
เรื่อง / ภาพ : กมล หอมกลิ่น
ผู้ว่าอุบลฯ ถามตรง ๆ จะแก้น้ำท่วมอุบลฯ อย่างไร และจะสื่อสารกับชาวบ้านให้เข้าใจชัดเจนได้แค่ไหน? พายุและมวลน้ำจากภาคอีสานตอนบนไหลลงสู่อุบลฯ ทุกปี ท่ามกลางภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างไม่แน่นอน ข้อมูลมีครบแต่การนำมาใช้ยังไม่เกิดผลจริง CBS และระบบแจ้งเตือนยังไม่ถึงมือชาวบ้าน ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันระหว่างรัฐกับประชาชนสร้างความสับสนซ้ำซาก “อำนาจ” และ “การสั่งการ” ถูกตั้งคำถามว่าอยู่ในมือใคร และเพื่อใคร การจัดการน้ำยังเต็มไปด้วยการเจรจา เบื้องหน้า-เบื้องหลังที่มองไม่เห็น เกาะแก่งธรรมชาติอาจไม่ใช่อุปสรรค หากมองเป็นเขื่อนธรรมชาติที่ต้องเรียนรู้ร่วมกัน การบรรเทาความเดือดร้อนต้องครอบคลุมทั้ง ก่อน-ระหว่าง-หลังน้ำท่วม เครื่องมือพร้อม แต่ขาดการประสานและความชัดเจน สุดท้าย… “มันจ้วดหรือบ่จ้วด?”
ผู้ว่าอุบลฯ ถามเอง จะแก้น้ำท่วมอุบลฯอย่างไร? จะสื่อสารชาวบ้านอย่างไรเอาให้ชัด!!! :
ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ว่าที่พันตรีอดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ วางบทบาทเป็นตัวแทนชาวบ้านถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากด้านล่างเวที ในงานเสวนา “การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ จังหวัดอุบลราชธานี ปี 2568” เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ที่โรงแรมอุบลบุรี รีสอร์ท อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี น้ำในเมืองสูงถ่อได๋? เทียบกับน้ำอยู่สันแก่งสะพือสูงถ่อได๋จั่งสิสูบน้ำ? เฮาสิเฮ็ดจั่งได๋? สิสื่อสารกับไทบ้านจั่งได๋? เป็นคำถามจากท่านผู้ว่าฯ เวทีครั้งนี้เป็นการร่วมจัดโดยหน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบด้านการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเจ้าภาพเชิญหน่วยงานราชการ ภาคประชาสังคม และตัวแทนชาวบ้านจากหลายชุมชน โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูลที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้มีผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมรับฟังและตั้งคำถามรวมทั้งให้ข้อเสนอแนะกับเวทีตลอดการเสวนา ถือเป็นกระบวนการจัดเวทีครั้งแรกที่ผู้ว่าฯ วางบทบาทเป็นคนนั่งฟัง ตั้งคำถาม และแสดงความคิดเห็นจากด้านล่างเวทีพร้อมกับชาวบ้านที่เข้าร่วม คุณสุชัย เจริญมุขยนันท: เพจอุบลคอนเนก กล่าวว่า “เป็นครั้งแรกที่มีการจัดเวทีแบบนี้ที่มีผู้ว่าราชการนั่งฟังและแสดงความคิดเห็นและที่พิเศษ คือ มีตัวแทนจากชาวบ้านมานั่งฟังและแสดงความคิดเห็น สะท้อนว่าผู้ว่าฯ เอาจริงกับเรื่องนี้มากและยังเป็นการจัดเวทีเพื่อเตรียมความพร้อมที่เร็วมาก”
เส้นทางการเคลื่อนตัวของพายุและมวลน้ำในภาคอีสานตอนล่าง : คุณประเสริฐ ปุระถานัง ผู้อำนวยการส่วนพยากรณ์อากาศ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง กล่าวว่า “ถ้าเรารู้ว่าจะมีพายุเข้ามาภาคอีสานเราก็จะมีการคุยกันและจะให้สถานีแต่ละที่ตรวจทุก 15 นาที เราจะสามารถจับตาได้ว่าพายุจะเคลื่อนตัวไปทางไหน โดยส่วนมากพายุจะมาจากเวียดนามมาที่ลาว และพอบ้านเราก็เริ่มเป็นดีเปรชชั่น ในช่วงเดือนพฤษภาคม จะมีความแปรปรวนของสภาพอากาศ จากนั้นเดือนมิถุนายนปริมาณฝนจะน้อยลง ดังนั้น ช่วงเดือนพฤษภาคม ถึง กรกฎาคม ฝนที่อุบลราชธานีจะน้อย และช่วงสิงหาคมพายุจะเข้าอุบลฯเยอะ อย่างไรก็ตามในช่วงมิถุนายนจะมีฝนเยอะในช่วงต้นแม่น้ำมูลและแม่น้ำชี เช่น แถวจังหวัดชัยภูมิ จึงทำให้มีปริมาณน้ำฝนจากตอนบนและจะไหลลงมาที่อุบลราชธานีเหมือนเดิม ฝนส่วนใหญ่ที่อุบลฯ จะมากในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน และปีนี้ฝนจะมาเยอะ โดยเราสามารถเตือนล่วงหน้าที่ชัดเจนได้ 3 วัน สรุปว่าปีนี้คาดว่าน้ำจะมาก” ขณะที่ ประเสริฐ ปุระถานัง กล่าวเสริมว่า “ส่วนใหญ่พี่น้องประชาชนจะโทรมาหาว่ามวลน้ำอยู่ที่ไหนตอนนี้ ผมก็เลยบอกว่าให้ชลประทานตอบ เพราะเรามีหน้าที่พยากรณ์คำนวนฝนจากฟ้า ถ้าพูดเรื่องมวลน้ำก็จะถูกว่าทำเกินหน้าที่ และที่อยากให้ระวังเรื่องข่าวลวง/ข่าวปลอมเกี่ยวกับการสร้างความตระหนัก ภารกิจคือเฝ้าระวังและแจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนตลอด”
ผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปริมาณน้ำ และพื้นที่ปลายน้ำ : วุฒิชัย ศรีทอง ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำ สำนักงานชลประทานที่ 7 กล่าวว่า”ในช่วงปี 2 ปีที่ผ่านมา น้ำไม่เยอะและการบริหารจัดการที่ดีทำให้แก้ปัญหาได้ แต่ลักษณะทางกายภาพเราต้องเจอกับการไหลมาของน้ำ เรามีภารกิจในการพัฒนาซึ่งเป็นการก่อสร้างแหล่งกักเก็บน้ำ และอีกภารกิจคือการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วม เราเจอน้ำท่วมเกือบทุกปี เพราะอย่างแรกคือเราเป็นจังหวัดปลายทางของน้ำที่มาจาก 20 จังหวัด ทั้งโขง ชี มูล สุดท้ายจะมาหาเรา และตอนนี้มีปรากฎการณ์ทางธรรมชาติคือ ENSO (ElNiño/SouthernOscillation) ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในแปซิฟิกเขตศูนย์สูตรและความผันแปรของระบบอากาศในซีกโลกใต้ ส่งให้เกิดน้ำน้อยและน้ำมากแบบสุดขั้ว และเราต้องยอมรับว่าเรามีสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่เป็นไปตามความเจริญของบ้านเมือง เรามีสถานีวัดน้ำที่ M7 (สะพานเสรีประชาธิปไตย อ.เมือง จ.อุบลราชธานี) วันนี้เราต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 5 เมตร แต่ถ้าเป็นช่วงเดือนตุลาคม น้ำจะสูงขึ้นมาก ซึ่งการที่น้ำขึ้นมากน้อยจะขึ้นอยู่กับน้ำฝนและน้ำท่า โดยน้ำสูงสุดในปี 2521 ความสูงจะอยู่ที่ 117 ม.รทก.ต่อมาปี 2565 ความสูง 116.5 ม.รทก.และปี 2562 ระดับ 115.97 ม.รทก. ถือเป็นการเปลี่ยนของสภาพอากาศแบบสุดขั้ว ดังนั้นเราจึงมีมาตรการที่ต้องทำตามหลักสากล มีการเตรียมแผนก่อน ระหว่างและหลัง ปัจจุบันเรามี คณะกรรมการ ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กทช.) ที่ต้องบริหารจัดการภายใต้กรอบ เรามี 9 มาตรการ ที่เราต้องมีการรับมือเพื่อรายงาน กนช.ทุกเดือน และต้องมีการดำเนินการก่อนฝนมาจนเสร็จฤดูฝน ที่ต้องจัดการที่ต้องทำงานร่วมกันทั้ง ปภ. และท้องถิ่น และจะส่งผลการดำเนินงานให้ กนช.
ข้อถกเถียงต่อการแจ้งเตือนข้อมูลข่าวสารมวลน้ำและระบบ CBS : ในเวทีมีคำถามและข้อถกเถียงว่า ไม่เห็นชลประทานมีการเตือนข้อมูลเลย ท่านไปเตือนใครทำไมชาวบ้านไม่รู้ ? ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำ สำนักงานชลประทานที่ 7 ชี้ว่าที่ผ่านมาเรามีการเตือนแต่ต้องเพิ่มช่องทางการเตือนมากขึ้น เช่น ติดป้าย ก็จะเห็นเฉพาะคนไปดู และก็มีการแจ้งในไลน์ เฟสบุ๊ค และเว็บไซต์ และปีนี้จะมีระบบ Cell Broadcast Service (CBS) ซึ่งเป็นระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินที่ส่งข้อความเตือนตรงถึงหน้าจอมือถือทุกเครื่องในพื้นที่เกิดเหตุ ผ่านเสาสัญญาณมือถือ โดยมีข้อดีแบบที่ SMSCBS จะแจ้งเข้ามือถือทันไหม โดยเรื่องนี้ตัวแทนจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อุบลราชธานี ซึ่งเป็นผู้ร่วมรับฟังอยู่ด้านล่างเวที ตอบว่า “ทัน”
นอกจากนั้น ผู้ดำเนินรายการได้ถามต่อว่า ปี 2565 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บอกว่าจะไม่เกิน ปี 2562 แต่เอาเข้าจริงมันเยอะกว่า ?
