“ซับคอนแทรกต์” ความซับซ้อนใต้วิกฤต “ตึก สตง.ถล่ม” ที่ต้องเร่งเยียวยาแรงงาน

จากกรณีตึกในโครงการก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ถล่ม จากแรงสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งนี้ความคืบหน้าล่าสุดที่อาคาร สตง. เขตจตุจักร วันที่ 17 เม.ย. เวลา 10.00 น. มีผู้ประสบภัย 103 ราย เสียชีวิต 44 ราย บาดเจ็บ 9 ราย และยังติดค้างในอาคารอีก 50 ราย

ถึงวันนี้ทีมกู้ภัยยังคงทำงานต่อเนื่อง แบ็กโฮเดินเครื่องเคลียร์พื้นที่ค้นหาผู้สูญหาย ขณะที่โดยรอบที่เกิดเหตุยังเต็มไปด้วยแรงงานผู้รอดชีวิต รวมถึงญาติที่เดินทางมาปักหลัก รอคอยการพบเจอผู้สูญหายที่ยังติดค้างอยู่ใต้ซากอาคาร ทั้งนี้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมาว่า สามารถลดความสูงของเศษซากตึก สตง. ถล่ม ลงเหลือ 20.5 เมตร จากเดิม 26 เมตร โดยตั้งเป้ารื้อซากตึกทั้งหมดเสร็จสิ้นปลายเดือนนี้

ในส่วนการเยียวยาจากภาครัฐ กระทรวงมหาดไทยได้อนุมัติงบประมาณค่าจัดการศพ รายละ 100,000 บาท โดยไม่ต้องพิจารณาว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวหรือผู้หารายได้หลัก โดยจะเริ่มจ่ายรอบแรกในวันที่ 18 เมษายน ขณะเดียวกัน กระบวนการสอบสวนเพื่อหาสาเหตุของเหตุการณ์ตึกถล่มยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

ความสับสนของการยื่นเอกสาร เป็นสิ่งที่ญาติของแรงงานผู้เสียชีวิตและสูญหายต้องเผชิญ ทั้งขั้นตอนการดำเนินคดี การติดต่อรับศพ หรือการเยียวยา สาเหตุหนึ่งเกิดจากไม่มีศูนย์ประสานงานกลางที่ชัดเจน แม้มีหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งเต็นท์ขึ้นมาช่วยเหลือ แต่ความไม่ชัดเจนของขั้นตอน ทำให้ต้องเดินทางไปติดต่อขอเอกสารหลายที่

อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG)

อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) เล่าถึงสถานการณ์ของแรงงานผู้รอดชีวิต ที่กำลังสับสนกับขั้นตอนการติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ เขาอธิบายว่า ถ้าระบบประสานงานไม่ชัดเจน คนงานก็เสียเวลา ต้องติดต่อเอาเอกสารจุดนี้ ไปต่ออีกจุดหนึ่ง แล้วติดต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้ได้รับการเยียวยาล่าช้า และยิ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับเขา

นอกจากนี้ แรงงานยังต้องเจอกับความไม่มั่นคงในการจ้างงาน เพราะเป็นกลุ่มลูกจ้างของผู้ประกอบการรายย่อย หรือเป็นลูกจ้างเหมาบริการ ก็เกิดความไม่มั่นใจว่าตัวเองจะมีงานทำต่อหรือไม่ อีกทั้งยังมีแรงงานบางกลุ่มยังไม่ได้เงินค่าจ้างค้างจ่าย และไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไหร่ในช่วงระยะเวลาที่รอคอยความชัดเจน นี่เป็นอีกปัจจัยที่สร้างความเครียดให้กับแรงงาน

“แรงงานหลายคนอยากเปลี่ยนลักษณะงานจากที่เคยทำงานบนตึกสูง เพราะพอเจอเหตุการณ์ตึกถล่มก็ทำให้มีความกลัวในลักษณะการทำงาน ปัญหาเหล่านี้คือสิ่งที่เราเจอในหน้างาน” อดิศร กล่าว

“ซับคอนแทรกต์” ซับซ้อน ระบบจ้างงานที่ยากต่อการเยียวยา

อดิศร เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์แรงงานหลังลงสำรวจพื้นที่ ปัญหาหนึ่งที่พบคือบริษัทใหญ่ที่รับเหมายังค้างจ่ายค่าจ้างให้กับผู้รับเหมารายย่อย ทำให้ไม่มีการจ่ายเงินลูกจ้าง เกิดความเดือดร้อนส่งต่อกันเป็นทอด ๆ

