
ไทยพีบีเอสโดยสำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในท้องถิ่น ในการร่วมริเริ่มเป็นศูนย์สร้างสรรค์สื่อเพื่อสาธารณะ เชื่อมโยงระบบนิเวศสื่อสาธารณะท้องถิ่น ที่มีทั้งมหาวิทยาลัยในท้องถิ่น สื่อสาธารณะท้องถิ่น ผู้ผลิตอิสระ นักข่าวพลเมือง และสื่อท้องถิ่นในพื้นที่ ภายใต้ความร่วม Creative Hub CMU ศูนย์สร้างสรรค์สื่อเพื่อสาธารณะ มี 3 ฟังก์ชันหลัก คือ 1.ด้านการบรรณาธิการเนื้อหา 2.ด้านการผลิตเนื้อหา 3.ด้านการบ่มเพาะศูนย์เรียนรู้เพื่อการสื่อสารสาธารณะ
มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นแหล่งที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งในด้านงานวิจัย ความเชี่ยวชาญในด้านวิชาการ ผนวกการทำงานกับไทยพีบีเอสที่มีความถนัดด้าน Market Demand และการสื่อสารสาธารณะ การมองประเด็นที่สำคัญกับพื้นที่ การทำงานส่วนที่ overlap กันคือ Reginal Creative Media Hub หรือศูนย์สร้างสรรค์สื่อเพื่อสาธารณะ

ศูนย์สื่อสารองค์กรและนักศึกษาเก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมกับไทยพีบีเอส โดย ศูนย์สร้างสรรค์สื่อเพื่อสาธารณะภาคเหนือ NORTH REGIONAL CREATIVE HUB FOR PUBLIC มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดศูนย์ข้อมูลและบรรณาธิการเนื้อหา “วงหลอมรวมเนื้อหา” Monthly Forum ครั้งที่ 1 เมื่อวัน พุธ ที่ 2 ตุลาคม 2567 เพื่อผลักดันประเด็นการสื่อสารสาธารณะจากท้องถิ่น ร่วมระดมเนื้อหาที่สำคัญสำหรับคนภาคเหนือตอนบน และออกแบบการสื่อสารสาธารณะร่วมกัน
โดยครั้งนี้มีตัวแทนจากสถาบันการศึกษาในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย และ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ ตัวแทนภาคภาคเอกชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายสื่อสาธารณะท้องถิ่น ทีมสื่อพลเมือง ผู้ผลิตอิสระภาคเหนือ Local correspondentภาคเหนือตอนบน สื่อท้องถิ่น รวมถึงภาคประชาสังคมที่มี agenda มาคุยกัน เพื่อออกแบบ เนื้อหา เรื่องราว ผลิตสื่อในรูปแบบคอนเทนท์เนื้อหาข่าวเฉพาะที่ตอบโจทย์ท้องถิ่น ในมุมของคนท้องถิ่น รวมไปถึงการส่งเสริมสื่อท้องถิ่น ผู้ผลิตอิสระในพื้นที่ นักข่าวพลเมือง หาแนวทางร่วมในการออกแบบและพัฒนาทักษะคนทำสื่อในพื้นที่เพิ่มเติม โดยมีพื้นที่แพลตฟอร์มที่ไทยพีบีเอสร่วมในการขยายเนื้อหาการสื่อสาร ทั้งในส่วน Local content รูปแบบบันเทิง ประเด็นสาธารณะ ประเด็นเรื่องนโยบายสาธารณะ หรือการผลักให้เป็นเนื้อหา Local สู่ National


สถานการณ์ น้ำท่วมเหนือ บทเรียน “ภัยพิบัติ” กับการรับมือภัยในอนาคต

รองศาสตราจารย์ ชูโชค อายุพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมให้ข้อมูลในหัวข้อนี้ กล่าวว่า

ภัยพิบัติขนาดใหญ่ครั้งนี้ คือ Extreme writer ที่รุนแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีสาเหตุหลักมาจากรูปแบบการตกของฝนที่ผิดปกติและรุนแรง ซึ่งไม่ได้เป็นพายุเป็นเพียงร่องฝนหรือร่องมรสุม ที่ทำให้เกิด Rainbom ตกต่อเนื่องทำให้พื้นที่สะสมน้ำค่อนข้างเยอะ พฤติกรรมที่เห็นได้ชัด คือ ฝนตกหนักในช่วงเวลาสั้น ๆ ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในช่วงเวลาอันสั้น พื้นที่เสี่ยงสะสมน้ำ ระบบระบายน้ำไม่พร้อม ซึ่งน้ำท่วมเกิดจากสาเหตุนี้ อัตราการตกหลุมฝนรุนแรงทําให้ พื้นที่เสี่ยงที่อ่อนแอ เปราะบาง ล่อแหลมได้รับผลกระทบ
ล่อแหลม คือ ประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่จะต้องถูกน้ำท่วม มีการบุกรุกพื้นที่เสี่ยง ทั้งประชาชน รัฐ เอกชน ทำให้ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติสูงขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยเกิดสถานการณ์อากาศขั้นรุนแรงแบบนี้ เมื่อผ่านไป 10 ปี วันนี้พบว่า คนที่อยู่พื้นที่ล่อแหลม บุกรุกเข้าไปโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทำให้เราต้องเริ่มตระหนักว่าหากเราอยู่ในที่ล่อแหลม ต้องมีวิธีการรับมืออย่างไร
วันนี้เหมือนเราเจอมวย heavy weight และเป็น worst case scenario แน่นอนว่าเรามีผนังกั้นน้ำอยู่ เราสู้ได้ระดับกลาง เหมือนเราต่อยมวย middle weight เราสามารถสู้ได้บ้าง ชนะบ้าง แพ้บ้าง แต่วันนี้มัน heavy weight มาต่อยกับเรา เราแพ้น็อค
ล่อแหลมไม่พอ ยังเปราะบาง เปราะบางเพราะบางส่วนไม่เชื่อพยากรณ์และไม่มีระบบพยากรณ์ที่ดีพอ ฉะนั้นคําว่าล่อแหลมเปราะบาง ทําให้ภัยคุกคาม ภัยพิบัติ ที่มีขนาดก้อนใหญ่กว่าเดิมจากอดีตทำให้เกิดความเสียหายได้มากขึ้น ซึ่งหากเราไม่ลดความเสียงหายให้ได้ ความเสียหายจากภัยพิบัติในอนาคตจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
แน่นอนว่าน้ำท่วมครั้งที่ 1/2567 เชียงใหม่นั้นมีพื้นที่ล่อแหลมแต่มีความเปราะบางน้อยลง เนื่องจากเราให้องค์ความรู้ตลอดเวลา พยายามสร้างองค์กรที่เป็นหน่วยงานรัฐผนวกกับสถาบันศึกษา เข้าไปอยู่ในทีมของกองบัญชาการ เพราะฉะนั้นแม้ว่าระบบเราจะดีกว่าพืนที่แม่สายก็ตามแต่หากผู้ปฏิบัติระดับผู้นําองค์กร มีวิสัยทัศน์และมีแนวทางในการทําไปในทิศทางเดียวกัน คือผนวกการทำงานร่วม จะทำให้การบริหารจัดการภัยพิบัติดีขึ้น ยกตัวอย่างเรื่องการสื่อสาร การส่งข่าวสารข้อมูลให้ประชาชนรับทราบ เชียงใหม่รอบนี้แม้ไทยพีบีเอสเดินหน้าสื่อสารติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องแล้วก็ตาม ทางศูนย์กองบัญชาเหตุการณ์ยังทำหน้าที่ในการถ่ายทอดสดสถานการ์เรียลไทม์ ซึ่งสามารถให้ประชาชนเข้ามาด่าและถามตอบได้ตอนถ่ายทอดสด พร้อมทั้งมีคนให้ความรู้ตลอดเวลาเพื่อให้ประชาชนตื่นตัว เรื่องสื่อสําคัญที่สุดสําหรับการเกิดภัยพิบัติขนาดใหญ่ เราต้องเตือนตลอดเวลา แล้วเน้นว่าเกิดอะไรขึ้น