การประเมินสถานการณ์และสภาพการไหลในลำน้ำ : ตัวแทนสำนักชลประทานที่ 7 ตอบว่า “การประเมินน้ำท่าเราประเมินจากน้ำฝนและหลายองค์ประกอบ เราประเมินจากโปรแกรมสากล MIKE 11 แบบจำลองสภาพการไหลในลำน้ำแบบหนึ่งมิติ) ซึ่งเราก็พิจารณาจากโปรแกรมที่มีความน่าเชื่อถือระดับโลก แต่เราต้องเอาข้อมูลการคาดการณ์จากทุกหน่วยงานป้อนเข้าไป ที่มันอาจไม่แม่นยำ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูข้อมูลช่วงนั้นว่าจะเป็นอย่างไร เช่น ข้อมูลจากอุตุนิยมที่พยาการณ์แม่นยำที่สุดใน 3 วัน และตอนนี้เราสามารถเข้าไปดูเว็บไซต์ของกรมชลประทาน ไม่ต้องมีรหัสอะไร ทุกคนที่มีสมาร์ทโฟนเข้าไปดูได้” อีกทั้ง กล่าวต่อว่า “สำคัญสุดอุบลราชธานีอยู่ปลายน้ำ ฝนไม่ตกเราก็ต้องระบายน้ำออกให้เร็วที่สุด สำนักชลประทานที่ 7 บูรณาการกับสำนักชลประทานที่ 6 กับสำนักชลประทานที่ 8 มีการทำงานร่วมกับ 6-7 เขื่อน ปีทีแล้วระบายให้เหลือ 50% แต่ปีนี้จะกดลงไปให้เหลือประมาณ 35-40% ให้อยู่ในระดับที่ไม่วิกฤติ คือ ประปาอยู่ได้และน้ำก็ต้องมีการระบายออกเพื่อ “เอาให้หมดหน้าตัก” และสำคัญจะประสานตามเขื่อนปากมูล
“อำนาจ” กับ “การสั่งการ” ชาตินี้ ชาติหน้า ชาติไหน? : จากนั้น ผู้ดำเนินรายการถามว่า เราจะบอกเขาได้ไหมว่าไม่ให้ปล่อย ? ซึ่ง ผู้อำนวยการส่วนบริหารจัดการน้ำ สำนักงานชลประทานที่ 7 ตอบว่า “ประสบการณ์ 2 ปี เราโชคดีที่อธิบดีกรมชลประทานมาเล่นเองก็เลยสั่งการได้ แต่ถ้าให้ผู้บริหารสำนักทำงานเองอาจจะยาก เพราะต่างก็มีอำนาจเท่ากัน เช่น ปีที่แล้วอธิบดีสั่งการให้ปล่อยน้ำจากพื้นที่ร้อยเอ็ด และปล่อยมาที่อุบลได้เร็ว และปีนี้เราคุยกันเร็วเพื่อเตรียมการล่วงหน้า เพื่อให้น้ำเร็วที่สุด และจริงๆการที่นายกรัฐมนตรีลงมาหรือไม่มาจะไม่เกี่ยว เพราะเราทำงานกับอธิบดีกรมชลประทานอย่างต่อเนื่อง”
ผู้ดำเนินรายการได้ถามต่ออีกว่า ประเด็นคือเรื่องของน้ำประปา เพราะปีที่แล้วมีการคุยกันและบอกว่าประปาไม่ยอม ทั้งชลประทาน ไฟฟ้า และประปา โดยให้มีการเลี้ยงน้ำไม่ให้เกิน 106.8 ม.รทก. จะไม่มีปัญหากับประปา รวมทั้ง ทางศรีสะเกษ หัวกะโหลกลดหัวประปาลงมาก แล้วทางอุบลฯ เป็นอย่างไร ที่จะทำให้น้ำลดมากโดยไม่กระทบประปา ? ซึ่ง ตัวแทนประปาสาขาอุบลราชธานี ตอบว่า “ประปามีแผนจะตั้งสถานีที่กุดปลาข่อ แต่ทางเข้าไม่สะดวก จึงประสานกับที่ดินและเจ้าท่า เพื่อขอสถานที่ใช้ที่ปากมูลใหญ่” ขณะที่ ผู้ว่าราชการนั่งฟังอยู่ได้ช่วยประปาตอบคำถาม โดยกล่าวว่า “การรักษาระดับน้ำ 106.8 ม.รทก. ไม่กระทบและต่ำสุดระดับน้ำจะรับได้ที่ 106.5 ม.รทก. แต่ต่ำกว่านั้นจะไม่ไหว แต่เราเคยขุดแล้วมันขุดลงไม่ได้เพราะข้างล่างเป็นหิน ดังนั้น เราจะเอาหัวกะโหลกลงต่ำกว่านี้ไม่ได้และตอนนี้กำลังหาที่ใหม่สูบน้ำ “บ่ชาตินี้กะชาติหน้าน่าสิได้” ผู้ว่าอุบลฯ กล่าว
นอกจากนั้นตัวแทนสำนักชลประทานที่ 7 กล่าวเสริมว่า “เอาหัวกะโหลกประปาลงต่ำกว่านี้จะช่วยได้ แต่ช่วงหน้าฝนเราจะเก็บน้ำไม่ได้เลย ต้องระบายน้ำออก”โดยผู้ดำเนินรายการถามว่า “การระบายน้ำก่อนล่วงหน้าจะมีผลดีไหม ? ซึ่ง ตัวแทนชลประทานกล่าวว่า ” ถ้าเรารักษาระดับน้ำในระดับ 106.8 ม.รทก. เราจะสามารถรับน้ำได้อีก 200 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณที่เยอะ ดังนั้นการระบายน้ำก่อนมีผลดีแน่ๆ”