เขาอธิบายลักษณะการจ้างงานแบบ “ซับคอนแทรกต์” ว่า เป็นระบบที่ บริษัทใหญ่จ้างผู้รับเหมาชั้นแรก และผู้รับเหมาชั้นแรกก็ไปจ้างผู้รับเหมาชั้นที่สองต่อ ส่วนผู้รับเหมาชั้นที่สองก็จ้างแรงงานซับลงไปลงไปอีกเป็นชั้น ๆ ซึ่งในการจ่ายค่าจ้าง เมื่อไม่จ่ายตั้งแต่ชั้นแรกก็ส่งผลกระทบการจ้างงานลำดับต่อไปเรื่อย ๆ และเกิดปัญหาตามมา ซึ่งปัจจัยหนึ่งเกิดจากโครงสร้างของระบบการจ้างงานด้วย

อีกปัญหาที่พบคือ มีลูกจ้างบางคนไม่มีชื่อปรากฏในระบบฐานข้อมูล ซึ่งปกติแล้วระบบการก่อสร้างขนาดใหญ่ จะต้องมีการเช็คชื่อเพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัย และการดูแลควบคุมพื้นที่ โดยแต่ละบริษัทจะมีระบบที่ต่างกันออกไป เช่น ใช้ระบบตอกบัตรเข้าทำงาน หรือ ระบบสแกนนิ้วมือ ดังนั้นการจ้างงานระบบซับคอนแทรกต์ อาจทำให้นายจ้างซับสุดท้ายไม่ได้ส่งชื่อให้กับคนที่ดูแลหลัก จึงมีการประเมินกันว่า อาจมีจำนวนผู้สูญหายที่ติดอยู่ใต้ตึก สตง. มากกว่าข้อมูลที่มีอยู่

กระบวนการเยียวยาแรงงานข้ามชาติสะดุด ปมตรวจอัตลักษณ์ต้องใช้ญาติสายตรง

ปัจจุบันกระบวนการเยียวยายังคงเผชิญอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะการยืนยันอัตลักษณ์ผู้เสียชีวิต ซึ่งตามระเบียบต้องใช้ดีเอ็นเอของญาติสายตรง เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง หรือบุตรเท่านั้น ขณะที่แรงงานจำนวนมากไม่มีญาติสายตรงอยู่ในประเทศไทย ทำให้ต้องรอการเดินทางของญาติจากประเทศต้นทาง ก็ยิ่งทำให้กระบวนการล่าช้าออกไป

ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) เสนอทางออกว่า ควรจัดทำบัญชีรายชื่อแรงงานให้ชัดเจน และพิจารณาทางเลือกในการยืนยันอัตลักษณ์อื่น เช่น การประเมินความสัมพันธ์แบบสามีภรรยาแทน แต่กระบวนการปัจจุบันมีข้อจำกัดอยู่ที่แรงงานส่วนใหญ่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสทำให้ไม่สามารถใช้หลักฐานทางราชการประกอบได้ จึงจำเป็นต้องมีการรับรองจากสถานทูตในประเทศต้นทาง 

ทั้งหมดสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างระบบประสานงานที่ชัดเจนระหว่างหลายหน่วยงาน เพื่อให้กระบวนการช่วยเหลือและเยียวยาเป็นไปอย่างทันท่วงที

“ตอนนี้มีแรงงานข้ามชาติที่เสียชีวิต 3 ราย มีเพียง 1 รายที่มีญาติในไทย ส่วนอีก 2 รายยังต้องรอญาติจากพม่าเดินทางมา ซึ่งกระทบต่อการรับศพ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และการยื่นขอรับเงินเยียวยา” อดิศร ให้ข้อมูลจากการลงพื้นที่ช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา

ขณะที่ความคืบหน้าวันที่ 15 เม.ย. ในการพิสูจน์อัตลักษณ์ร่างผู้เสียชีวิตใต้ซากอาคาร สตง. รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า จากรายชื่อแรงงาน 103 คนของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ขณะนี้มีญาติมาตรวจ DNA แล้ว 91 ราย โดยบางรายยังขาดข้อมูล จึงได้ประสานให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานลงพื้นที่ชายแดนเพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติม

ขณะที่การจ่ายเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพ รายละ 100,000 บาท จะเริ่มในวันที่ 18 เม.ย. ที่กระทรวงมหาดไทย ทาง กทม. จึงต้องเร่งออกเอกสารรับรองผู้เสียชีวิต โดยขณะนี้รับรองแล้ว 15 ราย และคาดว่าจำนวนของผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นอีก

“กลุ่มนายจ้าง” แสดงความห่วงใย เรียกร้องตั้ง “ศูนย์กลางประสานงาน”

