
ปรากฏการณ์คนแห่กลับบ้านในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เพื่อมาตั้งหลักรอจนโรคระบาดซาแล้วค่อยกลับไปสู้งานต่อ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่คืนถิ่นกลับมาปักฐานประกอบอาชีพในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ขาย ครีเอเตอร์มือใหม่สร้างรายได้ทางออนไลน์ รวมถึงการพึ่งพาทรัพยากรและฐานการผลิตเดิมด้านการเกษตร เช่น ปลูกผัก ผลไม้ และเลี้ยงสัตว์
โดยเฉพาะอาชีพเลี้ยงสัตว์ ประเภทวัวและควาย ซึ่งนอกจากจะมีความผูกพันกับชาวอีสานทั้งในมิติวิถี วัฒนธรรมประเพณี เกษตรกรรม และอาหารท้องถิ่นมาตั้งแต่บรรพกาลแล้ว อาชีพปศุสัตว์เลี้ยงวัว ควาย ยังถือได้ว่าเป็นเศรษฐกิจฐานรากของคนในชุมชน ดังเรามักจะได้ยินคำพูดเปรียบเปรยเชิงหยิกแกมหยอกว่า
“ขายวัวส่งควายเรียน”
![]()
![]()
![]()
หลายคนหอบเงินแสนเงินล้านเพื่อนำมาลงทุนปรับสภาพพื้นที่ ทำโรงเรือน ซื้อพ่อแม่พันธุ์วัว ควาย หรือแม้แต่ซื้อที่ดิน และปลูกหญ้า จนทำให้เกิดกระแสการปั่นราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็สวนทางกับราคาซื้อขายวัวหน้าฟาร์ม เนื่องจากช่วงนั้นมีมาตรการป้องกันและควบคุมโรคระบาด และการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือบุคคล (Social Physical Distancing) ซึ่งส่งผลกระทบให้ร้านอาหารปิดตัวจำนวนมาก และส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทาน (Demand and Supply) ของการแปรรูปเนื้อจากโรงฆ่าสัตว์ก็ลดลงตามไปด้วย
แต่ทั้งนี้ คงไม่มีใครคาดคิดว่าวันหนึ่งราคาวัวควายจะตกต่ำจนเข้าขั้นโคม่าและไม่รู้ว่าวันใดจะฟื้นคืนกลับมา บทความชิ้นนี้ ‘ซาวอีสาน’ มีความภูมิใจที่จะนำพาทุกท่านมาย้อนฟังประสบการณ์จากพ่อใหญ่หนู บุตรศรี หรือ “นายฮ้อยหนู” แห่งบ้านหนองลุมพุก ต.นาม่วง อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี ผู้ที่คร่ำหวอดกับวงการซื้อขายวัวควายมาตั้งแต่สมัยวัยเป็นบ่าวแวง (หนุ่มน้อย) จนปัจจุบันอายุย่างเข้าสู่ 76 ปี เคยผ่านร้อนผ่านหนาวกับอาชีพเลี้ยงวัวควายมากว่า 6 ทศวรรษ ซึ่งในวันที่วัวราคาถูกแต่เนื้อยังคงแพง แต่ชีวิตเมื่อขึ้นหลังวัวแล้วลงไม่ได้
วิถีนายฮ้อย
หากเอ่ยถึง “นายฮ้อย” หรือพ่อค้าขายควาย คนส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่คนอีสานก็อาจจะเคยรู้จักจากตัวละครในเรื่องนายฮ้อยทมิฬ ซึ่งเป็นผลงานบทประพันธ์ในหนังสือของพ่อใหญ่คำพูน บุญทวี (ปี 2471-2546, ได้รับรางวัลซีไรต์เป็นคนแรกของไทยเมื่อปี 2522 จากนวนิยายเรื่อง ลูกอีสาน และได้รับยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปี 2544) โดยมีนายฮ้อยเคนเป็นพระเอกของเรื่อง เนื้อเรื่องได้เล่าถึงบรรยากาศวิถีชีวิตของชาวอีสานสมัยก่อนปี 2500 ช่วงหน้าแล้งกลุ่มนายฮ้อยจะพากันไล่ต้อนควายจาก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร เพื่อมุ่งหน้าไปขายที่เมืองล่าง (ภาคกลางและกรุงเทพฯ) พอค้าขายเสร็จก็นำเงินที่ได้กลับคืนสู่ถิ่นฐาน พร้อมกับซื้อเสื้อผ้า สินค้า และเครื่องใช้ไม้สอยที่แลดูทันสมัยจากเมืองล่างติดไม้ติดมือมาฝากลูกเมียและญาติพี่น้องที่เฝ้ารอคอยนานหลายเดือน จนเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนก็กลับมาทำนากันอีกคำรบ