การดำเนินงานบริหารจัดการน้ำกับการปรับเปลี่ยนตามสภาวะ “ความเป็นจริง” : บุญเลิศ แสงระวี ช่างระดับ 10 ทำการแทนหัวหน้ากองโรงไฟฟ้าเขื่อนสิรินธร กล่าวว่า “เราดูแลโรงไฟฟ้า 5 โรงไฟฟ้า เรามีการบริหารจัดการในรอบปี 2 ช่วง คือ (1) เดือนมกราคม – พฤษภาคม จะควบคุมระดับน้ำที่หน้าเขื่อนและสถานี M7 อยู่ที่ 107 ม.รทก. เพื่อดูแลน้ำอุปโภคบริโภคของอุบลฯ รวมทั้งด้านการเกษตร ท่องเที่ยว และประมง อีกทั้งช่วงเดือนเมษายนจะมีการระบายน้ำผ่านเทอร์ไบน์ตัวกังหัน โดยที่ไม่ได้เปิดบานประตูเพื่อควบคุมระดับน้ำที่แก่งสะพือให้เกิดการท่องเที่ยว (ช่วงที่ 2) คือเดือนมิถุนายน ถึง ธันวาคม เป็นการดำเนินงานตามมติกรรมการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเราปรับเปลี่ยนสภาวะความเป็นจริง เพราะตอนแรกมีการเก็บน้ำในระดับสูง แต่หลายปีที่ผ่านมาเรามีการปรับในเก็บระดับช่วงฤดูน้ำหลาก เช่น ปี 2567 มีการรักษาระดับเท่ากับช่วงแล้ง คือระดับ 107 (บวกลบไม่เกิน 20 ซม.) ม.รทก. มีการรักษาเพื่อไม่ให้กระทบและมีพื้นที่ในการรับน้ำประมาณ 5 เมตรในตัวเมืองอุบล ในช่วงการเปิดบานของเขื่อนปากมูล เราใช้เกณฑ์ในการเปิดโดยดูอัตราการไหลที่สถานี M7 ซึ่งใช้อัตราการไหลอยู่ที่ 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งมีการประชุมลงมติลดระดับน้ำและเปิดบานเพื่อลดระดับน้ำ และถ้าระดับน้ำเพิ่มขึ้นจากระดับ 107.2 ม.รทก.หรือมีนัยยะที่ระดับน้ำจะเข้าเมืองอุบลฯ เพิ่มขึ้นก็จะมีการลดระดับน้ำ ข้อสังเกตหรือเป็นห่วงคือ โดยเฉพาะในปี 2567 หลังจากที่ใช้มตินี้ ก็จะมี 3 ชุมชนบริเวณเหนือเขื่อนปากมูลและใต้เขื่อนปากมูล คือบ้านหัวเห่ว หมู่ 4 และ 11 และชุมชนในอำเภอโขงเจียมอีก 1 ชุมชน รวม 200 กว่าหลังคาเรือน ที่มีการเรียกร้องไม่ให้เปิดเขื่อน โดยแสดงความเห็นต่างและไปปิดที่สันเขื่อนและเอาเรือไปไว้ที่ป้ายเขื่อนไม่ยอมให้เปิดบานในช่วงมิถุนายน ปี 2567 “
“เบื้องหน้า/เบื้องหลัง” กับการเจรจาต่อรอง : ในกรณีที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่า กฟผ. เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของชาวบ้านกลุ่มนี้ ตัวแทนกองโรงไฟฟ้าเขื่อนสิรินธร ตอบว่า “ไม่ได้อยู่เบื้องหลังชาวบ้านกลุ่มนี้ ซึ่งทาง กฟผ. ก็ไปเจรจาเพื่อให้มีการเปิด โดยอาศัยคำสั่งการของทางจังหวัด ซึ่งมีหน่วยงานราชการจังหวัดไปเจรจา และมีการยอมให้เปิดช่วงปลายมิถุนายน 2567 การเปิดบานประตูระบายน้ำในปี 2565-2566 ใช้เกณฑ์การไหล 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระยะเวลาตั้งแต่วันที่เปิด แต่ปี 2565 น้ำเข้าอุบลฯ เกิน 2,000 ลูกบาศก์เมตร ทำให้ต้องเปิดบานวันที่ 30 กรกฎาคม และเริ่มท่วมตลิ่งวันที่ 10 กันยายน 2565 ใช้เวลา 41 วัน เป็นการเปิดรอเดือนกว่า และปี 2566 เปิดรอน้ำเข้าอุบล 48 วัน และปี 2567 ใช้เวลา 96 วัน ในการเปิดรอ แต่ทั้งนี้ 3 ชุมชนดังกล่าวก็ไม่เห็นด้วย”