วันนี้เชียงรายกําลังโดนงูกัดพฤติกรรมของน้ำรอบนี้ แต่ละรอบมีความแตกต่างกันรอบล่าสุดเป็น flash flood ที่ใหญ่ เนื่องจากว่าเป็นพื้นที่ที่มีการกีดขวางทางน้ำระดับต้น ๆ ประเทศ เรื่องระบบพยากรณ์ที่ยังมีข้อจํากัดในพื้นที่ เป็นวิธีของเพื่อนบ้าน น้ำกก 3,500 ตารางเมตร ก่อนเข้ามาที่แม่อาย ใหญ่มากเท่ากับแม่งัด และเชียงดาวรวมกัน ตอนนี้เราพยากรณ์ไม่ได้ล่วงหน้า แต่เราสามารถดูกลุ่มเมฆ กลุ่มฝนล่วงหน้าได้ ดูแม่สายทั้งลำน้ำ โดยใช้เครื่องมือเทคโนโลยี
ที่เชียงรายเราเห็นภาพ รถจมน้ำ กลุ่มเปราะบางผู้ป่วยติดเตียงเสียชีวิต คนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ติดอยู่ในอาคารอยู่ในอาคาร แต่ขณะเดียวกันมีภาพสกู๊ตเตอร์เจ็ตสกีเข้าไปช่วยทําลายระบบตอบสนองไทยเราหมด เพียงเจ็ตสกีคันเดียว ถามว่าเกิดภาพที่หนักหนาสากาลอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะคนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูง เช่น พื้นที่เกาะทราย อ.แม่สาย ไม่ยอมย้ายออกตามคำประกาศเตือน ดังนั้นทําอย่างไรไม่ให้เกิดภาพนั้นที่จังหวัดเชียงใหม่ งานด้านวิชาประเมินภาพ worst case scenario หากน้ำมาแล้วล้นตลิ่งที่เทศบาล จุด P1 แบบปี 2554 ระดับ 4.95 เมตร เราจะต้องทําอย่างไร สิ่งที่ต้องทำคือ 2 วันก่อนน้ำมา ให้คนอพยพ เอารถออกจากพื้นที่เสี่ยง แผนที่พิกัดพื้นที่อพยพ พื้นที่จอดรถ ติดต่อห้างร้าน พื้นที่เอกชน พื้นที่รัฐที่ปลอดภัย ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียงให้ย้ายออกจากพื้นที่เสี่ยงสูงทั้งหมด เพราะฉะนั้นเวลาน้ำมา ภาพว่าตัวชี้วัดสําคัญคือเตือนภัย ได้ผลหรือไม่ รถต้องไม่จมน้ำ ต้องไม่มีผู้เสียชีวิต ดังนั้นหากมีรถจมน้ำมาก มีผู้เสียชีวิตมาก นั่นแปลว่าการเตือนภัยเฟล
ในส่วนของโครงการที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่กำลังเดินหน้าอยู่และมีสถานบันการศึกษาที่จะร่วมมือ ทั้งอว.และหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ในระหว่างการประสานงาน ปัจจุบันเรามีไกด์ไลน์ที่จะทํา flood map ในจังหวัดเชียงราย จังหวัดแพร่ จังหวัดที่มีพื้นที่เสี่ยงสูง การทำ flood map ในตอนที่เราเตือนภัยประชาชนให้อพยพ ประชาชนเขาจะรู้ว่า เขาอยู่ในพื้นที่ต้องอพยพหรือไม่ บางทีไม่ต้องอพยพทั้งหมด เพราะอยู่ในที่ที่ไม่ได้น้ำท่วม ต้องชี้เป้าก่อนและต้องรู้ว่าพื้นที่ที่ประชาชนอยู่น้ำท่วมสูงขนาดไหนหากน้ำมาในแต่ละระดับ จะได้หนีทัน สิ่งสำคัญตอนนี้ต้องเร่ง flood map และให้รู้ว่าประชาชนอยู่ในพื้นที่ตรงที่เสี่ยง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มงคลกร ศรีวิชัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ร่วมให้ข้อมูลในหัวข้อนี้ กล่าวว่า ในส่วนของการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติเชียงราย สิ่งที่ผู้ประสบภัยไม่รู้ คือ ประชาชนประเมินความเสี่ยงของตัวเองไม่เป็น ข้อมูลสิ่งที่ขาด คือ พื้นที่ตรงไหนจะมีความเสี่ยง
ตนเคยวิเคราะห์เหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพมหานคร ปี 2554 กับ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ โดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมของ gistda ในการประเมินความเสี่ยงกับแบบจําลองของทางคณิตศาสตร์ซึ่งเป็นไปได้ แต่ปัญหาของเชียงราย คือ เราใช้ภาพถ่ายดาวเทียมในการประเมินสถานการณ์ไม่ได้ เพราะดาวเทียมของ gistda ไม่เห็นภาพวงกว้างเพราะบินผ่านเชียงรายแค่วัน 1 หรือ 2 ครั้ง ซึ่งครั้งนี้ที่น้ำท่วมเชียงราย วันที่ 12/13 กันยายน 2567 ภาพที่ gistda ส่งมาคือภาพน้ำท่วมที่ อ.เทิง เพราะเส้นทางของดาวเทียมที่วิ่งผ่านวิ่งอีกเส้นหนึ่ง
อ.มงคลกร มองว่าการมีทีมที่จะช่วยในการสื่อสารให้ได้ โดยประชาชนจะรู้ต้องให้ได้ว่า ตอนนี้น้ำอยู่ที่ใดและจะมาถึงตัวเขาในเวลาใน ในขนาดไหน ตอนนี้การสื่อสารเป็นสารสนเทศท่วมท้น ประชาชนดูข้อมูลผ่านไลน์ ข้อมูลเป็นข่าวลือ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐของ หน่วยงานหลักของประเทศ รายงานสถานการณ์ในสเกลของจังหวัด ซึ่งเราต้องบอกว่าข้อมูลสเกลจังหวัดเค้าถูก เค้าแม่น แต่ว่าข้อมูลสเกลระดับเชิงพื้นที่ ลงรายละเอียดตำบล หมู่บ้าน ยังขาด
อีกหนึ่งสิ่งของความยากพื้นที่ ลุ่มน้ำกก เพราะมีส่วนเชื่อมต่อลำน้ำอยู่นอกเขตประเทศ ข้อมูลต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ มองว่าทีมผู้สื่อข่าวอาจสามารถสื่อสารกับหน่วยงานระดับชาติ ที่จะสามารถตอบได้ อย่างล่าสุดอย่างสนทช.ประกาศว่าเชียงรายจะมีน้ำขึ้น ล้นตลิ่ง 1.06 เมตร ซึ่งสนทช. คาดการณ์จากแผนที่ความเสี่ยง แต่ไม่มีใครบอกว่าในช่วง 2 วันที่ผ่านมาน้ำท่วมที่ประเทศเมียนมาเท่าไหร่ ซึ่งมันประมาณการจากภาพถ่ายดาวเทียมได้ หากเรามีหน่วยงานภาครัฐที่จะรู้ ซึ่งสื่อเป็นส่วนกลางที่จะสามารถส่งต่อได้ โดยเฉพาะเรามีศูนย์ข่าวภาคเหนือซึ่งเราจะสามารถสื่อตรงนี้ให้กับภาคประชาชนในการรายงานข้อมูลสถานการณ์ความเป็นจริง ที่มากกว่าการรายงานมีใครลงไปช่วยเหลือบ้าง คนที่ต้องการข้อมูลที่น้ำจะต้องไปทางไหนต่อ หรือฝนตกทางไหน จนถึงวันนี้เราในฐานะนักวิชาการทางด้านน้ำเรายังไม่สารถหาข้อมูลว่าฝนตกที่เมียนมามีจำนวนเท่าไหร่ ปริมาณมวลน้ำที่จะไหลมาเท่าไหร่
และประชาชนในอนาคตต้องประเมินตนเองให้ได้ องค์ความรู้ด้านอุทกวิทยาภาคประชาชนของเรายังค่อนข้างที่จะมีปัญหา ประชาชนอาจยังมีชุดความรู้ไม่มากเพียงพอที่จะสามารถประเมินเองได้ ศูนย์ภาคเหนือ มีสื่อท้องถิ่น มีข้อมูลจากวิชาการ ในส่วนของตรงนี้น่าจะช่วยการสื่อสารได้

