เศรษฐกิจไม่ดี คือคำที่เราได้ยินกันทุกวัน ขณะเดียวกันไทยเป็นสังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ ในปี 2567 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ หรือมากกว่า 14 ล้านคน และมีแนวโน้มว่า ภายในปี 2580 ประชากรผู้สูงอายุไทยจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 นอกจากนี้ ผลสำรวจของสวนดุสิตโพล ช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 ในหัวข้อ “คนไทยกับการรับมือปัญหาเศรษฐกิจ” พบว่า คนไทยจำนวนมากรู้สึก “ไม่มั่นใจ” ต่อภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และใช้ชีวิตบนฐานการเงินที่เปราะบาง
นักข่าวพลเมืองลงพื้นที่พูดคุยกับผู้สูงอายุ หลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” ที่รัฐให้กับคนวัยเกษียณ ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต แม้ว่านั่นจะไม่ใช่แหล่งรายได้ทางเดียวของพวกเขาก็ตาม
การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย ปี 67 ของสํานักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า แหล่งรายได้หลักลำดับแรกของผู้สูงอายุมาจากลูก มากถึงร้อยละ 35.7 รองลงมาคือรายได้จากการทำงาน ร้อยละ 33.9 เบี้ยยังชีพจากทางราชการหรือเบี้ยชราภาพ ร้อยละ 13.3 เงินบำเหน็จหรือบำนาญ ร้อยละ 6.8 รายได้จากคู่สมรส ร้อยละ 5.6 ดอกเบี้ยจากเงินออมหรือการขายทรัพย์สิน ร้อยละ 1.6 และอื่นๆ เช่น รายได้จากกองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น ร้อยละ 1.4 ตามลำดับ

แม้มีโอกาสรับรายได้หลายทาง แต่ผู้สูงอายุหลายคนก็ยังต้องเผชิญกับภาวะรายจ่ายที่สูงกว่ารายรับ เพราะเกษียณแบบมีหนี้สิน และยังต้องกินต้องใช้ มีค่าใช้จ่ายพื้นฐานอย่างค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง ขณะที่บางคนยังมีค่าเช่าบ้านที่ต้องจ่าย
อีกภาระสำคัญที่แพงมากคือค่ารักษาพยาบาล ข้อมูลจากกรมกิจการผู้สูงอายุ ระบุว่าผู้สูงอายุเฉลี่ยจะมีค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลต่อการเข้าโรงพยาบาลหนึ่งครึ่ง อยู่ที่ 3 หมื่นกว่าบาท และจะสูงกว่าคนไม่สูงอายุอยู่ประมาณหมื่นกว่าบาท
อีกสถานการณ์ที่น่ากังวลของสังคมสูงวัยไทย คือ ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตัวคนเดียวซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ เพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า จากร้อยละ 3.6 ในปี 2537 เป็นร้อยละ 12.9 ในปี 2567

เหล่านี้คือความเสี่ยงในการเป็น “ผู้สูงวัยที่มีความเปราะบาง” ทั้งด้านสุขภาพ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม ยิ่งเมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา ก็จะกลายเป็นทั้งปัญหาสุขภาพและปัญหาทางการเงินไปพร้อมกัน ดังนั้นการดูแลโดยรัฐและโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Social Safety Net) จึงเป็นความหวังของประชาชนในสังคมสูงวัย
.
ความหวัง “บำนาญถ้วนหน้า” กับความเปราะบางของชีวิตสูงวัยไทย
คงเป็นคำถามสำคัญต่อไปว่า เราจะอยู่กันยังไงภายใต้สภาวะอ่อนแอและเปราะบางแบบนี้ ขณะที่การผลักดัน “บำนาญประชาชนถ้วนหน้า” ที่จะเป็นหลักประกันยามสูงวัย ในการช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ซึ่งล่าสุดร่างกฎหมายดังกล่าวถูกปัดตกไปแล้ว
สมชาย กระจ่างแสง เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ ผู้นำเสนอนโยบายปรับเบี้ยคนชราเป็นอัตราเดียวที่ 3,000 บาท แบบถ้วนหน้า และ ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ หรือ สส.กาย จากพรรคประชาชน ประธานกรรมาธิการสวัสดิการสังคม หนึ่งในผู้เสนอกฎหมายเพื่อการสร้างบำนาญประชาชน ร่วมพูดคุยในรายการ คุณเล่าเราขยาย ตอน “ปิดสวิตช์” บำนาญแห่งชาติ ชีวิตสูงวัยไทยจะเป็นยังไงต่อ? เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา บอกเล่าถึงสถานการณ์ “บำนาญถ้วนหน้า” ที่เป็นความหวังว่า เมื่อกฎหมายถูกปัดตก เราจะทำยังไงกันต่อ
“ตอนที่จดหมายไปถึงสำนักงานของเครือข่าย ตอนนั้นอารมณ์แรกที่เราสื่อสารไปถึงประชาชนทั่วไปคือเป็นเรื่องผิดหวัง ว่าทำไมรัฐบาลถึงไม่ให้ความสำคัญเรื่องนี้ เป็นรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยทำไมถึงไม่นำเรื่องนี้” สมชาย กระจ่างแสง เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ เล่าถึงความรู้สึกหลังได้รับหนังสือแจ้ง หลังนายกฯปัดตกร่าง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ ที่เสนอโดยภาคประชาชน
ในนามของเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ สมชาย เล่าว่า ร่างกฎหมายดังกล่าว ถูกปัดตกในชั้นนายกฯ แม้มีความคาดหวังว่า สส.500 ท่านที่ถูกเลือกมาจากทั่วประเทศจะได้ถกเถียงกัน เขาอยาเห็นภาพการถกเถียง ซึ่งเขาเองพร้อมจะปรับแก้บางเรื่องเพื่อนำไปสู่การเกิดบำนาญทั่วหน้า โดยมีความตั้งใจเดิมคือ อยากให้พี่น้องเครือข่ายทั่วประเทศเดินไปหา สส.ในพื้นที่ของเขา และแลกเปลี่ยน คุยกัน ถกเถียง กัน ก่อนที่ร่างกฎหมายจะเข้าไปที่สภา แต่ภาพประชาธิปไตยเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวถูกตีเป็นกฎหมายการเงิน และนายกฯเซ็น “ไม่รับรอง” พ.ร.บ. ดังกล่าว

“เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่าจะทำยังไงต่อ เราคงจะต้องสื่อสารและทำความเข้าใจมากขึ้นว่า การมีรัฐสวัสดิการ การมีบำนาญถ้วนหน้า มันต่างจากการมีการสงเคราะห์แบบไหนอย่างไร”
สมชาย กระจ่างแสง เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ
สมชาย มองว่าอย่างไรก็ตามในขั้นตอนทางกฎหมาย ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวคงเสนอต่อรัฐบาลเดิมไม่ได้เพราะถูกปัดตกไปแล้ว สิ่งที่ต้องเดินหน้าต่อคงเป็นการทำการบ้านกับพี่น้องไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้า และคงต้องทำการบ้านกับพี่น้องประชาชนว่าการกากบาท เลือกพรรคใดพรรคหนึ่งนั้นสำคัญต่อชีวิตเรามาก ต้องเลือกพรรคที่มีนโยบายที่จะทำเรื่องรัฐสวัสดิการ เรื่องบำนาญประชาชน “ต้องดูนโยบายดี ๆ แต่ขนาดดูแล้ว พอถึงเวลาก็ไม่ทำด้วยซ้ำไป” ความเห็น สมชาย
ดูแล้วสิ่งต่าง ๆ ที่สมชายพูดมานั้น ไม่ใช่แค่การสื่อสารว่า เรื่องบำนาญถ้วนหน้าสำคัญอย่างไร แต่ขณะเดียวกัน คงต้องกระตุ้นให้กระบวนการประชาธิปไตยนั้นเบ่งบานที่สุดไปพร้อมกันด้วย
.
“บำนาญถ้วนหน้า” ไร้เสียงค้าน แต่ร่างกฎหมายยังถูกปัดตก
นอกจากร่างกฎหมายฉบับประชาชนที่ถูกปัดตกแล้ว ก็ยังมีร่างที่เสนอโดยกรรมาธิการ ที่แม้จะมีคนจากหลายพรรคร่วมกันเสนอกฎหมาย แต่ พ.ร.บ.ดังกล่าวก็ยังไม่ได้ไปต่อ
ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.พรรคประชาชน ประธานกรรมาธิการสวัสดิการสังคม หนึ่งในผู้เสนอกฎหมาย กล่าวว่า ในฉบับของกรรมาธิการ เป็นร่าง พ.ร.บ. ที่ซอฟต์ที่สุด เพราะใส่ข้อเสนอไว้ให้อยู่ในเกณฑ์จ่ายที่ 1,200 บาท และมีจดหมายพ่วงท้ายเป็นรายงานของคณะกรรมธิการด้วย ที่ระบุว่าจะหาเงินจากแหล่งไหนบ้าง ที่จะเป็นรายรับเข้ามาเพื่อใช้จ่ายเป็นเบี้ยสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุ และที่สำคัญคือกฎหมายที่กรรมาธิการเสนอไปนั้น เป็นกฎหมายที่ร่วมกันทำ มี สส.จากเกือบทุกพรรคการเมือง ทั้งจากฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล มี สส.จากพรรคเพื่อไทย และจากพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเป็นพรรคเดียวกันกับรัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) อีกด้วย
“เชื่อไหมว่าทุกคนใน 15 คน ของคณะกรรมาธิการ มีความเห็นพ้องต้องกันว่านี่คือความต้องการของพี่น้องประชาชน และก็มีความเห็นพ้องกันว่า ณ ปัจจุบันนี้ เงินเบี้ยผู้สูงอายุมันไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว จึงเป็นที่ไปที่มาของการเสนอเข้าไปในสภา”
ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ หรือ สส.พรรคประชาชน ประธานกรรมาธิการสวัสดิการสังคม

เมื่อกฎหมายฉบับดังกล่าวเสนอเข้าไปในสภา ซึ่ง สส. 500 คน มีสิทธิ์ท้วงติงได้หมด แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวไม่ได้รับเสียงคัดค้านเลย “กฎหมายฉบับนี้เข้าไปเป็นรูปแบบของรายงาน ไม่มีเสียงคัดค้านเลยแม้แต่เสียงเดียว ไม่ว่าจะเป็นฝั่งรัฐบาล และฝั่งฝ่ายค้านเอง ทุกคนพร้อมสนับสนุน” สส.ณัฐชา กล่าว
เขาเล่าต่อถึงปัญหาที่ต้องเสนอร่างกฎหมายบำนาญว่า สิ่งแรกที่พูดเป็นเสียงเดียวกันคือ 1.เงินที่จ่ายให้ผู้สูงอายุอยู่ปัจจุบันไม่เพียงพอ ต้องควรปรับแก้ และ 2.ปรับแก้ไปแล้วจะแก้ไปอยู่ที่เท่าไหร่ นี่คือข้อแตกต่างกันของการเสนอร่างกฎหมาย เพราะบางพรรคอาจจะบอกว่า 3,000-4,000 บาท บางพรรคเสนอไปถึง 5,000 บางพรรคบอกว่า แค่ขึ้นมา 1,000 บาทก่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรจากข้อเสนอทั้งหมด ล้วนแล้ว แต่เห็นพ้องต้องกันว่าต้องปรับแล้ว เพราะนี่คือตัวเลขตัวเลขที่ไม่ได้ปรับมายาวนานมาก
“นี่คือสิ่งที่เราเสียใจว่า สส.500 คนนี้ที่ เป็นตัวแทนของประชากรทั้งประเทศแล้วนะ เพราะแต่ละคน กว่าจะได้มานี้ต้องมาจากเขตเลือกตั้งของของตัวเอง แล้วทุกคนเห็นพ้องต้องกัน หมายความว่าเสียงของประชาชนทั้งประเทศต้องการให้มีการปรับขึ้น แต่ทางท่านนายกฯ ปัดตกไปโดยที่ไม่มีอะไรมารองรับ ว่าสุดท้ายจะเพิ่มหรือลดหรืออย่างไร” สส.ณัฐชา พรรคประชาชน กล่าว
.
เปิดไทม์ไลน์ “บำนาญประชาชน” และกฎหมายที่ถูกปัดตก
ต้องยอมรับว่า สวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุของประเทศไทยยังมีอยู่ในระดับจำกัด และล่าสุดเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบำนาญแห่งชาติฉบับสุดท้าย คือ ร่าง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ ได้ถูกปัดตกไป
ทั้งนี้บำนาญพื้นฐานถ้วนหน้า ไม่ใช่เพิ่งขยับในปีรัฐบาลนี้ แต่ประชาชนพยายามขับเคลื่อนกันมา ไม่น้อยกว่า 15 ปี ซึ่งที่ผ่านมากฎหมายที่ถูกผลักดันจากการล่ารายชื่อของประชาชน ที่มีมาแล้ว 3 ฉบับ
ฉบับแรกในช่วงปี 2551-2552 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภาคประชาชนและนักวิชาการร่วมกันเสนอ ร่าง พ.ร.บ.บำนาญชราภาพ เพื่อยกระดับเบี้ยยังชีพ เป็นบำนาญถ้วนหน้า โดยรวมรายชื่อกว่า 10,000 ชื่อ ยื่นต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 แต่ต่อมาเมื่อรัฐบาลออก พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 และยุบสภาในวันที่ 10 พฤษภาคม ทำให้ร่างกฎหมายบำนาญชราภาพตกไป
ต่อมาในปี 2562 รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ภาคประชาชนยื่น 14,654 รายชื่อ เสนอ ร่าง พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ แต่สุดท้ายถูกปัดตกในปี 2564 ทำให้ไม่ได้เข้าสภา
ล่าสุด ปี 2566 ตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ก่อนมาถึงรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ทั้งภาคการเมือง และภาคประชาชน มีการยื่นร่างกฎหมาย 4 ฉบับได้แก่
ฉบับที่ 1 (ร่าง) พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติและสวัสดิการผู้สูงอายุ พ.ศ. … เสนอโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และคณะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวน 11,856 คน
ฉบับที่ 2 (ร่าง) พ.ร.บ.บำนาญพื้นฐานทั่วหน้าฯ เสนอโดย นายเซีย จำปาทอง ขณะดำรงตำแหน่ง สส.พรรคก้าวไกล
ฉบับที่ 3 (ร่าง) พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. … เสนอโดย นายณัชชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ขณะดำรงตำแหน่ง สส.พรรคก้าวไกล ซึ่งเสนอในนามกรรมาธิการสวัสดิการสังคม
ฉบับที่ 4 (ร่าง) พ.ร.บ. ผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ (ฉบับที่…) พ.ศ. …
เสนอโดยเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ (Welfare Watch Network) ด้วยการเข้าชื่อของประชาชนกว่า 43,826 รายชื่อ ซึ่งมากกว่าทุกครั้ง แต่นายกฯ ก็ไม่รับรองร่างอีกครั้ง ทำให้ร่าง พ.ร.บ.นี้ไม่ได้ไปต่อ

.
ทำไม่ร่างกฎหมายจึงถูกปัดตก และไม่ได้เข้าสภาสักที?
