แรงสั่นสะเทือนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติอาจจบลงในไม่กี่ชั่วโมง แต่แรงสะเทือนที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานยังคงสั่นคลอนไม่รู้จบ แม้เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน หลังเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่พม่าขนาด 8.2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มลงระหว่างการก่อสร้าง ทิ้งไว้เพียงความสูญเสีย ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และจิตใจ
ขณะการค้นหาร่างผู้สูญหายยังดำเนินไปท่ามกลางความหวังของครอบครัว แรงงานจำนวนมากที่แม้จะรอดชีวิต แต่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การว่างงานโดยไม่ทันตั้งตัว บ้างยังไม่ได้รับค่าแรงตามรอบการจ้างงาน บ้างต้องสูญเสียอุปกรณ์ทำมาหากินที่ยังติดอยู่ใต้ซากอาคาร หลายคนตกอยู่ในภาวะหวาดกลัว ไม่สามารถกลับไปทำงานก่อสร้างได้อีก และอีกหลายคนยังไม่ได้รับการชดเชยเยียวยาตามกฎหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หญิงสาวแรงงานที่รอดชีวิตจากตึก สตง. ถล่ม เธอตามแฟนมาทำงานก่อสร้างที่กรุงเทพฯ เพื่อหวังจะช่วยกันหาเงินกลับไปแต่งงาน สร้างอนาคตด้วยกัน แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นก่อน
“มาทำงานที่นี่เพราะอยากช่วยแฟน จะช่วยกันหาเงินแต่งงาน นัดกันไว้ว่าวันที่ 13 เมษานี้ แต่เกิดเหตุการณ์ก่อน เขาลงมาทำงานก่อนวันที่ 28 ตุลา แล้ววันเกิดเหตุคือ 28 มีนา วันมันตรงกันพอดีเลย บังเอิญมากๆ”
เธอเป็นแรงงานติดตั้งระบบสปริงเกลอร์ภายในอาคารดังกล่าว และเป็นหนึ่งในเก้าแรงงานที่ได้รับบาดเจ็บ โดยได้รับเงินเยียวยาเบื้องต้นจำนวน 5,000 บาท สำหรับเธอแล้วมองว่าถ้าประหยัดก็พอใช้
ในวันที่ยังไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่ออย่างไร แต่ที่รู้แน่ชัดคือใจกลัวต่อการทำงานบนตึกสูง เธอเล่าว่าครั้งหนึ่งตอนทำงานเคยสะดุดตกบันไดมาแล้วหกขั้น หัวเข่าถลอกแต่ก็ไม่ได้ไปโรงพยาบาล เพียงแค่ทายาเฉย ๆ
“ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากทำงานก่อสร้างอีกแล้ว อยากทำงานในห้างมากกว่า แต่เพราะเรียนไม่จบจึงไม่มีทางเลือก”
หลังเหตุการณ์สะเทือนใจ มีหน่วยงานเข้ามาพูดคุยเยียวยาทางจิตใจทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่พร้อมที่จะคิดเรื่องของอนาคต แม้ตอนนี้ไม่มีรายได้ ไม่มีงานทำ แต่เธอยังมีความหวัง ว่าจะได้พบคนรักอีกครั้ง
หญิงรายนี้เดินทางมาพร้อมกับแฟน ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม โดยอาศัยเงิน 3,000 บาทจากนายอำเภอที่มอบเป็นค่ารถให้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ รวมกับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจากบริษัทคู่ค้าอีก 3,000 บาทเท่านั้น
เธอเป็นแม่ของแรงงานก่อสร้างที่ยังสูญหายใต้ตึก สตง. เธอเล่าว่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม อาศัยกินอยู่ในเต็นท์ศูนย์พักพิง ได้รับการดูแลเรื่องอาหารน้ำใช้ แต่บางอย่างก็ต้องซื้อเอง เช่นข้าวเหนียวก็ต้องซื้อ เพราะกินข้าวโรงครัวทุกวันก็มีเบื่อบ้าง
สิ่งที่คนเป็นแม่แบบเธอต้องการ ไม่ใช่แค่จำนวนเงิน แต่คือความเข้าใจและการรับผิดชอบต่อชีวิตที่สูญเสียไปเพราะการก่อสร้างที่ไร้มาตรการความปลอดภัย
เธอบอกอีกว่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกมาทำงานในตึกนี้ แค่รู้ว่ามารับจ้างเป็นช่างไฟ ปกติรู้ว่าลูกทำงานก่อสร้างก็กลัวอยู่แล้ว จึงอยากฝากให้ในโครงการก่อสร้างเข้มงวดกว่านี้เรื่องบัตรประจำตัว
“อยากฝากให้เข้มงวดเรื่องบัตรประจำตัว อย่างน้อยเวลามีเหตุแบบนี้เกิดขึ้น จะได้รู้ว่าลูกเราอยู่ตรงไหน ไม่ใช่หายไปเลย ตอนนี้เหมือนลูกเราตายแทนเขา เพราะถ้าตึกไม่ถล่มตอนนี้แต่ไปถล่มตอนคนเป็นพัน เขาก็จะตายหมดเหมือนกัน”
แม้จะได้รับความช่วยเหลือด้านอาหารจากศูนย์พักพิง แต่เธอบอกว่าเงินที่มีอยู่ใช้หมดไปแล้ว และไม่สามารถเดินทางกลับบ้านบ่อย ๆ ได้
“เขาบอกว่าจะหาศพให้เสร็จสิ้นเดือนนี้ และแม่จะรออยู่ตรงนี้ ไม่อยากเดินทางกลับบ้านบ่อย แม่กลัว แค่จะข้ามถนนยังไม่กล้าด้วยซ้ำ กลัวไม่ได้เห็นหน้าลูก กลัวตัวเองตายก่อนลูก แม่อยากพาลูกกลับบ้านด้วย”
‘พ่ออิ้ง’ หัวหน้าช่างไฟฟ้าในไซต์ก่อสร้างที่เกิดเหตุเล่าถึงความรู้สึกหลังเผชิญเหตุการณ์ว่า พวกเขายังไม่สามารถกลับไปทำงานต่อได้ แม้นายจ้างจะมีงานใหม่รองรับแต่ด้วยสภาพจิตใจและเรื่องที่ยังไม่จบก็ทำให้ต้องขอเลื่อนการเริ่มงานใหม่ออกไป
“อยากให้มีการชดเชยในช่วงที่ไม่ได้ทำงาน ตั้งแต่วันที่ 28 จนถึงวันที่ 19 ยังไม่ได้ทำงานเลย ถ้าจะไปทำที่ใหม่ก็ยังไม่มีเครื่องมือ และหลานเราก็ยังติดอยู่ข้างใน ถ้าจะไปทำงานมันก็ห่วงหน้าพะวงหลัง เราก็ยังไม่เสร็จเรื่องทางนี้”
พ่ออิ้งเล่าเรื่องราวชีวิตให้ฟังว่า เขาทำงานก่อสร้างมาตั้งแต่อายุ 15-16 ปี ตอนนี้ก็ 55 ปีแล้ว ทำมาตลอด ช่วงว่างก็กลับบ้านไปทำนา เมื่อเสร็จหน้านาก็เข้ากรุงเทพฯมาทำงานก่อสร้าง เมื่อถามว่าเงินที่ได้คุ้มไหม พ่ออิ้งตอบว่า “ก็ดีกว่าอยู่บ้านนั่นแหละ”
อย่างไรก็ตาม เรื่องของการช่วยเหลือ เป็นสิ่งที่เขายังคงรอคอย เพราะต้องใช้เวลาและต้องมีหลักฐานครบ โดยเฉพาะในกรณีของผู้ที่ยังสูญหาย
“คนที่รอดออกมาได้ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ ต้องรอให้มีหลักฐานครบก่อน เช่น ใบมรณะ พวกนี้กว่าจะได้ก็สองสามวัน กว่าจะพิสูจน์ได้ก็ไม่รู้กับเขา เราก็รอฟังข่าวอย่างเดียว”
หนึ่งในผู้สูญหายที่ยังติดค้างใต้ตึก สตง. คือชายวัยทำงานซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วง เขาทำงานติดตั้งระบบไฟฟ้าให้กับบริษัทเอกชนที่รับเหมางานจากบริษัทอีกทอด
ด้านผู้เป็นแม่ เดินทางจากจังหวัดร้อยเอ็ดมายังพื้นที่เกิดเหตุหลังทราบข่าว ใช้ชีวิตปักหลักอยู่บริเวณหน้าเจเจมอลล์ตั้งแต่วันแรก โดยช่วงสองวันแรกเธอนอนอยู่ริมฟุตบาท ก่อนจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเต็นท์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
