ 55 ปี ชาวบ้านตามุย หนึ่งในแม่ครัวผู้ปรุงอาหารประจำ “โฮงเฮียนฮักแม่น้ำโขง” เล่าว่า “ปลาแม่น้ำโขงว่ามีหลายชนิด ปลาที่เอามาทำอาหารเมื่อวานนี้ มีปลาญอน ปลาเปี่ยน ปลาปาก ปลาหมากมา และปลาเสือ  เอามาทำได้หลายเมนู ชนิดของปลาแต่ละชนิด ก็จะเหมาะกับเมนูอาหารต่างๆ เช่น ปลานาง ปลาขบ ปลาปึ่ง ปลาซวย ปลาผ่อ เหมาะสำหรับหมกและแกงใส่หน้อไม้ส้ม ปลาเคิง ปลาแข้ เหมาะสำหรับทำลาบ และปลาเปี่ยน ปลาเสือ เหมาะสำหรับทำปลาร้าและปิ้งทาเกลือ” ความหลากหลายของสายพันธุ์ปลา และความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ไม่ได้มีเฉพาะในแม่น้ำโขงและผืนป่าฝั่งไทยเท่านั้น แต่ยังแบ่งปันไปให้ประชาชนลาวในหมู่บ้านฝั่งตรงข้ามด้วย

            นอกจากนั้น แม่ลีเล่าต่อว่า “พี่น้องลาวฝั่งตรงข้ามก็หาอยู่หากินเหมือนกับคนบ้านตามุย วิถีหาปลาก็ใส่มองหาปลาเหมือนกัน ปลาที่ได้ก็เป็นปลาชนิดเดียวกัน ช่วงเห็ดออกก็กินเห็ด หน่อไม้ออกก็กินหน่อไม้เหมือนกัน” คนสองฝั่งโขงเป็นพี่น้องกัน เดินทางไปมาหาสู่ อาหารก็เดินทางข้ามฝั่งโขง คนแต่ละฝั่งเอาปลาเอาเห็ดเอาหน่อไม้มาฝากกัน เพื่อความยั่นยืนและความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์ปลา แม่ลี กล่าวเสริมว่า  “การหาปลาของชาวบ้านทั้งสองฝั่ง สามารถหาร่วมกันได้อย่างอิสระ หาได้เสมอกัน จะมีเขตห้ามหาปลา เขตอนุรักษ์ของแต่ละฝั่ง” อีกทั้ง ปลาที่เหลือจากการบริโภคในครัวเรือน ชาวบ้านฝั่งลาวก็เอาปลาที่หาได้มาขายให้แม่ค้าที่ฝั่งไทย หากคนหาปลาในฝั่งลาวไม่สะดวกข้ามฝั่งเอาปลามาขายที่ฝั่งไทย แม่ค้าพ่อค้าฝั่งไทยก็ยินดีไปรับซื้อปลาที่ฝั่งลาว นอกจากนี้ชาวบ้านฝั่งไทยก็ได้มีการแบ่งปันเมล็ดพันธุ์ฝ้ายให้พี่น้องลาว เนื่องคนฝั่งลาวยังไม่มีการเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง รวมถึงเมล็ดพันธุ์ผักชาวลาวก็ได้ข้ามฝั่งมาซื้อจากฝั่งไทยเช่นกัน ซึ่ง แม่ลี กล่าวทิ้งท้าย “ถ้าปีไหนเห็ดฝั่งไทยไม่ออก พี่น้องฝั่งไทยก็ไปหาเห็ดที่ในป่าฝั่งลาวได้ และถ้าไหนเห็ดฝั่งลาวไม่ออก็มาหาเห็ดในป่าฝั่งไทยได้เหมือนกัน” จะเห็นได้ว่า อาหาร พืชพันธุ์ และทรัพยากรธรรมชาติไม่ได้มี “เขตพรมแดน” ชาวบ้านสองฝั่งต่างเป็นพี่น้องและเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน เอื้อเฟื้อเจือจุน แบ่งปันอาหาร แบ่งปันเมล็ดพันธุ์และแบ่งปันพืชพันธุ์เสมอมา

เรียบเรียง พงษ์เทพ บุญกล้า

แชร์บทความนี้