ในฐานะคนเคลื่อนกฎหมายบำนาญถ้วนหน้าภาคประชาชน ที่ทำงานอยู่ในเส้นทางนี้มาตลอด 15 ปี สมชาย กระจ่างแสง ตอบคำถามสำคัญที่ว่า เขาเห็นอะไรจากการที่กฎหมายถูกปัดตก และไม่ได้เข้าสภาสักที ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญมาก
“เห็นความตั้งใจของรัฐบาลแต่ละชุด ที่ยังไม่มีเจตนารมย์ที่จะทำเรื่องนี้” สมชาย ตอบคำถาม พร้อมอธิบายต่อว่านี่เป็นความตั้งใจและความต้องการที่ตรงข้ามกับประชาชน “ผมรณรงค์กับประชาชน เห็นพัฒนาการของประชาชนมากขึ้น ประชาชนมีความเข้าใจเรื่องรัฐสวัสดิการมากขึ้น กฎหมายแต่ละช่วงที่เราเสนอนี้มีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น จากครั้งแรก 10,000 กว่าคนที่ร่วมลงลายมือชื่อ มาครั้งสุดท้ายนี้ 40,000 กว่ารายชื่อที่อยากเห็นบำนาญพื้นฐานทั่วหน้า”
สมชายเล่าต่อว่า ครั้งแรกเครือข่ายประชาชนไปยื่นร่างกฎหมายกับคนที่เป็นคณะทำงาน ส่วนครั้งสุดท้ายมีประชาชนไปกันเยอะมากจนสภาขอจำกัดจำนวนคนเข้าโดยบอกว่ามีพื้นที่จำกัด แต่เครือข่ายประชาชนก็บอกว่าไม่ได้ และยืนยันจะขอเข้าไปด้วย ซึ่งอะไรแบบนี้ก็เป็นเรื่องยื้อกัน แต่ก็เป็นสีสันทางประชาธิปไตย คือมีพัฒนาการมากขึ้น
“ผมนำจดหมายที่ทางนายกฯ บอกไปทางสภาผู้แทนราษฎรว่า ไม่รับรองกฎหมายฉบับนี้ ผมได้รับปุ๊บผมก็โพสต์เฟซบุ๊ก จดหมายฉบับที่ผมโพสต์เฟซบุ๊ก เป็นเฟซบุ๊กส่วนตัวเล็ก ๆ ของผม กระจายไปทั่วประเทศ ไปอยู่ที่เพจนั้นเพจนี้ ว่าทีเรื่องแบบนี้ทำเรื่องแบบนั้นไม่ทำ ผมคิดว่าเป็นพัฒนาการที่ประชาชนเขาอยากเห็นและเขาเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นกับเรื่องการอยากให้มีบำนาญถ้วนหน้า” สมชาย กล่าว
.
รู้หรือไม่ “บำนาญถ้วนหน้า” ใช้เงินน้อยกว่าดิจิทัลวอลเล็ต 10 เท่า!
หากถามว่า “บำนาญถ้วนหน้า” นโยบายที่รัฐบาลปัดตกใช้งบประมาณมากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียกับงบที่ใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต สส.ณัฐชา ตอบทันทีว่า “ใช้เงินน้อยกว่าเยอะมากครับ” พร้อมอธิบายว่า เงินสนับสนุนผู้สูงอายุในตอนนี้ ปีหนึ่งใช้อยู่ประมาณ 9 หมื่นล้านบาท ถ้าเกิดเพิ่มเงินอย่างที่เคยได้ยินท่านนายกฯพูดก็คือเพิ่มมาอีก 100 ก็จะใช้เงิน 19,000 ล้าน ถึง 20,000 ล้าน แต่ถ้าเกิดปรับเป็น 1,000 บาทถ้วนหน้า ใช้แค่ 5 หมื่นล้าน ซึ่งน้อยกว่าดิจิทัลวอลเล็ต 10 เท่า
“คือเรื่องนี้มันตอบด้วยตัวมันเองว่า รัฐบาลมีความพยายามอยากทำนโยบายหนึ่งนโยบายใดแล้วสามารถทำได้ ยกตัวอย่างดิจิทัลวอลเล็ตมีเสียงค้านเยอะมาก สวนทางกันเลยกับสิ่งที่ประชาชนสนับสนุนเยอะมากเหมือนกันตอนนี้ แล้วก็ใช้เงินเยอะมากด้วย แต่รัฐบาลบอกจะทำให้ได้ เขาก็ทำ” สส.ณัฐชา จากพรรคประชาชน กล่าว
พร้อมกล่าวต่อเรื่องการพยายามขับเคลื่อนนโยบายว่า เรื่องเงินผู้สูงอายุ จะบอกว่าเป็นเรื่องที่รัฐไม่ได้หาเสียงไว้ก็ไม่ใช่ พรรคเพื่อไทยเองในขณะที่ทำงานเป็นพรรคฝ่ายค้านร่วมกันกับเขา ก็ร่วมขับเคลื่อนมาด้วยกัน ทังกับคุณสมชาย หรือกับเครือข่ายรัฐสวัสดิการเอง ก็ขับเคลื่อนไปด้วยกัน และเห็นพ้องต้องกันว่าต้องขยับเงินเป็น 3,000 นโยบายต่าง ๆ ก็ขับเคลื่อนด้วยว่าต้องขยับขับ
“ตอนเป็นพรรคฝ่ายค้านก็กระทุ้งรัฐบาลลุงตู่หลายรอบ บอกว่าต้องปรับ แต่ก็ไม่ได้ปรับ วันนี้เข้ามามีอำนาจเราก็บอกว่างั้นทำเรื่องนี้ด้วยกัน อย่างน้อยอยู่คนละฝั่งแต่สนับสนุนเรื่องที่ประชาชนต้องการ แล้วใช้เงินไม่ได้เยอะแยะเลย ปรับเป็น 1,000 บาทถ้วนหน้า ใช้เงิน 50,000 กว่าล้าน ผมเชื่อว่ารัฐบาลทำได้แน่นอน” สส.ณัฐชา พรรคประชาชน กล่าว
ทั้งนี้มีข่าวออกมาเรื่องการปรับอัตราจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่นายกฯเค้าออกมาบอกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็จะปรับขึ้น 100 บาท เป็นอัตราขั้นต่ำ ดังนี้
อายุ 60-69 ปี จากเดิม 600 บาท ปรับขึ้นเป็นเดือนละ 700 บาท
อายุ 70-79 ปี จากเดิมเดือนละ 700 บาท ปรับเป็นเดือนละ 850 บาท
อายุ 80-89 ปี จากเดิมเดือน 800 บาท ปรับเป็นเดือนละ 1,000 บาท
ตั้งแต่อายุ 90 ปีขึ้นไป จากเดิมได้เดือนละ 1,000 บาท ปรับเป็นเดือนละ 1,250 บาท
ซึ่งรัฐบาลคาดว่าจะเริ่มจ่ายในอัตรานี้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 หรือ ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป

.