แม่ของแรงงานระบุว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยังไม่ได้รับการประสานจากหน่วยงานใดอย่างเป็นทางการ มีเพียงเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจากบริษัทจีน จำนวน 3,000 บาทเท่านั้น และไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการเยียวยาเพิ่มเติม ทั้งนี้ ลูกชายซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วง ได้ตั้งเบิกค่าจ้างไว้ก่อนเกิดเหตุ แต่ปัญหาตอนนี้คือไม่มีเอกสารหรือข้อมูลใดๆหลงเหลือ ทำให้ไม่รู้ว่าจะสามารถติดตามทวงถามได้ยังไง
“มืดแปดด้าน ไม่มีเอกสาร ข้อมูลของลูกก็ไม่มี โทรศัพท์ก็อยู่กับเขา ลูกบอกแค่ว่าตั้งเบิกไว้ จะได้เงินอีกวันที่ 10 จนป่านนี้ก็…”
ผู้เป็นแม่ยังกล่าวอีกว่า การเดินทางมาอยู่บริเวณดังกล่าวต้องอาศัยเงินที่หยิบยืมจากคนรู้จัก เพื่อใช้จ่ายสำหรับค่ารถ ค่าอาหาร และต้องรออยู่ทุกวันโดยไม่ทราบความคืบหน้าใด ๆ
“ที่ผ่านมายังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาชี้แจงหรือประชาสัมพันธ์อะไร เราก็ยังไม่ไปยื่นเรื่อง เพราะอยากเจอลูกก่อน”
ทั้งนี้ ผู้เสียหายเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะ สตง. ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการก่อสร้าง ร่วมแสดงความรับผิดชอบ และลงพื้นที่ตรวจสอบความเป็นอยู่ของครอบครัวผู้สูญเสีย พร้อมเร่งดำเนินการเรื่องการเยียวยาให้เหมาะสมกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
“ให้เงินเยียวยารายละแสน มันไม่คุ้มกับชีวิตคนทั้งคน อยากเรียกร้องให้ สตง. ลงมาดูแลรับผิดชอบพ่อแม่พี่น้องของผู้สูญหาย ให้มาดูแลหน่อยว่าเขากินเขาใช้ยังไงเขาอยู่ยังไง เหตุเกิดแบบนี้ลูกเขาก็ไม่ได้ทำงานแถมยังรับเคราะห์แทนอีก” เธอกล่าว
“ตอนนี้ยังไม่ได้รับการเยียวยาใด ๆ ทั้งสิ้น ต้องรอจนกว่าจะเจอลูกออกมา ถึงจะเริ่มมีการเยียวยา” นี่คือเสียงของแม่ของนักศึกษาฝึกงานวัย 18 ปีที่สูญหายจากเหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ถล่มเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา
เธอเผยว่าต้องปิดร้านขายของชำที่เปิดเพื่อส่งลูกเรียน เพื่อมาเฝ้ารอลูกชายที่ยังติดอยู่ใต้ซากตึก เธอมาพร้อมสามีและลูกสาว อยู่ที่ศูนย์พักพิงใกล้พื้นที่เกิดเหตุโดยไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน “มาอยู่ตรงนี้ก็เครียด เหนื่อย อยากพักเหมือนกัน ไม่มีใครอยากมาอยู่จุดนี้” เธอกล่าว
แม่ของนักศึกษายังเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอาคารที่ถล่มออกมาเปิดใจพูดคุยกับญาติผู้ประสบเหตุ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลทั้งด้านจิตใจและการเยียวยาอย่างเหมาะสม
“ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันน้อยเกินไปไหม ถ้าจะให้เคสละ 100,000 บาท น่าจะคิดใหม่ไม่มีใครพอใจเพราะประเมินค่าชีวิตเราแค่นี้ เขาอาจจะทำงานอีก 20 30 ปีเราก็ไม่รู้ ทุกคนที่มาเฝ้ารอพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่พอใจทางรัฐบาลช่วยที่สุด อยากให้คิดใหม่ นึกถึงคุณค่าของแรงงานไม่ใช่แค่น้องฝึกงาน แต่ทุกคนที่ทำงานให้คิดว่าชีวิตเขามีค่าทุกคน”