เกาะแก่งหินกับมุมมอง “เขื่อนธรรมชาติ” : ตัวแทนกองไฟฟ้าเขื่อนสิรินธร กล่าวอีกว่า “ในแม่น้ำมูลจะมีเกาะแก่ง เช่น แก่งสะพือ และแก่งคันไร่ ที่เรียกว่าเป็น “เขื่อนธรรมชาติ” ซึ่งเป็นตัวดักน้ำ ดังนั้น ถ้าน้ำเยอะจะทำให้อัตราการไหลช้าเหมือนวิ่งรถ 4 เลน แล้วไปเจอ 2 เลนรถจะหยุด แต่น้ำจะไม่หยุดเพราะจะเท้อขึ้น เพราะพื้นที่รองรับหรือหน้าตักแคบลง เช่น ปี 2565 มีมวลน้ำเข้ามากกว่า 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยที่ลำน้ำเราระบายได้ 2,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที นับเป็นเกือบ 3 เท่า ดังนั้นต้องมีการระบายก่อน และที่เป็นห่วงคือแผนการดำเนินการก่อสร้างเขื่อนพูงอยที่อยู่ สปป.ลาว และจะทำให้น้ำมาจ่อที่บริเวณปากมูล และเป็นเขื่อนที่อยู่ในประเทศที่ลาวที่เจรจายาก ทางเราพร้อมทำตามมติของคณะกรรมการจัดการน้ำจังหวัดโดยมีผู้ว่าราชการเป็นประธาน และในส่วนปีนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดให้ข้อสั่งการว่าให้รักษาระดับน้ำประมาณ 106.8 ม.รทก.ซึ่งถ้าจะมีการเปิดบานจะต้องไปคุยกับชุมชนเพื่อทำความเข้าใจ ส่วนปี 2567 ที่ผ่านมาเป็นปีแรกที่มีการปรับเกณฑ์ ชาวบ้านก็เลยยังไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วย”
การบรรเทาความเดือนร้อน “ก่อน” “ระหว่าง” และ “หลัง” น้ำท่วม : ดร.รุ่งนภา ทับหนองฮี รองปลัดเทศบาล รักษาราชการแทนปลัดเทศบาลปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีเมืองวารินชำราบ ซึ่งเป็นตัวแทนหน่วยงานองค์กรปกครองท้องถิ่นที่ประกบชาวบ้านในพื้นที่ กล่าวว่า “เราดูแลก่อน ระหว่าง และหลังเกิดภัย ก่อนเกิดภัยเราจะรวบรวมข้อมลและสถิติที่เกี่ยวข้อง เราเจอน้ำท่วมตั้งแต่ปี 2493 และในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา เราเจอสถานการณ์น้ำท่วม เราจะประเมินจุดเสี่ยง เนื่องจากเรามีพื้นที่รับน้ำ 1 พันกว่าไร่ มีชุมชนเสี่ยง 14 ชุมชน จาก 28 ชุมชน ซึ่งชุมชนเกตแก้วจะต่ำสุด โดยเป็นลักษณะน้ำท่วมขังที่เรามีเครื่องระบายน้ำ และบริเวณประตูน้ำวัดเสนาวงศ์ ที่ชุมชนท่าบ้งมั่ง ถ้าน้ำขึ้นประมาณ 6.30 เมตร จะมีการปิดประตูน้ำเพื่อไม่ให้น้ำมูลไหลเข้า โดยจะประสาน ปภ.จังหวัด และสำนักงานทรัพยากรน้ำและชลประทาน เนื่องจากเราเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำที่อยู่ริมแม่น้ำมูลที่เราต้องแก้ปัญหาน้ำเข้า อีกจุดคือชุมชนหาดสวนสุขเป็นพื้นที่ราบลุ่มแถวเตาอิฐ จะมีน้ำจากกุดศรีมังคละเอ่อขึ้น ซึ่งนอกเหนือจากแม่น้ำมูลแล้วยังรับน้ำจากห้วยไผ่ ที่มาจากตำบลคำน้ำแซบ ซึ่งเราต้องวิเคราะห์ว่าน้ำท่วมจุดไหน และมีภาวะเสี่ยงอย่างไร โดยมีกลุ่มพลังมวลชน อสม.กรรมการชุมชน และ อปพร.