ตุลาฯนี้อาจจะไม่ทัน! ขึ้นเงิน 100 เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
คำถามที่ต้องถาม สส.ณัฐชา ในฐานะประธานกรรมาธิการสวัสดิการสังคม คือ การขึ้นเงินดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่?
“วันนี้เริ่มได้ยินเสียงแว่ว ๆ ว่ามีข่าวร้ายกว่านั้นอีกว่า ตุลานี้อาจจะไม่ทัน นี่แหละเป็นประเด็นใหญ่”
สส.ณัฐชา เล่าต่อว่า ตัวเขาเองพอเห็นข่าวนี้ก็กล่าวชื่นชมรัฐบาลไปหลายครั้ง ซึ่งชื่นชมในที่นี้ไม่ได้ว่าพอใจมาก แต่อย่างน้อยได้ปรับขึ้น ได้มีเกณฑ์การขยับขึ้นมา ถึงแม้จะเป็น 100 บาท พร้อมเล่าให้ฟังถึงการลงพื้นที่ไปเจอกับประชาชนว่า “ผมบอกกับประชาชนว่า มีข่าวดีกับข่าวร้ายนะ ข่าวดีคือเงินผู้สูงอายุเราได้ขยับแล้ว แต่ข่าวร้ายคือขยับมาแค่ร้อยเดียว”
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังบอกว่า ต้องติดตามต่อในการประชุม ครม.ที่จะถึง เพราะเหลือแค่รอการยืนยันตัวเลขให้ สส.ทุกคนได้รู้รายละเอียด ว่าจะมีการปรับเพิ่มงบประมาณในส่วนของการจ่ายผู้สูงอายุหรือไม่ แต่จากที่ได้ดูอย่างไม่เป็นทางการ ก็ยังไม่พบตัวเลขที่จะขยับขึ้นมา เพราะอย่างน้อย ๆ งบจะต้องขยับราว 20,000 ล้าน ฉะนั้นตัวเลขที่จะขยับมาเป็นก้อนนี้เราสามารถเห็นมาเป็นตัวเลขได้ แต่ตอนนี้ยังหาไม่เจอ พอหาไม่เจอจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า ตุลาคมนี้ก็อาจจะไม่ทันหรือเปล่า
.
ถ้าบำนาญถ้วนหน้า 3,000 ต้องเกิด จะเอาเงินมาจากไหน?
“มีเงินแน่” สมชาย ยืนยันหนักแน่น “ร่างพระราชบัญญัติของเราสองร่างที่ผ่านมา เราไม่ได้ใส่เรื่องเงินเข้าไปว่าแหล่งที่มาของเงินจะมาจากไหน ส่วนร่างที่สามนี้เราคิดว่าเป็นร่างที่ดีมาก เราช่วยรัฐบาล แต่จริง ๆ ต้องเป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องหามานะ”
เขาอธิบายต่อว่า “เราช่วยเสนอว่าแหล่งที่มาของเงินประมาณ 400,000 กว่าล้านบาทในการจัดทำบำนาญถ้วนหน้าจะมาจากไหนบ้าง เราใส่เข้าไปในพระราชบัญญัติเลย และชี้ให้เห็นเลยว่า 13-14 แหล่งที่มาของเงินนี้เราสามารถมีเงินได้ ซึ่งหัวข้อมันคือการปฏิรูประบบภาษี”
สมชาย ยกตัวอย่างเรื่อง “ภาษีหุ้น” ว่าทุกวันนี้คนที่ได้กำไรในการซื้อขายภาษีหุ้น รัฐไม่ได้จัดเก็บภาษีพวกเขาเลย นอกจากนี้ยังมีการลงทุนบีโอไอ (BOI) ภาษีการลงทุนระหว่างประเทศ ที่ยกเว้นการลงทุนให้กับนักลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งถ้าเราเก็บเอาเข้ามากองทุนบำนาญ เขาก็จะยินดีอยู่แล้ว เพราะเขาเข้ามาลงทุนเขาก็มีกำไร
นอกจากนี้ยังมี “ภาษีมรดก” ที่ไทยเรามีกฎหมายแล้วแต่ ยังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายจัดเก็บได้จริง ส่วนนี้ก็สามารถจัดเก็บได้
นอกจากนี้ยังมีการยกเว้นภาษี หรือที่มีแน่ ๆ อยู่แล้วคือภาษีสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่รัฐบาลมีส่วนแบ่งจากตรงนี้ ก็สามารถนำเอาเข้ามาทำงานเรื่องบำนาญได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สมชายบอกว่า ได้ชี้แจงเข้าไปในกฎหมายทั้งหมดแล้ว
“ผมเพิ่มเติมนิดหนึ่ง เรื่องบำนาญ ไม่ใช่เรื่องต่อรองกันทางตัวเลขเหมือนเราไปตลาดนะ ว่าโอเคถ้างั้น เราปัดตกบำนาญคุณ แต่ว่าคุณเอาไปอีก 100 ก็แล้วกัน มันไม่ใช่นะ เพราะหลักการบำนาญ เราอยากเป็นตาข่ายรองรับคนในสังคมเอาไว้เมื่อสูงวัย ตอนนี้เรายังทำงานได้แต่เมื่อเราสูงวัย การทำงานและเงินเราจะลดน้อยลง” สมชายบอกต่อว่า 3 แหล่งที่มาของรายได้ผู้สูงอายุ มาจากลูกหลาน การทำงาน และเบี้ยยังชีพ ซึ่งเบี้ยยังชีพนี้มันไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ถึงได้มีหลักการเปลี่ยนเบี้ยยังชีพให้เป็นบำนาญถ้วนหน้า
“หลักการของมันคือจะต้องถ้วนหน้าให้ทุกคน อันที่สองคือสำคัญต้องเพียงพอต่อการดำรงชีพ 600 บาทนี้มันไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ เราถึงได้อยากจะเปลี่ยนเบี้ยยังชีพให้เป็นบำนาญ เพราะถ้าเราเฉลี่ย 600 บาท มันแค่วันละ 20 บาท เท่านั้นเอง คุณให้มาอีก 100 นี้ แปลว่าอะไร วันละ 20 กว่าบาท คือมันไม่ใช่เรื่องการต่อรองกันเรื่องตัวเลข แต่มันคือหลักการที่ว่าอยากจะช่วยคนอยากจะเป็นตาข่ายรองรับคนเมื่อสูงวัย” สมชาย เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ กล่าว
.