อาจารย์สืบสกุล กิจนุกร สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมให้ข้อมูลในหัวข้อนี้ กล่าวว่า ตนเองเป็นนักสังคมศาสตร์ ซึ่งมีข้อมูลที่อยากแลกเปลี่ยน 3 ส่วน ส่วนที่ 1 เรื่องน้ำท่วม ส่วนที่ 2 งานอาสาสมัคร ส่วนที่ 3 เรื่องการสื่อสาร
เรื่องน้ำท่วมครั้งนี้ มองจากมุมนักสังคมศาสตร์ สิ่งหนึ่งเราค้นพบ คือ Unknown water shine เราไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับต้นน้ำของบ้านเราเลย สอดคล้องกับที่ท่านอาจารย์ชูโชคและอาจารย์มงคลกรณ์พูด เราไม่มีความรู้เรื่องต้นน้ำของเราเลยว่ามันอยู่ที่ไหน ไม่ต้องพูดเรื่องสภาพการใช้ที่ดิน แค่เรื่องปริมาณน้ำมีเท่าไหร่ มวลน้ำมหาศาลแค่ไหน มวลน้ำใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่ ประชาชนหลายคนไม่รู้ และเรามืดบอดทางวิชาการ นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ตนคิดว่า เรามีความจําเป็นต้องรู้จักต้นน้ำเรามากกว่านี้
อีกส่วนสำคัญคือเรื่องระบบเตือนภัยบ้านเราที่ไม่มีสเถียรภาพ เห็นด้วยว่าเมืองเราเปราะบางมาก เพราะไปอยู่พื้นที่รับน้ำระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเราอ่อนแอ กว่าจะซ่อมระบบน้ำประปา และพบว่าท้องถิ่นมีความเข้มแข็งกระตือรือร้นในสถานการณ์ภัยพิบัติแต่การจัดการเกินอํานาจในมือ
เราต้องรู้จักน้ำท่วมในความหมายทางสังคมศาสตร์ แม่น้ำมีพรมแดนของตัวเอง มันยืดได้ขยายได้ แล้วมันตัดพรมแดนชนิดอื่นๆ พรมแดนการเมือง พรมแดนเขตปกครอง พรมแดนชาติพันธุ์ และน้ำท่วมครั้งนี้มันเร็ว มันดุร้าย มันเฟียตด้วย นี่สิ่งที่สําคัญที่ได้เรียนรู้
“เรื่องการสื่อสาร” สื่อมีบทบาทสําคัญมากในน้ำท่วมครั้งนี้ หากเรามอนิเตอร์สถานการ์คําเตือนหลาย ๆ คำเตือนส่งมาจากภาคประชาสังคมที่ติดตามเรื่องภัยพิบัติ วันที่ 10/11 กันยายน บอกว่าน้ำจะเดินทางจากแม่อาย มาถึงเชียงรายในอีก 6 ชั่วโมง และบอกว่าน้ำจะท่วมเชียงรายแน่นอน ซึ่งถูกตอกย้ำด้วยโซเชียลมีเดีย มีคนไปถ่ายรูป ไลฟ์สด มวลน้ำที่แม่อาย-ท่าตอน บนออนไลน์ให้คนในพื้นที่รับน้ำได้เห็นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งในตัวเมืองเชียงรายเองก็มีคนถ่ายคลิปในตอนเช้า 7 โมงเช้า ระหว่างเข้าเมืองว่าน้ำมันท่วมเข้ามาในเขตไหนบ้างแล้ว นี่คือสื่อท้องถิ่น สื่อภาคประชาชน คนบนโซเชียลมีเดีย ที่มีส่วนสําคัญ ในการร่วมบอกสถานการณ์ แล้วสื่อหลักถึงตามขยายเนื้อหา เกิดเตือนภัยแบบเรียนไทม์โดยประชาชนเอง
ถามว่าหน่วยงานภาครัฐ มีข้อมูลเกี่ยวกับน้ำในเขตน้ำกกหรือไม่ คำตอบคือมีทั้งหมด เรารู้ว่ามีที่วัดระดับน้ำ 2-3 จุด ซึ่งกลายเป็นว่าประชาชนต้องไปดูข้อมูลของแต่ละส่วนเอง ทั้งอุทกวิทยาที่ 2 มีข้อมูลที่วัดน้ำ สนทช.จะมีข้อมูลว่าด้วยเรื่องปริมาณน้ำฝน อีกหน่วยงานอื่นมีข้อมูลน้ำกกทั้งหมด ซึ่งข้อมูลกระจายมากมาย แต่ไม่มีหน่วยงานที่เอาข้อมูลนี้ไปประมวล และบอกกับประชาชนว่าระดับไหนที่จะมีความเสี่ยง ระดับนี้จะท่วมไปถึงตรงไหน ตรงไหนคือพื้นที่เปราะบาง เสี่ยงสูง แล้วน้ำจะท่วมนานถึงกี่วัน นี่คือ GAP ทางความรู้ แล้วเป็น GAP ทางความรู้ที่ต้องการการพัฒนา
กลับมาที่เรื่อง บทบาทสื่อในการรายงานข่าว ในช่วงสถานการณ์เรามองเห็นสื่อท้องถิ่น พื้นที่เขตต่าง ๆ ร่วมกันรายงานทําให้คนเห็นภาพการเชื่อมโยงกัน แต่แน่นอนว่ามันจะมีเรื่องที่ว่าอันไหนข่าวจริง อันไหนข่าวลวง คือปัญหาที่ตามมา ซึ่งในอนาคตสื่อที่สมัครใจ สื่อที่ร่วมกันรายงานในสถานการ์นี้อาจจะต้องมีการเสริมศักยภาพให้กับเขาในเรื่องของการรายงานข้อเท็จจริง จริยธรรม และอีด้สนคือการเสริมความรู้ให้กับประชาชนที่ดูสื่อเองด้วย
เรื่องที่ตนทำงานอยู่ คือ งานด้านอาสาสมัคร ซึ่งมีความสําคัญมาก ถ้าเราไม่มีงานอาสาสมัคร ไม่มีแผนจัดการพิบัติน้ำท่วมในท้องถิ่น ไม่มีแผนการซ้อมรับมือภัยพิบัติ ไม่มีการให้การศึกษากับประชาชนว่าต้องปฎิบัติหรือทำอย่างไรในสถานการ์ภัยพิบัติ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อันตรายในอนาคต แผ่นดินไหวยังมีซ้อมภัยบ้าง เรื่องน้ำเหมือนกันไม่มีการซ้อมภัยพิบัติในวงกว้าง เราไม่รู้ต้องปฎิบัติตัวอย่างไรเมื่อเกิดภัยพิบัติ อาสาสมัครจึงมีความสําคัญในแง่ที่ว่า เวลาเกิดภัยพิบัติ อย่างครั้งนี้เราจะเห็นว่าหน่วยกู้ภัยที่เข้าไปถึงเร็วสุด ท้องถิ่นที่ทําไม่ได้เพราะท้องถิ่นไม่มีอะไร ไม่มีเรือท้องแบน แต่น้ำที่แม่น้ำสายมันเชี่ยวมากจะไปช่วยชาวบ้านอย่างไร ท้องถิ่นไม่มีความรู้ จึงจำเป็นต้องเติมความรู้ให้ท้องถิ่นในการเข้าช่วยเหลือได้เร็ว
อีกด้านหนึ่งของงานอาสาสมัคร มีความสําคัญเพราะอาสาสมัครจะเป็นหน่วยที่เข้าโดยเฉพาะในงานฟื้นฟูระยะเวลานาน เช่น งานอาสาล้างบ้าน ตนมีแรงงานข้ามชาติไปช่วยล้างบ้านชาวบ้านที่เป็นกลุ่มเปราะบาง 5 รอบ 5 วัน กว่าจะล้างเสร็จ เพราะต้องตักโคลน ตักขยะ เก็บของที่พังออกจากบ้าน ต้องใช้ความละเอียดในการทํางาน ใช้แรงงานมหาศาล และใช้ความอดทน ความเห็นอกเห็นใจ
ซึ่งงานอาสาสมัครต้องมีการส่งเสริมในส่วนของสถาบันการศึกษา ซึ่งหากไม่ส่งเสริม ไม่สามารถจัดการปัญหาได้ก็อาจนำมาซึ่งการไร้อาสาสมัครในสถานการ์ภัยพิบัติ ยกตัวอย่าง เช่น น้ำท่วมแบบฉับพลันหน้ามหาลัยแม่ฟ้าหลวง ไฟดับ นักศึกษาเดินทางออกมาไม่ได้ ถนนขาด เซเว่นของหมด โลตัสของหมด ร้านอาหารตามสั่งปิด แกร็บเข้าไปไม่ได้ ซึ่งภายในเรารวบรวมอาสาสมัคา เซ็ตครัวกลาง พื้นที่กลางอพยพ ภายในหนึ่งชั่วโมงได้ที่มหาลัยแม่ฟ้าหลวง ดังนั้นการมีความพร้อม มีของ มีนักศึกษาที่เป็นอาสาสมัคร ซึ่งคนกลุ่มนี้เคยถูกเทรน ไปฝึกล้างบ้านในช่วงน้ำท่วมครั้งแรก 2567 ล้วนไม่เกี่ยวอะไร แต่เมื่อถึงเวลาวิกฤต จะพวกเขารู้ว่าเขาต้องเตรียมตัวอย่างไร สถาบันการศึกษานอกจากงานวิจัยก็อยากจะเพิ่มเติมในแง่มิติสังคมศาสตร์ ในการช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือตนเอง
อีกประการที่ต้องพูดถึงคือ “ทําไมชาวบ้านไม่เชื่อเรื่องน้ำท่วม” ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อ แต่ว่าเรื่องน้ำท่วมมันมีมิติทางสังคม ในแง่ความทรงจําร่วมของชุมชน ชุมชนฉันไม่เคยท่วมหรือ เมื่อปี 2537 มันท่วมอีกแบบ ดังนั้นเรื่องการตีความ ความเข้าใจแน่นอนเราต้องเราต้องมีการพูดคุย ทําความเข้าใจกันหลังจากนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ในแต่ละระดับให้กับประชาชนในพื้นที่
ประเด็นสุดท้าย ไทยพีบีเอสและสถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เราไม่ได้เสริมทักษะนักศึกษาเพียงแค่การทำงานอาสาสมัคร เราติดเครื่องมือการสื่อสารทางสังคมให้กับนักศึกษาและเครือข่ายแรงงานข้ามชาติเข้าไปด้วยในการลงพื้นที่ ใช้โอกาสนี้ที่อาสาสมัครลงพื้นที่ให้ไทยพีบีเอสติดเครื่องมือเพิ่มเติมทักษะการสื่อสารให้กับอาสาสมัคร ซึ่งมันดีตรงที่ว่าทําให้นักศึกษามีทักษะและมีประสบการณ์ ได้คิด วิเคราะห์ เก็บข้อมูล ช่วยสื่อสารในสถานการณ์ภัยพิบัติ เขาได้คิดว่าในหน้างาน สถานการ์นี้เขาควรจะร่วมสื่อสารอย่างไร ในมิติหรือแง่มุมใด หรืออาจเป็นการสื่อสารเพื่อระดมความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้กับพื้นที่
โดยสรุปแล้วนั้น ทั้งความรู้งานวิจัยมีความสําคัญ มิติเรื่องความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสําคัญมาก เพราะหากไม่มีเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาจะทําให้การอธิบายเรื่องยากเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น ในอนาคตสิ่งนี้เป็นตัวช่วยในการอธิบาย ในส่วนของงานอาสาสมัครนักศึกษามีความสําคัญเพราะเราเป็นสถาบันการศึกษาในการผลิตคนให้ช่วยเหลือตนเองได้เมื่อช่วยเหลือตนเองได้ก็จะไปช่วยเหลือผู้อื่นต่อ สุดท้ายคืองานด้านการสื่อสารแม้ตนอยู่สํานักนวัตกรรมการเรียนรู้ เน้นเรื่องสังคมไม่ได้สอนอะไรเกี่ยวกับงานด้านการสื่อสาร แต่ตนให้ความสําคัญเพื่อเป็นการเสริมให้นักศึกษามีความกระตือรือร้นในการวิเคราะห์ประเด็น ในการร่วมทำงานกับสื่อ

คุณ สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ร่วมให้ข้อมูลในหัวข้อนี้ กล่าวว่า ชวนวิเคราะห์สถานการณ์โดยภาพรวมร่วมกันก่อนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ที่จังหวัดเชียงรายนั้น เป็นเหตุการณ์ที่นอกเหนือการคาดหมาย เกิดขึ้นแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ซึ่งสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ ตั้งรับปรับตัวในอนาคตคือเรื่องของความเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศของโลกที่มีความเปลี่ยนแปลง อาจจะต้องมีการทบทวนในเรื่องของการพัฒนาหรือว่าการอนุรักษ์ในพื้นที่ ว่ามันจะมีจุดร่วมกันในอนาคตกันอย่างไร เพราะว่าครั้งนี้เป็นความเสียหายที่เกินเลย จากที่เคยพบเจอในอดีต
ความเสียหายครั้งนี้แผ่ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ลุ่มน้ำโขงเหนือ น้ำกกโขง เพราะฉะนั้นบริเวณโขงเหนือ เป็นพื้นที่ที่ถูกจัดลําดับเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำลําดับสอง ลําดับหนึ่งสาละวิน ลําดับสองลุ่มน้ำโขงเหนือ น่าจะใช้เป็นโมเดล ในการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต ที่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ในพื้นที่โขงเหนือหากดูพื้นที่ มีอยู่ราว ๆ 10 ล้านกว่าไร่ ที่เป็นทั้งที่สูง ที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึง ซึ่งประชากรในพื้นที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์มากถึง 30 กลุ่ม ประชากรตามหลักฐานลงทะเบียนกว่าล้านคน ซึ่งมีจำนวนหนึ่งไม่อยู่ในทะเบียนและเป็นตัวเลขที่เยอะ เพราะฉะนั้นพื้นที่จุดนี้ลุ่มน้ำโขงเหนือน่าจะเป็นโมเดลในการเตรียมรับมือภัยพิบัติได้ครบมิติ ทั้งเรื่องแผ่นดินไหว ไฟป่าหมอกควัน น้ำท่วม เพื่อตั้งรับปรับตัวในอนาคต
ในส่วนของความเสียหาย ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพื้นที่ โดยเฉพาะชาวนา การประเมินความเสียหายเบื้องต้นในที่ราบลุ่มน้ำอิงตอนล่าง จากข้อมูลของการใช้ที่ดินในที่ราบลุ่ม น้ำอิงตอนล่าง รัศมี 10 กิโลเมตร ฝั่งซ้าย 5 กิโล ฝั่งขวา 5 กิโล ในลุ่มน้ำที่มีความยาวของน้ำอิงตอนล่าง มีการใช้ที่ดินอยู่ประมาณ 300,000 ไร่ ทั้งเป็นที่อยู่อาศัย ที่นา ที่สวน เพราะฉะนั้นหากประเมินความเสียหายเบื้องต้น โดยเฉพาะที่นา การลงทุนทํานา ใช้ต้นทุนอยู่ที่ราว ๆ 2,500 บาท ความเสียหายครั้งนี้อาจแตะไปแสนไร่ถึง 300,000 ไร่ เบื้องต้น ประมานการตัวเลขที่ 9 ร้อยล้านบาท ซึ่งมองในมิติของรายได้ส่วนหนึ่ง และอีกส่วหนึ่งคือเรื่องของความมั่นคงทางอาหาร หากรวมกับลุ่มน้ำกกตอนล่าง-น้ำอิงตอนบนความเสียหาย น่าเกินจะเกินหลักแสนไร่ ประมาน 300,000 ไร่ นี่คือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา โดยตรง ซึ่งไม่ต่ำกว่า 70% ของความเสียหายทั้งหมด เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเราอาจจะต้องให้ความสําคัญกับความเสียหายที่เป็นผลกระทบต่อเกษตรกรในครั้งนี้ด้วย
ในมุมมองของของสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ตนคิดว่าถือว่าเป็นการเรียนรู้จากเหตุการณ์ เราเป็นนักสังคมสิ่งแวดล้อม งานนี้ ถือโอกาสได้ทํางาน และได้เรียนรู้ไปพร้อมกับเหตุการณ์ ซึ่งแนวทางในการช่วยเหลือประชาชนในช่วงสถานการณ์ ได้เรียนรู้ คือ การช่วยเหลือเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ การกิน การอยู่ ตามมาด้วยเรื่องของที่พักพิงฉุกเฉิน ที่หนีฉุกเฉิน อาจจะต้องมีการเตรียม ในระยะยาวน่าจะมีแผนรองรับในการที่จะดูแลช่วยเหลือ พี่น้องชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบอย่างฉับพลัน เร่งด่วน
ในระยะยาว เรื่องของเกษตรกร เป็นเรื่องสําคัญที่จะต้องได้รับ การสร้างขวัญและกําลังใจโดยวิธีการต่างๆ ที่หลากหลายและการมีส่วนร่วมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพราะนั้นครั้งนี้เราควรจะต้องทํางานโดยใช้หลักการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ ทั้งเรื่องข้อกล่าวหาเรื่องอะไรต่างๆ เราควรจะลดลง แล้ว มาตั้งหลักกันที่จะช่วยเหลือชาวบ้านและมองแผนการตั้งรับปรับตัวในอนาคต ให้เป็นพื้นที่โมเดลของการช่วยเหลือในลุ่มน้ำโขงเหนือหรือพื้นที่อื่นๆ

คุณ กิตติ ทิศสกุล ที่ปรึกษาสมาคมฯ สหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย ร่วมให้ข้อมูลในหัวข้อนี้ กล่าวว่า ภาวะวิกฤตน้ำท่วมที่ของจังหวัดเชียงราย ต้องยอมรับว่าที่เชียงรายเสียหายกันเยอะ เพราะหนึ่งการรับรู้ในเรื่องของน้ำท่วม คนเชียงรายไม่เคยเกิดวิกฤตขนาดนี้มาก่อน ทุกทีเราเจอน้ำท่วม น้ำมาแป๊บเดียวแล้วก็ไป ซึ่งความสูญเสียไม่มากขนาดนี้ น้ำท่วมครั้งนี้มาเร็วและแรง อีกทั้งมีโคลนที่หนาถึงทุกวันนี้ยังจัดการให้คนเข้าอยู่ไม่เสร็จ ทําให้ความเสียหาย ในระดับพื้นที่สูญเสียเยอะ ทั้งเรื่องของบ้านเรื่อง รถยนต์ ข้าวของ และรวมทั้งเรื่องเศรษฐกิจ
การบริหารจัดการภาวะวิกฤติ เรื่องของ ผู้นําสําคัญที่สุด พอเราขาดซึ่งผู้นําที่มีการตัดสินใจที่ดี หรือแม้กระทั่งกล้าในการตัดสินใจแล้ว การสื่อสารถึงประชาชนเป็นปัจจัยสําคัญที่สุด ช่วงที่เกิดภาวะวิกฤติน้ำท่วมขึ้นมา การสื่อสารจากภาครัฐที่ลงมาถึงประชาชน ตนคิดว่าไม่เป็นแท่งเดียว ประชาชนส่วนใหญ่จะรับรู้ข้อมูลจากสื่อออนไลน์ ดูในเฟสบุ๊ค ส่งไลน์ และโทรติดตามหาคนที่รู้จักในพื้นที่อื่น ๆ มีทั้งความไม่เชื่อมัน ภาพความเสียหายที่สื่อออกมาคงเห็นเหมือนที่อาจารย์บอกว่าตัวชี้วัดคือหนึ่งมีคน อยู่ตามบ้าน รถลอยอยู่ในแหล่งน้ำ
ในการกอบกู้ในเรื่องของเศรษฐกิจ พอเกิดภาวะวิกฤต โชคดีอยู่อย่างคือต้องชื่นชมภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ทั้งในประเทศไทย ทั้งในเชียงราย กระโดดเข้ามาช่วยกัน อีกอย่างคือสังคมคนเหนือมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมื่อเกิดภาวะวิกฤต จะโดดเข้ามาช่วย ตนลงไปช่วยอพยพคน ภาคเอกชนคนไหนช่วยได้ช่วย เช่น ตนเปิดร้านอาหาร เปิดโรงแรมไม่โดนน้ำท่วม ไม่มีผลกระทบ แต่ช่วยทําเรื่องอาหาร จัดสรรอาหารส่งไปให้กับอาสาสมัคร นี่เป็นเรื่องของการให้ความช่วยเหลือ แม้กระทั่งพักหลังองค์กรนอกพื้นที่มีการเข้ามาช่วยเหลือในจังหวัด ซึ่งทำให้เราเห็นการบริหารจัดการของหน่วยงานในพื้นที่ที่มีจุดด้อย เราควรมีการบริหารจัดการภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำท่วม ไฟป่า-หมอกควันแม้กระทั่งภัยแล้งในอนาคต เราควรพลิกวิกฤตตรงนี้กลับมาเป็นโอกาสในการเตรียมการ ที่จะมีการถอดบทเรียน และเกิดการพัฒนาเรื่ององค์ความรู้ นําไปสู่เรื่องของการดูแลป้องกันและช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาในระยะยาวเกิดขึ้น
อีกมุมมองหนึ่ง เมื่อเราโดนเรื่องของภาวะน้ำท่วมหรือแม้กระทั่งไฟป่าหมอกควัน วิกฤติต่าง ๆ เราจะมองว่ามันกระมันกระทบเพียงแค่คนที่โดยถัยพิบัติ ความจริงคือกระทบพื้นที่ที่ไม่เกิดภัยพิบัติด้วย เช่น ธุรกิจโรงแร ร้านอาหาร การท่องเที่ยว ที่ขาดความเชื่อมั่น โดนนักท่องเที่ยว โดนทัวร์ยกเลิก พอประกาศเขตภัยพิบัติ บริษัททัวร์ต่าง ๆ ขอยกเลิกไม่นําทัวร์ลงในพื้นที่ เอเจ้นท์ต่างประเทศพื้นที่ไหนก็ตามที่ประกาศเขตภัยพิบัติ ทั้งกรุ๊ปทัวร์จะไม่มาเพราะหากเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดอะไรบริษัทประกันเค้าจะไม่จ่าย เพราะฉะนั้นเลยมีทัวร์ส่วนที่ยกเลิกกระทบไปทั้งบรรดาผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร ปิดสวิทโหมดการท่องเที่ยวชั่วขณะ ซึ่งจุดนี้เรื่องความเชื่อมั่นที่ต้องดึงกลับมาเพราะทางเหนือกำลังจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซัย แต่ปัจจุบันทัวร์ยังไม่กลับมา เพราะความเชื่อมั่นในเรื่องของการฟื้นฟูเรื่องสาธารณูปโภค เรื่องเศรษฐกิจเชียงราย เป็นเรื่องของการสื่อสาร และการจัดการ จะทําอย่างไรที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา ซึ่งเป็นเรื่องของการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ
อีกส่วนหนึ่งที่จะเป็นปัญหาตามมาคือมูลค่าที่ดิน ตอนนี้ที่ดินที่โดนน้ำท่วม จะมีผลกับเรื่องของแหล่งกู้ เรื่องทุนทรัพย์หรือบริษัทประกันที่จะประกันในเรื่องของราคาที่ดิน เพราะตอนนี้ธุรกิจที่เจอน้ำท่วม ต้องการทุนทรัพย์ การกู้เงินจากธนาคาร หลักทรัพย์ จะถูก declare มูลค่า จะลดลง อันนี้จะเป็นประเด็นที่จะตามมา เรื่องสินทรัพย์ที่โดนน้ำท่วมมูลค่า จะลด ต้องฝากไว้ด้วยว่ามันมีมุมมองในมิตินี้ด้วย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นิอร สิริมงคลเลิศกุล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ร่วมให้ข้อมูลในหัวข้อนี้ กล่าวว่า ตนไม่มีความรู้ด้านการสื่อสารและในช่วงที่ผ่านมาเป็นนักวิชาการที่ประสบภัย ประเด็นหารือ ประเด็นที่หนึ่ง เรื่องของการสื่อสาร ที่ผ่านมาเราพบว่าการสื่อสารในพื้นที่ไม่เป็น one message ที่เชื่อถือได้ จะมีไหมสักที่หนึ่ง เมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติ ทุกคนรู้เลยว่าต้องเป็นเพจนี้ที่เชื่อถือได้ เป็นสํานักข่าวนี้ และมีการเชื่อมต่อข้อมูลกับการสื่อสารของภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น จะต้องไม่มองเป็น Single หรือเป็น individual ซึ่งมาจากการที่เรามีโอกาสเชื่อมโยงแล้ว หนุนพลังให้ภาครัฐด้วย