พื้นที่ เรามีเจ้าหน้าที่เคลื่อนที่เร็ว มีรถประชาสัมพันธ์ ช่องทางโซเชี่ยล มีการติดตั้งเพจระดับน้ำ เพื่อให้รู้ว่าต้องปฏิบัติการทั้งการเตือนและอพยพ เรารู้จุดทุกจุดที่น้ำจะเข้า แต่ปัญหาคือเราควบคุมปริมาณน้ำไม่ได้ ทุกหน่วยงานเข้ามาช่วยหมดตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งปีนี้น้ำจะมาจริงๆ เทศบาลวารินเก็บข้อมูล ถ้าน้ำขึ้นประมาณ 6-7 เมตร น้ำจะท่วมไม่มากเฉพาะพื้นที่น้ำขังประมาณ 100 กว่าครอบครัว แต่ถ้าเกิน 7 เมตร น้ำจะไหลเข้าพื้นที่เยอะขึ้น การทำข้อมูลแบบนนี้จะมีความสัมพันธ์กับช่วงระหว่างเกิดภัยและฟื้นฟู และจะมีการวางแผนจุดพักพิง และประสานหน่วยงานที่จะเข้ามาดูชีวิตประจำวันในช่วงอพยพ เช่น ห้องน้ำ และการดูแลชีวิตและทรัพย์สิน เรามีศูนย์พักพิงหลายระดับ แต่พี่น้องเราจะห่วงใยบ้านตัวเอง ดังนั้น ชาวบ้านจึงจัดระบบการเข้าไปดูแลบ้าน เรามีการพัฒนาในการช่วยเหลือประชาชนว่าเขาเดือดร้อนอย่างไร โดยเราสร้างโปรแกรมขึ้นมา เพื่อดูแลตั้งแต่น้ำท่วมจนถึงเยียวยา น้ำถ้าไม่เกิน 9 เมตร พื้นที่อพยพอยู่ใต้สะพานเสรีประชาธิปไตย แต่ถ้าน้ำมากกว่านั้นก็จะมีค่าย มทบ.22 เบอร์ 8 ซึ่งมีความสะดวกสบาย แต่ชาวบ้านก็ไม่อยากไปเพราะอยู่ไกลบ้าน แต่ก็มีบางส่วนที่ไป ก็เป็นเพียงการเอาทรัพย์สินไปฝากและคนก็กลับมาอยู่บริเวณเต๊นท์ เพราะอยากเข้าไปดูบ้าน ดังนั้นจากข้อมูลปีนี้เห็นว่าน้ำจะเยอะ เราจึงเตรียมการระบายน้ำ เช่น การขุดลอกคูคลองพวกผักตบชวา และประสานงานกับ อบจ. และเอาเครื่องจักรมาช่วย จริงๆระบบเตือนภัยเราก็เตรียมไว้ แต่ถ้า ปภ.จะทำก็จะดีมาก เพราะมันมีค่าใช้จ่ายที่ต้องลงทุน”
หน่วยงานมีข้อมูลครบสำคัญอยู่ที่นำข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์จริงจัง !!! : นอกจากนี้ ในเวทียังเปิดโอกาสให้ตัวแทนชาวบ้านได้สะท้อนความคิดเห็น และได้นำเอาข้อเสนอผ่านคอมเม้นต์ในโพสต์ที่มีการถ่ายทอดสดมาคุยในเวที ซึ่งมีทั้งการตั้งคำถามและให้ข้อเสนอแนะ โดยข้อเสนอบางความคิดเห็นสะท้อนว่า ตอนนี้ทุกหน่วยงานมีข้อมูลครบ สำคัญอยู่ที่นำข้อมูลมาใช้ให้เป็นประโยชน์และเกิดการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง อีกทั้งยังมีตัวแทนชาวบ้านที่อยู่ในเขตที่ลุ่มเทศบาลเมืองวารินชำราบ สะท้อนว่า ต้องดูแลตัวเอง เพราะที่ผ่านมาไม่มีการแจ้งเตือน เราต้องไปค้นว่าน้ำต้นน้ำจากโคราชจะมาไหม แต่ที่ผ่านมาไม่ทราบข้อมูล ดังนั้น เทศบาลต้องเร็วและหน่วยงานอื่นๆต้องรีบบอก เพราะน้ำจ่อบ้านแล้วถึงรู้
ผู้ว่าฯ ซึ่งนั่งฟังตลอดงาน ชวนตั้งข้อสงสัยและถามหน่วยงานแทนชาวบ้าน : ไฮไลท์ของการเสวนาอยู่ที่ช่วงท้ายของงาน ซึ่งพันตรีอดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ที่นั่งฟังตลอดการพูดคุย ได้ลุกขึ้นถามและแสดงความคิดเห็นเป็นระยะ และมีช่วงหนึ่งกล่าวว่า สงสัยเรื่องการแจ้งเตือน จริงๆ เราสามารถกลับไปเป็นแบบโบราณได้ โดยการรถแห่ (รถบักอะโหล) เพื่อไปบอกตามบ้านเลยจะได้เข้าถึงง่ายๆ และยังมีคำถามต่อตัวแทนชลประทาน โดยตั้งคำถามว่า “อยากให้ชลประทานให้ข้อมูลหน่อยว่า น้ำโขงหนุนและน้ำมูลลงโขงไม่ได้ ช่วยพูดให้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ ว่าน้ำมูลสูงกว่าน้ำโขงกี่เมตร และข้อมูล 4-5 ปี ย้อนหลังสถิติน้ำโขงสูงกว่าน้ำมูลจริงหรือเปล่า ? ซึ่งตัวแทนชลประทาน