สูงวัยไร้หลังประกัน ส่งต่อความยากลำบาก จากรุ่น(พ่อแม่) สู่รุ่น(ลูก-หลาน)
“ลูกหลานเขาให้(เงิน)จริง แต่ว่าลูกหลานเขาก็มีความยากลำบาก” สมชายเริ่มเล่า พร้อมชี้ให้เห็นถึงวงจรชีวิตที่วนซ้ำของผู้คนในสังคมไทยที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
สำหรับผู้สูงอายุหลายคน รายได้หลักที่พอจะพึ่งพาได้คือเงินจากลูกหลาน แต่ในความเป็นจริง ลูกหลานเองก็มักอยู่ในภาวะทางเศรษฐกิจที่ยากลำบาก ไม่สามารถส่งเสียพ่อแม่ได้เต็มที่ และเมื่อถึงวันที่พวกเขาแก่ตัวลง ก็ต้องเผชิญชะตากรรมไม่ต่างกัน กลายเป็นผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยเช่นเดียวกับพ่อแม่ของพวกเขา
“เมื่อเขามีลูกก็อาจจะมีกำลังที่ส่งลูกให้เรียนจนถึงจบปริญญาตรีได้น้อยลง” สมชาย อธิบายต่อว่า ตัวเลขสถิติยืนยันชัดเจนว่า ความสามารถในการลงทุนด้านการศึกษาให้ลูกนั้นขึ้นอยู่กับฐานรายได้ของครอบครัว คนที่มีรายได้สูงย่อมมีโอกาสส่งลูกเรียนจนถึงระดับปริญญามากกว่าคนรายได้น้อยอย่างมีนัยสำคัญ และความแตกต่างนั้นก็ขยายช่องว่างทางโอกาสระหว่างรุ่นให้กว้างขึ้น
ทั้งนี้เงินเพียงอย่างเดียวคงไม่ใช่คำตอบทั้งหมด แต่สิ่งที่สังคมควรมีก็คือ “ตาข่ายรองรับทางสังคม” ที่แข็งแรงและครอบคลุม ซึ่งสมชายเสนอแนวทางในกรณีที่ ถ้าในตอนนี้รัฐไม่มีเงินเพียงพอในการทำว่า ถ้าเงินยังไม่ได้ ก็ต้องเริ่มที่ระบบบำนาญก่อน ควรมีการปรับเพิ่มเงินบำนาญให้สูงกว่าเส้นความยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความยากจนด้านอาหาร ซึ่งอาจอยู่ที่ระดับประมาณ 1,700 บาทต่อเดือน
“ทุกวันจะกินเข้าไปยังไม่พอ ไปบังคับให้คนออมอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ ก็ต้องวางรากฐานการเรื่องบำนาญนี่แหละ ส่วนเรื่องอื่น ๆ เรื่องสาธารณสุข เรื่องของบ้านพักของผู้สูงอายุที่ต้องการคนดูแล อะไรพวกนี้ก็ต้องตามมา ทั้งนี้ทั้งนั้นผมคิดว่าเรื่องรายได้ของผู้สูงอายุเป็นเรื่องหลัก ที่ควรจะต้องจัดทำก่อน” สมชายเน้นย้ำ แม้จะมีการส่งเสริมการออมแห่งชาติเพื่อรองรับวัยเกษียณ แต่ก็ไม่สามารถตอบโจทย์คนที่รายได้ยังไม่พอใช้ในแต่ละวันได้
.