แน่นอนว่าในสถานการณ์นี้เราได้เห็นข้อจํากัดหลาย ๆ อย่าง และสะท้อนให้เห็นแล้วว่า รัฐเพียงผู้เดียวไม่สารถจัดการในสถานการณ์นี้ได้เพียงลำพัง ต้องมีหลายองคาพยพ อย่างที่พี่กิตติกล่าวว่าภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ เข้ามาช่วยเสริมแต่ ตัดข้อต่อระหว่างพลังของภาคเอกชน พลังของซีเอสโอ CSO และพลังของรัฐ ที่มันควรจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ในมุมการสื่อสารเราขาดการแถลงการณ์ของทั้งสถานการณ์ การรายงานผลการปฏิบัติการ เช่น ณ วันนี้พื้นที่แม่สาย ได้มีการฟื้นฟูเป็นสีเขียวไปแล้ว ในระดับสีเขียวนั่น คือ พร้อมเข้าไปอยู่ ในอําเภอเมืองเป็นอย่างไร บ้านกะเหรี่ยงรวมมิตรเป็นอย่างไร ที่เกาะทรายเป็นอย่างไร ตรงนี้ไม่มีข้อมูลให้ได้เห็น หรือจุดไหนที่ยังต้องการช่วยเหลืออยู่ ประเด็นที่จะช่วยกันสื่อสารได้เลย เช่น ยังมีหลายบ้านที่ยังกลับเข้าบ้านไปไม่ได้
ก้าวต่อไป Next Step ของการสื่อสาร เราจะเป็นเรื่องอะไร ยังเป็นเรื่องสถานการณ์ที่มันอาจกลับมาอีกแล้ว หรือเราจะทําเพื่ออะไร เช่น กรณีที่อยากจะเสนอเป็นไปได้ไหมถ้าเราจะชวนกันมองเรื่อง อาสาเริ่มหมดแรง เพราะฉะนั้นคนเชียงราย ต้องลุกขึ้นมารับมือ คําว่าอาสาหมดแรง หมายถึง อาสาจากภายนอก เหลือการช่วยเหลือกันเองเฉพาะตัวของคนเชียงรายจริง ๆ แล้วยังขาดอะไร ยกตัวอย่างของมูลนิธิกระจกเงา พยายามที่จะดึงอาสาจากข้างนอกมาช่วยในพื้นที่ ตอนนี้เองอาสาเเริ่มล้ากันแล้ว พี่หนูหริ่งแมชชิ่งเชิญสายการบิน จัดแคมเปญบินไปเป็นอาสาล้างบ้านที่เชียงราย อีกมุมหนึ่งแน่นอนว่าเราเห็นจุดอ่อนของภาครัฐ แต่ยังมีภาครัฐบางกลุ่มที่ทํางานหนัก ตนมีโอกาสลงพื้นที่ของเกาะทรายมีแต่ทหาร พี่ๆ ทหารต้องเปลี่ยนผลัด 5 นาย ทหารใหม่ 5 นายต้องรับผิดชอบบ้าน 1 หลัง ให้เสร็จภายใน 3 วัน เหนื่อยมาก ยังไม่มีการสื่อสาร ในมีมิตินี้ เราน่าจะต้องสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อทํางานการสื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลง หากเรามีเป้าว่ามันต้องการเปลี่ยนแปลงก็ต้องเชื่อมต่อกับนโยบาย ทีมสื่อ ทีมภาควิชาการ ประชาสังคมจะไปเชื่อมต่ออย่างไรเพื่อขยายเรื่องราว ข้อเสนอในเชิงนโยบาย

รศ.ดร. ดิเรก ธีระภูธร รองอธิการบดี ฝ่ายสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยพะเยา ร่วมให้ข้อมูลในหัวข้อนี้ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยพะเยาที่เจอกับสถานการณ์น้ำท่วม 2 พื้นที่คือวิทยาเขตเชียงราย อยู่ริมกก และที่ศูนย์ฟื้นฟูผู้สูงอายุ 1 รอบ และพื้นที่หน้ามหาวิทยาลัยพะเยา จ.พะเยา ซึ่งมีความช่วยเหลือทางมหาวิทยาลัยนำโดยผู้บริการ ค่อนข้ฟางเซ็ตความช่วยหลือได้เร็ว ภายใน 1 ชั่วโมงสามารถเปิดศูนย์ประสานงานภัยพิบัติ หน้ามหาวิทยาลัยพะเยา ร่วมกับจิตอาสา กู้ภัยในพื้นที่เข้าช่วยเหลือนิสิตนักศึกษา บุคลากร ออกมาจากหอพัก พื้นที่ประสบภัยได้ประมาณ 485 คน จาก 31 หอพัก ที่ถูกน้ำท่วมชั้นล่าง ในช่วงนั้นมหาลัยมีการใช้โมเดลการสื่อสารโดยสื่อกราฟฟิกแบนเนอร์และเปิดสานให้โทรศัพท์เข้ามา ทั้งขอความช่วยเหลือ และผู้ปกครองโทรติดตามสถานการ์บุตรหลาน อย่างที่อาจารย์นิอรบอกว่า one message ที่เชื่อถือได้ มหาวิทยาลัยเราพยายามใช้โมเดลนั้นในการสื่อสารช่วยเหลือในมหาวิทยาลัย ซึ่งในอนาคตการขยายการทำงานหากจะสร้างเครือข่ายนักสื่อสารเครือข่ายการเตือนสาธารณภัยก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจในอนาคต
ประเด็นที่ 2 ซุปเปอร์พาวเวอร์ล้านนาหรือพลังอันยอดเยี่ยมของล้านนา


คุณวาสนา มาวงค์ นักประชาสัมพันธ์และตัวแทน ทีมงานยุทธศาสตร์ล้านนาสร้างสรรค์ สานต่อความงดงามแห่งล้านนา พัฒนาสู่ความร่วมสมัยในยุคปัจจุบัน ร่วมให้ข้อมูลในหัวข้อนี้ กล่าวว่า มหาลัยเชียงใหม่มีการขับเคลื่อนงาน Creative lanna ครีเอทีฟล้านนาหรือการพัฒนาชุมชน ลงไปช่วยในชุมชน สร้างขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ซึ่งมีหลายโครงการ แต่ยังมีการสื่อสารกันในวงแคบ ซึ่งทีมงานยุทธศาสตร์ล้านนาสร้างสรรค์ได้มีโอกาสทํางานร่วมกับ นักวิจัย หัวหน้าโครงการ เจ้าของโครงการ รวมไปถึงชุมชนที่มาร้องขอให้ทางล้านนาสร้างสรรค์ช่วยเข้าไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชน เพื่อต่อยอดหรือพัฒนากิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน โดยใช้ทุนวัฒนธรรมของชุมชนเอง ซึ่งมีกิจกรรมที่หลากหลาย ส่วนใหญ่ในการลงชุมชน ชาวบ้านไม่รู้จักคําว่าซอฟพาวเวอร์ จะทำอย่างไรให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อน จากกิจกรรมโครงการที่เราลงนําไปถ่ายทอด ทําอย่างไรให้ชุมชนได้รู้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาจุดนี้เพื่อจะต่อยอดไปสู่ซอฟพาวเวอร์ได้ด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างในพื้นที่การทำงานของทีมงานยุทธศาสตร์ล้านนาสร้างสรรค์ อย่างพื้นที่ย่านสันป่าข่อย จ.