หลังเหตุตึก สตง. ถล่มครั้งนี้ นอกจากแรงงานแล้ว นายจ้างก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่ได้รับผลกระทบจากความไม่ชัดเจนของระบบการการแจ้งข้อมูล เพราะหลังเกิดเหตุ นายจ้างซึ่งบางคนก็เพิ่งรอดตายจากเหตุตึกถล่ม สภาพจิตใจที่ยังไม่ดีนัก แต่ก็ต้องเดินทางไปตามหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อแจ้งข้อมูลของลูกจ้างที่บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหาย ทำให้เกิดการห่วงหน้าพะวงหลัง

นิลุบล พงษ์พยอม ตัวแทนผู้ประกอบการกลุ่มนายจ้างสีขาว เสนอว่า รัฐควรตั้งศูนย์กลางเพื่อการประสานงานเยียวยาอย่างเร่งด่วน โดยเสนอให้กระทรวงแรงงานซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรง เป็นเจ้าภาพในการจัดตั้งศูนย์กลางประสานงานแบบวันสต็อปเซอร์วิส (One Stop Service) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานประกันสังคม กรมสุขภาพจิต สถาบันนิติเวช และภาคเอกชน ร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้ วันนี้ 10 เม.ย. 68 ที่ผ่านมา กลุ่มนายจ้างสีขาว พร้อมด้วยผู้แทนเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) เดินทางพบนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อหารือถึงการจัดการดูแลเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับนายจ้าง และลูกจ้างทั้งไทยและต่างชาติจากเหตุตึกถล่ม 

จากการหารือ มีการมอบหมายให้รองปลัดฯ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งศูนย์วันสต็อปเซอร์วิส เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุอาคารถล่ม แม้ยังไม่ได้รับการตอบรับจากทุกหน่วยงาน แต่ได้เร่งผลักดันให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันดูแลและเยียวยาอย่างเป็นระบบ

นิลุบล พงษ์พยอม ตัวแทน
ผู้ประกอบการกลุ่มนายจ้างสีขาว

นายจ้างรับความเสี่ยง รอเงินผู้รับเหมาหวั่นแรงงานไร้เยียวยา

“นายจ้างบางคนไม่สามารถจ่ายค่างวดงานให้กับลูกน้องได้ เนื่องจากยังไม่ได้รับเงินจากบริษัทผู้รับเหมา” นิลุบล เปิดเผยหลังรวบรวมข้อมูลจากนายจ้างที่ได้รับผลกระทบว่า ขณะนี้นายจ้างอยู่ระหว่างรอการจ่ายค่างวดงานจากบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ และอิตาเลียนไทยฯ ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหลักของโครงการก่อสร้างตึก สตง. เพื่อจะนำเงินไปจ่ายค่าแรงให้ลูกจ้าง โดยล่าสุด บริษัทอิตาเลียนไทยฯ ชี้แจงว่า ได้รับเงินจากไชน่า เรลเวย์ฯ และได้เริ่มจ่ายค่างวดให้กับนายจ้างรายย่อยบางรายแล้ว

ขณะเดียวกัน บริษัทใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ ยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนในการแสดงความรับผิดชอบหรือพูดคุยกับนายจ้างรายย่อยเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาในระยะยาว แม้ในทางกฎหมาย นายจ้างที่ทำสัญญาตรงกับกิจการร่วมค้าควรเป็นผู้รับผิดชอบแรงงานที่อยู่ในระบบซับทั้งหมด แต่ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นว่านายจ้างรายย่อยและแรงงานระดับล่าง ต้องรับภาระและความเสี่ยงสูงสุด

นิลุบลยังเผยอีกว่า ยังมีกรณีที่นายจ้างบางราย กลัวว่าจะถูกดำเนินคดีข้อหาการจ้างแรงงานที่อาจผิดกฎหมาย จึงไม่กล้าให้ข้อมูลกับหน่วยงาน กรณีแบบนี้อาจทำให้แรงงานบางกลุ่มไม่ได้รับการเยียวยา

จากบทเรียน “ตึก สตง.ถล่ม” สู่โมเดลแก้ปัญหาในอนาคต

ตัวแทนผู้ประกอบการกลุ่มนายจ้างสีขาว ยังมีข้อเสนออีกว่า ควรตั้งงบฉุกเฉินสำหรับเหตุการณ์ลักษณะนี้ โดยจัดทำเป็น “โมเดลรับมือภัยพิบัติ” เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหากมีเหตุการณ์ตึกถล่มหรือภัยพิบัติอื่น ๆ ในอนาคต เพื่อให้สามารถเข้าถึงแรงงานและผู้ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง

“อนาคตเราไม่รู้ว่าจะมีตึกไหนที่จะถล่มลงมาอีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างทำงานกันแบบนี้ก็จะเกิดปัญหา แล้วก็ลงไปเยียวยาได้ไม่ถึงคนที่เดือดร้อนจริง ๆ” นิลุบล กล่าว

แชร์บทความนี้