แม้มี พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการทำ “บำนาญถ้วนหน้า“
สส.ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ในฐานะหนึ่งในผู้เสนอกฎหมายเพื่อการสร้างบำนาญประชาชน กล่าวว่า วันนี้ในกฎหมายต่าง ๆ ที่ออกมาดูแลผู้สูงอายุ เราเห็นแล้วว่ามันไม่ครอบคลุม เราก็เลยบอกว่า ณ วันนี้ตั้งแต่ปี 2548 จนมาถึงปัจจุบัน ประเทศไทยจะได้ยินคำว่า “เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์” แต่เรากลับไม่เห็นการกระทำที่ชัดเจนในรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งว่า จะมีแผนการรับมือสังคมผู้สูงอายุอย่างไร
“เรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีประชากร 60 ปี 63,000,000 คนปีนี้ ในอีก 1-2 ปีข้างหน้านี้ เราจะมีประชากรผู้สูงอายุ หนึ่งในสี่ของคนทั้งหมด คือเดินไปเจอคนสี่คน หนึ่งคนต้องเป็นผู้สูงอายุแล้ว ดังนั้นเราต้องมาตั้งรับดี ๆ ว่า แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ยังไง” สส.ณัฐชา กล่าวต่อว่า เราอย่ามองว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจคือการอัดฉีดเม็ดเงินไปในภาคอุตสาหกรรม อัดฉีดเม็ดเงินไปในภาคแรงงานหรืออะไรต่าง ๆอย่างเดียว เราลองปรับวิธีการดูว่าการจ่ายเงินบำนาญให้กับผู้สูงอายุ เช่นตายายได้คนละ 3,000 บาท สองคนรวมเป็น 6,000 บาทต่อเดือน แน่นอนว่าคนช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตนี้ เขาต้องเอาไปช่วยใช้จ่ายลูกหลานต่าง ๆ
เขายกตัวอย่างต่อว่า เมื่อพ่อแม่ปู่ย่าตายายมีเงินเดือนของตนเองที่เพียงพอแล้ว เขาก็ไม่ต้องไปขอรับจากลูกหลาน ถ้าลูกหลานแต่ละคนได้เงินเดือน 15,000 บาท เคยส่งให้ปู่ย่าตายายหรือส่งให้พ่อแม่เดือนละ 2,000-3,000 หรือ 5,000 บาทก็แล้วแต่ เมื่อเขาไม่ต้องส่งเงินตรงนี้ นั่นหมายความว่าแรงงานจะมีอิสระมากขึ้น เงินเดือนที่ได้มาเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็เอาไปเพิ่มพูนความรู้ เอาไปฝึกทักษะ เพื่อเลื่อนวิทยฐานะ เลื่อนขั้นเงินเดือนของเขา
“เป็นกลไกที่จะทำให้บุคลากรในวัยแรงงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วก็ไม่ต้องคอยพะวงด้านหลังว่า ส่งเงินพ่อแม่หรือยัง ส่งไปจะเพียงพอไหม หรือแม้กระทั่งพ่อแม่บางคนที่พอมีกำลังหน่อย ได้สองคน 6,000 บาท อย่างน้อยเขาก็ต้องเอาจับจ่ายใช้สอยให้ลูกหลาน ช่วยเหลือนู่นนี่นั่น มันก็เป็นวงล้อเศรษฐกิจที่หมุนอีกหลายด้านมาก หลายรอบมาก กว่าจะใช้หมด” สส.ณัฐชา อธิบายให้ได้เห็นภาพ
เขาเล่าต่อว่า เรื่องนี้มองให้เป็นนโยบายเศรษฐกิจก็ได้ วันนี้ถ้าเกิดรัฐบาลทำ 5 แสนล้านบาทสำหรับดิจิทัลวอลเล็ต แล้วบอกว่าจะจ่ายตูมเดียวเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจแล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ วันนี้กลับกัน ถ้ารัฐเอา 5 แสนล้านเหมือนกัน จ่าย 3,000 บาทให้กับผู้สูงอายุ 13 ล้านคน แน่นอนว่าเป็น 13 ล้านคนของทุกครอบครัวแน่ ๆ ทุกครอบครัวมีเด็กหรือเปล่าไม่รู้ มีลูกหรือเปล่าไม่ทราบ แต่มีผู้สูงอายุแน่ ๆ
ทั้งนี้ สส.ณัฐชา อธิบายต่อว่าทุกครอบครัวมีผู้สูงอายุ นั่นหมายความว่าเงิน 5 แสนล้านบาทที่จ่ายไปใน 13 ล้านคน กระจายไปยังทุกครอบครัว และช่วยเหลือทุกครัวเรือนแน่ ๆ นี่จะเป็นวงล้อทางเศรษฐกิจที่ว่า 5 แสนล้านบาทที่อัดฉีดเข้าไปนี้ ในปีนี้ลองดูว่ามันสามารถขยับจีดีพี (GDP) ขึ้นมาเท่าไหร่ สามารถเกิดการหมุนทางเศรษฐกิจได้เท่าไหร่ ส่วนปีหน้าค่อยว่ากันใหม่
“ทำแบบนี้ได้เลย คุณจินตนาการคุณมองไปเลยว่า เงินที่ให้กับผู้สูงอายุเนี่ย เป็นด้านเศรษฐกิจที่คุณต้องการที่จะมาลงทุน ต้องการที่จะมาอัดฉีดขึ้นไป วันนี้ลงทุนกับเมกะโปรเจคต่าง ๆ นา ๆ เยอะแยะมากมาย นี่คือเมกกะโปรเจคชีวิต เพราะจ่ายไปแล้วคือเราส่งเสริมชีวิต” สส.พรรคประชาชน กล่าวท้าไปยังรัฐบาล
.