เชียงใหม่ ทีมวิจัยทํางานกับชุมชน เข้าไปต่อยอดเรื่องอาหาร ซึ่งสันป่าข่อยมีผู้ประกอบการที่ค่อนข้างมีแนวทางในการทำงานรุ่นสู่รุ่น อีกหนึ่งชุมชนเป็นชุมชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมคือชุมชนย่านวัดเกตุ ซึ่งทำในส่วนของโครงการอาหารฮาลาลยกระดับวัฒนธรรมารกินอาหารล้านนา ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีใครหยิบยกนำอาหารที่มีหลากหลายมิติ หลากหลายวัฒนธรรมที่อยู่ในย่าน มายกระดับและพัฒนาเศรษฐกิจ และยังมีอีกหลายโครงการ อาทิเช่น โครงการวัฒนธรรมอาหารฟื้นย่านชุมชนช้างม่อยพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พื้นที่มีอาหารและวัตถุดิบอยู่ในชุมชนแต่ไม่สามารถชูโรงออกมาได้ด้วยตัวคนในชุมชนเอง ด้วยคนในชุมชนเป็นคนเฒ่าคนแก่เราจึงนําเชฟคนรุ่นใหม่เข้าไปเสริมป้า ๆ ในชุมชน ซึ่งเป็นเชฟรุ่นใหม่ในท้องถิ่น นํามาต่อยอดและพัฒนาให้สามารถ มามูลค่าเป็นเชฟเทเบิล หรือแม้แต่การยกระดับในส่วนของซอฟต์พาวเวอร์ Soft Power : Lanna Localicious ชูสำรับวิถีชุมชน ทำอย่างไรให้อาหารที่เรากินทุกวันเป็นยารักษาร่างการเราไปในตัว เรามีอีกหลากหลายโครงการ นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างที่ทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ในแง่การสื่อสารเราพยายามจะสื่อสารออกไปผ่านศูนย์สื่อสารองค์กรและคู่ความร่วมมือแต่อยากจะให้ทางสื่อท้องถิ่นช่วยในการสื่อสารต่อเนื่องด้วย ที่ไม่ใช่แค่เพียงการนําผลงานการสร้างภาพลักษณ์ แต่เราอยากให้ข้อมูลคืนไปสู่ชุมชนด้วยว่าที่เราลงไปช่วยมันเป็นการพัฒนาเขาอย่างไร สื่อสารให้เขาได้เข้าใจว่า เราไม่ได้แค่ต้องการเอาเงินวิจัยไปลง หรือไปเพียงขับเคลื่อนในช่วงขณะ แต่อยากจะให้การที่เราสร้างมูลค่า หรือชูนวัฒนธรรมให้ชุมชนหรือเศรษฐกิจของชุมชน หรือเป็นการต่อยอดให้ชุมชน ไม่ว่าจะเป็นด้านวิถีชีวิต การท่องเที่ยว Gastronomy อาหาร ซึ่งอยากให้ชุมชนร่วมรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งกับการพัฒนางานไปด้วย อยากให้ต่อยอดไปเรื่อย ๆ โดยสื่อจะเป็นส่วนสําคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะนําข้อมูลออกมาเล่าให้เห็นเป็น Story ขยายในแง่ของการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนและขยายในแง่ของงานส่วนวิชาการที่ซัพพอร์ตชุมชน
งานที่สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและล้านนาสร้างสรรค์ มช. ร่วมกับเพจ Go2AskAnne และผู้ผลิตอิสระเชียงใหม่ ภายใต้โครงการ วัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่นล้านนาพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งเราเชื่อมโยงข้อมูลชุมชน ออกมาเป็นซีรีส์ LOST RECIPES พูดถึงเรื่องการฟื้นสูตรอาหารของชุมชน อาหารชาติพันธุ์รอบตัวเมือง จ.เชียงใหม่ ที่กําลังจะหายไป ฟื้นสูตรปรับปรุงสูตรให้สามารถเอามากินได้ และให้เป็นมาตรฐาน จากนั้นนําสูตรทั้งหมดที่เราเอา Chef’s ท้องถิ่นลงไปทํา มาสร้างเป็น Chef’s Table เล่าเรื่องราวของเมืองผ่านอาหารที่กำลังหายไป ซึ่ง Chef’s Table แต่ละคน จะเอาอาหารที่ตัวเองได้รับแรงบันดาลใจ ไปสร้างเมนูในโรงแรมของตัวเองเพื่อขายให้กับนักท่องเที่ยว เอาคอนเทนต์ไปกระจายที่โรงแรม นอกจากอดีตอาหารที่ครอบครัวทําให้กิน คือ สิ่งที่เรารักสายสัมพันธ์อาหารแต่ละจาน บอกเล่าเรื่องราวของการทำอาหารพ่อส่งต่อให้ลูก โลกที่เปลี่ยนไป ความรู้แห่งอาหารของแต่ละบ้าน ทําให้อาหารของรุ่นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ไม่กลายเป็นเพียงอาหารในความทรงจํา พาคุณเดินทางไปตามหาสูตรอาหารของคนรุ่นก่อนที่กําลังเลือนหายของชาติพันธุ์ในตัวเมืองเชียงใหม่

คุณ ละอองทิพย์ พรหมปาลิต กรรมการฝ่ายเศรษฐกิจสร้างสรรค์และเศรษฐกิจชุมชน สมาพันธ์ เอสเอ็มอีไทย จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมให้ข้อมูลในหัวข้อนี้ กล่าวว่า ในส่วนของสมาพันธ์เอสเอ็มอีจังหวัดเชียงใหม่ มีนโยบายที่จะขับเคลื่อนเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์และเศรษฐกิจชุมชน ในปี 2567-2568 วางโครงไอเดียในการโฟกัสไปในเรื่องของการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยมีวัฒนธรรมเข้ามาเป็นตัวเชื่อม ในการโฟกัสเป้าหมายของมุ่งผลไปในเรื่องของการขยายผลเชิงพาณิชย์เพราะจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการในด้านของสื่อหรือการประชาสัมพันธ์ ที่จะมีการนําเอาสินค้าและบริการ เข้ามามีบทบาทในงานในเชิงสร้างสรรค์ของเราได้ด้วย ซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่ทางสมาพันธ์ร่างโครงร่างขึ้นโครงการล้านนาลั้นลาแลนด์ เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนทั้งในแวดวงวิชาการและทางศูนย์ไทยพีบีเอส ภาคเหนือ และชวนกันมองเรื่องความเป็นไปได้ว่าสามารถที่จะขับเคลื่อนหรือขยับทำร่วมกันได้ในปีนี้ ปีหน้าอย่างไร
โครงการล้านนาลั้นลาแลนด์ เชื่อมโยงการท่องเที่ยวของเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจภาคเหนือไปยังเมืองท่องเที่ยวใกล้เคียง นำเรื่องการท่องเที่ยวเป็นจุดเดินเรื่องหลัก โดยขับเคลื่อนนโยบาย soft power ไปกับการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม จุดเริ่มต้นเรามองถึง travel payment ของปี 2024 เพราะช่วงนี้จะเป็นเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ที่เป็นเทรนและมาแรง กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ ดึงคนรุ่นใหม่ มาสู่บ้านเกิด มาพัฒนาบ้านเกิด เป็นกลุ่มที่จะให้ความสนใจให้ความสําคัญกับเรื่องของวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ชอบที่จะเรียนรู้กับชุมชน