ก็ตอบว่า “จากสถานีวัดน้ำ M7 ไปถึงจุดลงแม่น้ำโขง มีระยะความยาวประมาณ 90 กิโลเมตร ที่ผ่านมาในช่วงที่น้ำมูล M7 สูงๆ จะต่างกัน 10 เมตร แต่ถ้าน้ำโขงสูงกว่าน้ำมูลจะไหลช้า แต่ที่ผ่านมาเราไม่เคยเจอสภาพความต่างที่ต่ำกว่า 10 เมตร ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า แม่น้ำโขงยังไม่มีผลต่อการไหลของน้ำมูล ถ้ามีผลก็จะมีผลนิดหน่อย ไม่มีผลมาก ยกเว้นอนาคตที่จะมีการสร้างเขื่อนพูงอย”
สรุปว่ามันเป็นจั่งได๋…มันจ้วดหรือบ่จ้วด? : ผู้ว่าราชการอุบลฯ ยังถามเป็นภาษาอีสานต่ออีกว่า มีคำเว่าดู๋ ว่าน้ำโขงหนุน คือ บ่เอาเครื่องมาดันน้ำ สรุปว่ามันเป็นจั่งได๋ มันจ๊วดหรือบ่จ๊วด? (ไหลเร็วสะดวก ดีหรือไม่ดี?) ตัวแทนชลประทาน ตอบว่า “แม่น้ำโขงยังไม่มีผลต่อการไหลของน้ำในแม่น้ำมูลครับ” ตัวแทนชลประทานตอบ “สรุปคือมันจ๊วดแล้วแสดงว่ามันดีแล้ว” ผู้ว่าอุบลฯ ช่วยสรุปในประเด็นการหนุนของปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง ในเรื่องนี้ผู้ว่าฯ ให้ความคิดเห็นต่อว่า “ส่วนราชการต้องสื่อสารกับชาวบ้านตรงๆ มูลกับโขงไม่ได้มีปัญหา และจะมีผลต่อเรื่องการหาเครื่องสูบน้ำมาดัน แต่อันนี้คือระดับแม่น้ำโขง ส่วนแก่งธรรมชาติมีผลบ่ กะต้องบอก ยกตัวอย่าง แก่งสะพือ เช่น M7 112 (ม.รทก.) ใต้แก่งสะพือถ่อได๋ ต้องอธิบายไทบ้านแบบนี้ แล้วถ้าระบายแบบนี้ระดับน้ำสิลดลงจังๆบ่!!! ต้องคุยแบบนี้” ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีช่วยสรุปแนวทางในการสื่อสารกับชาวบ้าน
เครื่องระบายน้ำพร้อมใช้งานแต่เงื่อนไข… : นอกจากนั้น มีการกล่าวถึงประเด็นที่มีข้อสะท้อนว่า อุปสรรคการไหลของน้ำที่สำคัญอีกประการ คือ การที่ในแม่น้ำมูลช่วงอำเภอพิบูลมังสาหาร เริ่มตั้งแต่แก่งสะพือเป็นต้นไป พื้นที่บริเวณนี้มีแก่งธรรมชาติที่เป็นอุปสรรคในการไหลของน้ำ ตัวแทนชลประทาน กล่าวว่า “ตอนนี้กรมชลฯ มีเครื่องระบาย 100 เครื่อง พร้อมใช้งาน แต่เงื่อนไขการใช้คือถ้าน้ำไหลช้าแล้วไปติดแก่งสะพือ ซึ่งถ้าน้ำต่ำกว่าแก่งสะพือ 1 เมตร เราก็จะเอาเครื่องผลักดันน้ำมาใช้ แต่ถ้าน้ำมันสูงกว่าแก่งสะพือเราจะไม่ใช้เพราะธรรมชาติมันไหลเร็วอยู่แล้ว ถ้าเอาเครื่องผลักดันน้ำมาใช้มันยิ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการไหลของน้ำ โดยชลประทานจะมีเครื่องวัดความเร็วในการไหลของน้ำ” ซึ่งในประเด็นนี้ตัวแทนกองไฟฟ้าเขื่อนสิรินธร ได้กล่าวเสริมว่า “ระยะทางจากสถานี M7 ที่มีระดับน้ำประมาณ 110 ม.รทก และที่บริเวณแก่งสะพือจะมีระดับน้ำ 108 ม.รทก. ซึ่งมีความลาดเอียงมันน้อยประมาณ 1 เมตรกว่าๆ ทำให้น้ำไหลช้า แต่จากแก่งสะพือไปที่คันไร่และแก่งตาดไฮจนไปที่หน้าเขื่อนความลาดเอียงจะชันมาก เพราะความต่างระดับน้ำประมาณ 6 เมตร” ตัวแทนกองโรงไฟฟ้าเขื่อนสิรินธรกล่าวเสริมในประเด็นการไหลของน้ำ ซึ่งให้ความเห็นว่าการไหลของน้ำจากตัวเมืองอุบลราชธานีไปที่แก่งสะพือจะลาดเอียงน้อย ทำให้น้ำไหลช้า ส่วนใต้แก่งสะพือแม้จะมีเกาะแก่งมาก แต่น้ำก็ไหลเร็วเพราะพื้นที่มีความลาดเอียงมาก