เธอเล่าว่า ในส่วนของความช่วยเหลือ มหาวิทยาลัยต้นสังกัดได้ประสานให้หน่วยงานในจังหวัดร้อยเอ็ดและอำเภอเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากลูกชายของเธออยู่ในระหว่างการฝึกงาน ขณะที่บริษัทจีนมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจำนวน 3,000 บาทสำหรับค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายทั่วไป ซึ่งเธอได้รับเนื่องจากไปลงทะเบียนไว้
“แค่ขอให้เห็นใจและเห็นค่าของชีวิตลูกเรากับแรงงานทุกคน ทุกคนที่ทำงานก็มีคุณค่าในชีวิตเหมือนกัน” แม่ของนักศึกษาฝึกงานกล่าว
“มาทำงานวันแรกก็ตึกถล่มเลย หนีตายออกมาเหมือนกัน” ‘ตั๊ก’ แรงงานก่อสร้างหญิงผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์เล่าว่า เธอยังเฝ้าอยู่บริเวณหน้างานพร้อมกับคนงานคนอื่น ๆ ด้วยความหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือที่ชัดเจนจากหน่วยงานหรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง
เธอเล่าว่า ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงตอนนี้ การช่วยเหลือที่ได้รับมีเพียงของใช้จำเป็นเล็กน้อย เช่น หม้อหุงข้าว ข้าวสาร และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยเธอยังไม่ได้รับเงินเยียวยา หรือการติดต่อจากผู้ว่าจ้างหรือบริษัทต้นสังกัดโดยตรง
“อยากให้เจ้าของตึก สตง. หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องออกมารับผิดชอบสักหน่อย ออกมาพูดบ้างว่าจะช่วยเหลือยังไง คนที่รอดออกมาจะมีทางไปยังไงต่อ ตอนนี้ไม่มีใครรู้”
แม้เธอจะรอดชีวิตออกมาได้ แต่สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่คือความกลัวและความไม่แน่นอน โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตที่เริ่มรัดตัวหลังจากไม่ได้ทำงานมาเกือบเดือนแล้ว
“เราต้องกินต้องใช้ ตกงานมาจะเดือนแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรต่อ อยากได้งาน อยากได้ค่ากินอยู่ ถ้ามีใครออกมาพูดสักหน่อยว่าเราจะเดินต่อยังไง ก็ยังดีพอให้เรามีกำลังใจ”
‘ตั๊ก’ เป็นหนึ่งในแรงงานจำนวนมากที่มาทำงานก่อสร้างเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แม้รู้ดีถึงความเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานที่สูง
“ทำงานที่สูงก็กลัวตกลงมาตาย ไม่เห็นหน้าลูกหน้าแม่ ทำงานก่อสร้างเพราะเลือกไม่ได้ ต้องทำ เราต้องเลี้ยงดูครอบครัว”
ชวนขยายเรื่องนี้ต่อ กับคุณสุธาสินี แก้วเหล็กไหล จากมูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน และคุณนิลุบล พงษ์พยอม กลุ่มนายจ้างสีขาว เพื่อเปิดเผยความซับซ้อนของระบบจ้างงานที่ส่งผลต่อการเยียวยา ความไม่เท่าเทียมของสิทธิแรงงานไทย-แรงงานข้ามชาติ รวมถึงบทบาทสำคัญของแรงงานก่อสร้าง และนโยบายที่ควรมีเพื่อช่วยดูแลอนาคตของลูกจ้างแรงงานในภาคการก่อสร้างของไทย
ติดตามได้ในรายการคุณเล่าเราขยาย ตอน เสียงของแรงงานความหวังการเยียวยาใต้ซากตึก สตง. ออกอากาศ 25 เมษายน 2568 เวลา 17.30-18.00 น. ทางไทยพีบีเอส
ชมย้อนหลัง