โดยโครงการนี้อยากจะให้เกิดการบูรณาการเครือข่ายความร่วมมือ ทั้งในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ ส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษา ป่าชุมชน อยากจะให้กลุ่มเป้าหมายอย่างกลุ่มเจนซีเข้าสู่ระบบงานการค้า งานครีเอทีฟ สามารถที่จะเรียนรู้ร่วมกับชุมชนได้ เป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่เป็นทายาทของกลุ่มหัตถศิลป์หรือผู้ประกอบการโอทอป SME ที่ทํากันอยู่แล้ว ให้เข้าสู่ระบบมากขึ้น มุมของฝั่งเอกชน ที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านของการสื่อสารยุคใหม่ เข้ามาแบบร่วมสร้างสรรค์ ทําให้เกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นสู่ชุมชน ไม่เป็นการกระจุกตัวอยู่ในเมืองเกินไป ขยายออกรอบนอกทั้งเมืองหลักสู่เมืองรอง

รศ.ดร.ผณินทรา ธีรานนท์ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยพะเยา ร่วมให้ข้อมูลในหัวข้อนี้ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยพะเยา ใช้กระบวนการที่เรียกว่ากระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน มีการวัดประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อเป็นกระบวนการสร้าง soft power กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันและที่มีการวัดประเมินผล ใช้กลไกความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยพะเยากับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งเทศบาล อบจ. รวมถึงเอกชน ภาคชุมชน ประชาสังคม ทําให้เกิดโครงการที่เด่น ๆ เช่น โครงการแรกเป็นของ ดร.จารุวรรณ โปสยานนท์ ผู้ช่วยอธิการบดี โรงฝ้ายหลวง ซึ่งใช้กระบวนการเรียนรู้ ระหว่างมหาวิทยาลัยที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับชุมชน ในส่วนต้นน้ำ ส่งเสริมให้ชุมชนปลูกต้นไผ่หลวง กลางน้ำมหาลัยพะเยาถ่ายทอดเทคโนโลยีการออกลายผ้าที่ทอขึ้นจากฝ้าย สุดท้ายออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์เป็น Produce ของกระบวนการที่เราเรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์ ตอนนี้วางขายอยู่ที่วิสาหกิจชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้อีกแหล่งหนึ่งของชุมชน มีตลาดทุกวันพุธ ที่มหาวิทยาลัยพะเยาทําร่วมกับทางชุมชน
มหาวิทยาลัยยังมีส่วนในการที่จะนําฝ้าย ผ้าทอจากฝ้ายหลวง มาทําเป็นชุดพื้นเมืองของมหาวิทยาลัย เป็นเสื้อกั๊กที่ออกแบบ ผ่านกระบวนการวิจัย ใช้กันเองในมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะผู้บริหารจะใส่กันเป็นประจํา
อีกโครงการหนึ่ง Learning City เราทําเรื่องของกระบวนการเรียนรู้ การวัดประเมินผลที่มันไม่ได้อยู่ในห้องเรียน แต่เพียงอย่างเดียวเพื่อสร้างซอฟต์พาวเวอร์ เพราะฉะนั้นแล้วเราใช้กระบวนการเรียนรู้ภายใต้โครงการ Learning City ตอนนี้พะเยา เป็นหนึ่งใน 10 จังหวัดที่เป็นสมาชิกเมืองแห่งการเรียนรู้ ที่ได้รับการรับรองจากยูเนสโก
เราใช้กระบวนการเหล่านี้หมายถึงกระบวนการเรียนรู้ 4 กลไก คือ การกลไกความร่วมมือ ระหว่างมหาวิทยาลัยกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การสร้างแหล่งเรียนรู้ตามแหล่งชุมชน ผูกเข้ากับเครดิตแบงก์ของมหาวิทยาลัยพะเยา คนที่เข้ามาเรียนไม่ว่าจะเป็นใคร ที่ตามมาเรียนในแหล่งเรียนรู้ของชุมชนหรือว่าเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยพะเยา ภายใต้หลักสูตร non degree ของ UP ACADAMY สามารถที่จะได้รับใบประกาศนียบัตรจากมหาวิทยาลัยพะเยา การวัดผลประเมินผล ออกเป็นในรูปของการทําผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นในรูปแบบ BCG อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่นทําข้าว GI เรามีหีบห่อที่มันทําจากกาบไทย ที่ช่วยลดโลกร้อน เป็นตัวชี้วัดอันนึงในการเรียนรู้ของผู้เรียนที่มาเรียนรู้ตามแหล่งชุมชน
กลไกอันที่ 3 ที่เราใช้ในการสร้าง soft power ในพะเยา คือการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เด็กพิการคือเราได้รับทุนสนับสนุนจาก กศศ. และ บพท. ในการที่จะพัฒนาเด็กพิการ ผู้ปกครองให้เป็นผู้ประกอบการย่อย ๆ หรือว่าได้รับการจ้างงานอันนี้ แล้วแต่ความสามารถของน้อง ๆ กับครอบครัวแต่ละครอบครัว ทําให้เค้ามีความภาคภูมิใจในตัวเอง สามารถผลิต เช่น รองเท้าจากเศษผ้า แต่ว่าเค้าสามารถเอาเศษผ้ามาตัดปะโดยกาว ทางผู้ประกอบการร้านค้าเขารับซื้อ
กลไกที่ 4 เรามีการวัดประเมินผล เป็นกระบวนการหนึ่งในการทําซอฟต์พาวเวอร์ คือ ต้องมีการวัดประเมินผล คือรายได้ที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ทั้งหมด มีการวัดรายได้ด้วยและมีการวัด Carbon emission ตอนนี้พะเยานอกจากจะสร้างซอฟต์พาวเวอร์ ใช้กระบวนการซอฟต์พาวเวอร์ กระบวนการของ Learning City ในการที่จะสร้างคน สร้างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รักษ์โลก ยังดูถึงอิชชู่ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละปีของพื้นที่ด้วย ถ้าประเด็นปัญหาเป็นเรื่อง PM 2.5 จะมีการจัดเหมือนฟอรัมแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหาซึ่งกันและกัน ทีนี้ในเรื่องของน้ำท่วมชุมชนที่พะเยาเดือดร้อนค่อนข้างเยอะ พอดีเราไม่ได้ทําฟอร์ไซส์คิดว่าฟอร์ไซส์ จะเป็นอีกกระบวนการหนึ่งที่จําเป็นในการที่จะทํานายด้วยว่ามันจะเกิดภัยพิบัติอะไร ในอนาคตหรือเราต้องเตรียมตัวอย่างไร