กลไกรัฐสภาทำ “บำนาญถ้วนหน้า” ติดขัด หรือต้องแก้ที่รัฐธรรมนูญ
สมชาย มองว่า ถ้าจะผลักเรื่องนี้ต่อ คงต้องเป็นองคาพยพที่ไปด้วยกัน “ผมเริ่มต้นตั้งแต่รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทของประเทศอันนี้ ผมคิดว่าจำเป็นต้องแก้ รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ”
เขาอธิบายว่า ในหมวดที่เกี่ยวกับสวัสดิการผู้สูงอายุก็เขียนว่า รัฐต้องมีหน้าที่ในการอุดหนุนผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ยากไร้ ซึ่งการเขียนไว้ในลักษณะนี้มันก็จะบ่งบอกถึงหน้าตาของรัฐบาล ที่รัฐบาลก็จะทำงานแบบสงเคราะห์ เช่น ให้เงิน 600-700 เด็กเล็กเอา 600 เฉพาะครอบครัวที่ยากจน เพราะรัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้ตรงนี้หลายเรื่อง รวมถึงเรื่องสุขภาพด้วยนะ เพียงแต่ว่าสุขภาพมันก้าวหน้าไปไกลแล้ว หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามันทำเสร็จก่อนที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเขียน เพราะฉะนั้นก็ไปยกเลิกไม่ได้ ก็เป็นแบบถ้วนหน้าทุกคน ใน 30 บาทรักษาทุกโรคอะไรแบบนี้
สมชาย ย้ำว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญก่อน พอแก้รัฐธรรมนูญเสร็จ การรณรงค์เรื่องของการเลือกตั้ง เรื่องของการคุยกับพรรคการเมือง คุยกับ สส.ให้กับประชาชนฟังก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะมีผลต่อการเลือกตั้ง มันจะเป็นการวัดกันระหว่างว่าจะเลือกพรรคที่ให้สวัสดิการกับประชาชน หรือจะเลือกพรรคที่ออกมาในลักษณะหน้าตาแบบไหน
“เราอยู่ในวังวนคนที่ใช่พรรคที่ชอบอะไรอย่างนี้มานานแล้วโดยไม่ได้วิเคราะห์เรื่องของตัวนโยบายอย่างจริงจัง แม้หลัง ๆ นี้นโยบายจะดีขึ้น เพียงแต่อาจจะโกหกกันหรืออย่างไร ซึ่งเราก็ต้องจำ แล้วก็ต้องไม่เลือกนะ อันนี้ผมพูดในฐานะของประชาชน” สมชาย กล่าว
.
เราจะแก่ไปอย่างไร? ในภาวะที่รัฐปัดตกเจตจำนงแห่ง “บำนาญถ้วนหน้า”
สำหรับคำถามนี้ สมชาย ตอบทันทีว่า เขาจะแก่แบบไม่ยากจนคนเดียว เพราะถ้าไม่มีรัฐสวัสดิการ ลูกของเขาก็จะส่งต่อความยากจนความยากลำบากนี้ไปที่หลานของเขาอีกทีหนึ่ง ซึ่งนี้ไม่ใช่เฉพาะครอบครัวของเขาแต่เป็นครอบครัวจำนวนมาก อาจจะซัก 90% ที่เป็นคนจนในสังคมไทย ที่จะส่งต่อความยากจนไปถึงกัน เพราะทุกคนต่างปากกัดตีนถีบ และใช้ระบบที่ว่า “เราก็สู้ ถ้าสู้ไม่ได้ เดี๋ยวรัฐบาลก็ช่วยสงเคราะห์” และเราก็จะอยู่ในวังวนแบบนี้ แล้วเราก็จะส่งต่อความยากจนให้กันไปเรื่อย ๆ

“ผมจะส่งต่อความยากจนนี้ไปให้ลูกหลานของผม ไปให้ลูกผมต่อ และลูกของผมก็จะมีวงเวียนคล้าย ๆ ผม”
สมชาย กระจ่างแสง เครือข่ายประชาชน
เพื่อรัฐสวัสดิการ
ด้าน สส.ณัฐชา ตอบคำถามดังกล่าวว่า นี่สังคมที่แก่ก่อนรวย คือสังคมผู้สูงอายุนี้มันเกิดขึ้นพร้อมกันในหลาย ๆ ประเทศ แต่ในหลายประเทศนี้ เขามีแผนการรับมือ มีแผนการรองรับ แล้วก็มีวิธีการเข้าไปช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุอย่างเป็นรูปแบบ แต่ของไทยเราปล่อยแบบตามมีตามเกิด แล้วสุดท้ายก็เกิดสังคมแบบแก่ก่อนรวย เรียกว่าประมาณร้อยละ 70-80 เลย คือสูงอายุไปแล้วแต่ยังไม่สามารถมีทุนสำรองในการเลี้ยงชีพได้
เขาสรุปช่วงท้ายว่า ฉะนั้นวันนี้เราต้องดูแลผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของที่อยู่อาศัย เพราะวันนี้เรามีผู้สูงอายุที่ที่อยู่คนเดียวเพิ่มขึ้นตลอด และสิ่งนี้น่าเป็นห่วงมาก
“รัฐทำอะไรอยู่ รัฐมีการออกกฏหมายเช่น เรื่องของการจ้างผู้สูงอายุเพิ่มเติมไหม ที่จะเป็นแหล่งรายได้ให้กับเขา ถ้าเกิดรัฐไม่มีให้ แล้วรัฐจะไปดูแลผู้สูงอายุยังไง ในเมื่อรัฐไม่มีให้ แล้วเขาจะทำได้ยังไง”
ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.พรรคประชาชน ประธานกรรมาธิการสวัสดิการสังคม

เรียกได้ว่านี้ยังเป็นโจทย์ที่ยากและท้าทาย และเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องคุยกันต่อเพื่อผลักดันเจตจำนงของรัฐบาล บนโจทย์ทั้งหมดคือบำนาญถ้วนหน้าต้องเกิด และเป็นเจตจำนงของประชาชนจำนวนมาก
หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์จากรายการคุณเล่าเราขยาย ตอน “ปิดสวิตช์” บำนาญแห่งชาติ ชีวิตสูงวัยไทยจะเป็นยังไงต่อ?ออกอากาศ 16 พฤษภาคม 2568 เวลา 17.30-18.00 น. ทางไทยพีบีเอส
.
ชมย้อนหลัง
– https://www.thaipbs.or.th/program/KhunLao/episodes/108274
– https://www.youtube.com/live/HhbLBs6CO88?si=jRd5IaKnrY3CpcmF