เรื่องผลักดันน้ำที่ชาวบ้านกดดัน ? : ผู้ว่าฯ ถามต่ออีกว่า “ชาวบ้านสงสัยว่าจาก สถานี M7 ไปฮอดเขื่อนมันตันบ่มันจ๊วดบ่?” ตัวแทนกองไฟฟ้าเขื่อนสิรินธร ตอบว่า “มันจะติดตรงกลางที่แก่งสะพือและคันไร่” “มันกระทบมากไหม?” ผู้ว่าถาม “ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำในอุบลฯ ถ้าน้ำเยอะก็จะทำให้น้ำเท้อขึ้น” ตัวแทนเขื่อนตอบ ผู้ว่าฯ ถามต่อว่า “สมมุติถ้า M7 112 (ม.รทก.) แก่งสะพือจะมีระดับน้ำเท่าไหร่?” “จะอยู่ประมาณ 108-109 (ม.รทก.) ซึ่งต่างกันประมาณ 2 เมตร” ตัวแทนเขื่อนตอบ จากนั้นผู้ว่าฯ ก็เสริมต่อว่า “ฉะนั้นต้องอธิบายว่าสถานี M7 เท่าไหร่ แก่งสะพือเท่าไหร่ และหน้าเขื่อนเท่าไหร่ เพราะมันจะพ่วงไปถึงเรื่องการผลักน้ำ ที่ชาวบ้านจะกดดัน แล้วห่างกัน 2 เมตร น้ำไหลดีไหม” “ก็ถือว่าบ่จ้วด” ตัวแทนเขื่อนตอบเพิ่ม
ผู้ว่าฯถามต่อ “บ่จ้วดสิเฮ็ดจั่งได๋?” “มีแนวทางผู้ว่าฯ ท่านก่อนเพิ่นว่าให้หาทางให้น้ำไหลดี” ตัวแทนเขื่อนตอบเพิ่ม “อ้ายชลประทานส่อยตอบแหน่” ผู้ว่าฯชวนให้ตัวแทนชลประทานมาช่วยแสดงความคิดเห็น ซึ่ง ในเรื่องนี้ตัวแทนชลประทานได้กล่าวเสริมว่า “จริงๆสันแก่งสะพือห่างจากเมืองอุบล 50 กิโลเมตร และยังบอกว่า “ในขณะที่ท้องน้ำสถานี M7 มีความสูง 100 (ม.รทก.) กว่าๆ ซึ่งต่ำกว่าแก่งสะพือ 106.25 (ม.รทก.) ซึ่งแก่งสะพือจะเป็นฝายธรรมชาติ ซึ่งมีผลดีมากในช่วงแล้ง เพราะท้องน้ำแก่งสะพือสูงกว่าเมืองอุบลฯ ประมาณ 6 เมตร ดังนั้นถ้าน้ำผ่านแก่งสะพือได้น้ำจะไปเร็วมาก ซึ่งประเด็นการแก้พูดตามหลักคิดโดยไม่คิดมากตอนนี้ชลประทานก็คิดโครงการขนาดใหญ่ 97 เมตร เหมือนเราสร้างแม่น้ำมูลอีกแห่งหนึ่ง แต่มันก็เรื่องงบประมาณและความเสียหายต่อธรรมชาติและส่วนอื่นๆ” ตัวแทนชลประทานกล่าว
นอกจากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า “เราจะไม่พูดถึงระยะยาวที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ปีนี้จะแก้อย่างไร?” โดยตัวแทนชลประทานตอบว่า “เรามีเครื่องผลักดันน้ำ 100 ตัว เราจะเอาไปผลักยอดน้ำ” จากนั้นผู้ว่าฯ จึงเสริมว่า “เราจะสื่อสารชาวบ้านอย่างไร สูงกว่าแก่งสะพือเท่าไหร่ และต่ำกว่าแก่งสะพือเท่าไหร่ จึงจะผลักน้ำ” “ต้องดูความเร็วการไหลของน้ำ” ตัวแทนชลประทานตอบ
“ไม่แปลกที่จะงง” ปัญหาการสื่อสารจากหน่วยงานราชการถึงชาวบ้าน : “ไม่แปลกที่ชาวบ้านจะงง เพราะผมยังงง รู้แล้วว่ากระบวนการราชการทำงานอย่างไร เพราะชาวบ้านอยากรู้ว่าระดับน้ำโขงห่างจากน้ำมูล 10 เมตร สบายมาก และบอกหน่อยว่าเตือนหน่อยเอารถแห่ไปบอก และถ้าจะมีศูนย์พักพิงก็ให้จัดการ (เติมนะนั่นเติมนี่) และแก่งธรรมชาติกลางน้ำมูลจะทำอย่างไร และต้องอธิบายว่าระดับน้ำสันแก่งสูงเท่าไหร่ถึงจะสูบน้ำหรือไม่สูบ” ผู้ว่าฯอุบลราชธานีสะท้อนปัญหาการสื่อสารจากหน่วยงานราชการสู่ชาวบ้าน และผู้ว่าฯก็มีคำถามต่ออีกว่า “สูงเท่าไหร่ถึงจะสูบ?” “จากสถิติประมาณ 115 จะสูบ” ตัวแทนชลประทานตอบ “จำไว้ว่าถ้าแก่งสะพือสูง 115 ถึงจะใช้เครื่องดันน้ำ” เป็นคำตอบที่ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ช่วยฟันธง