“เลี้ยงควายกับพ่อมาตั้งแต่สมัยจำความได้ คืออายุ 13 ปี ก่อนสิมาแต่งงานมีครอบครัวอยู่หมู่บ้านนี้ ซึ่งชีวิตกะเฮ็ดไฮ่เฮ็ดนาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายมาตลอด หน้าเฮ็ดนาพ่อกะเอาควายไถนา ผู้แม่เทิงอุ้มลูกเทิงจูงควายเลี้ยงตามคันนา โอ้! ลำบากคัก ทั้งคิดทั้งน้ำตาออกว่า เจ้าของคือพาลูกเมียทุกข์ยากคักแท้กว่าสิมาได้ฮอดทุกมื้อนี้”
นายฮ้อยหนู เริ่มบทสนทนาอย่างดรามา ซึ่งเดิมพื้นเพเป็นคนบ้านหนองตะไก้ ต.หนองไผ่ อ.เมืองอุดรธานี ก่อนจะย้ายมามีครอบครัวอยู่ที่บ้านหนองลุมพุก
สมัยผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ภาคอีสานยังมีพื้นที่ป่าไม้ ป่าโคก ป่าหัวไร่ปลายนา และเป็นที่จับจองจำนวนมาก ซึ่งนอกจากพร้า จอบ เสียม และเลื่อยดึงแล้วก็ไม่มีเครื่องจักรกลใดมาใช้ทุ่นแรงแผ้วถาง พื้นที่จึงเหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์มากกว่าทำการเกษตรอย่างอื่น โดยเฉพาะบริเวณโคกหนองกุง และโคกฮ่องก๊อก (ฮ่อง แปลว่า ร่องน้ำ, ทางน้ำ) คือสถานที่ประจำสำหรับเด็กชายหนูไล่ต้อนฝูงควายปล่อยเข้าไปเลี้ยงเป็นกิจวัตร
เสียงหมากกะโหล่งแขวนคอควายดังก้องกังวานป่าโคกในช่วงหน้าแล้ง ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายเมื่อฤดูฝนมาเยือน เนื่องจากฝูงควายถูกไล่ต้อนกลับบ้าน ส่วนตัวหนุ่มแข็งแรงต้องไปทำหน้าที่คราดไถในเรือกสวนนาไร่ต่อ
หลังเสร็จจากฤดูกาลทำนานายฮ้อยผู้เป็นพ่อและบรรดาญาติพี่น้องนายฮ้อยทั้งหลาย จะพากันออกตระเวนหารับซื้อควายตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งเด็กชายหนูก็มักจะติดสอยห้อยตามไปเป็นลูกมือคอยช่วยไล่ต้อนฝูงควาย ดังนั้น ช่วงนี้เองจึงเสมือนเป็นโรงเรียนเตรียมนายฮ้อย ทำให้เขามีทักษะความชำนาญในการดูแลและควบคุมฝูงควาย รวมทั้งเรียนรู้ลูกล่อลูกชนของการค้าควายด้วย
“ตั้งแต่สมัยพ่อกับพ่อลุงสิไล่ไปขายทางเมืองล่าง เพิ่นบอกว่าเส้นทางมันสิลำบากอยู่แถวปากช่อง โคราช เพราะทางมันเป็นฮ่อง เป็นเขา แล้วกะมักมีผู้ร้ายอ้ายโจรดักปล้นเงินปล้นทอง แต่โตพ่อบ่เคยไปดอกตอนนั้นยังน้อยอยู่เพิ่นบ่ให้ไปนำ”
กระทั่งคืนวันที่ผันผ่านจากบ่าวแวงก็เติบโตกลายเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ เมื่ออายุครบบวชพระแล้วสึกออกมา (21 ปี) นายหนูก็มุ่งมั่นสานต่ออาชีพพ่อค้าควาย จากการสั่งสมความรู้และประสบการณ์ที่ผู้เป็นพ่อถ่ายทอดให้เขาก็ออกตระเวนหารับซื้อควายด้วยตนเอง จนได้รับการอวยยศติดดาวเป็นนายฮ้อยจากวงการค้าควาย เมื่อได้จำนวนตามที่ต้องการแล้วก็ไล่ต้อนฝูงควายเดินเท้าคาราวานไปขายซึ่งจุดมุ่งหมายคือ เมืองอุบลราชธานี
“หลังเอาข้าวขึ้นเล้าแล้วกะเลาะหาซื้อควายไปกับญาติพี่น้องรวมกัน 6 คน ตั้งแต่หนองคาย มาบ้านโพนสวรรค์ ไล่มารวมกันแถวๆ บ้านเหมือดแอ่ บ้านไชยา บ้านน้ำสวย อำเภอสระใคร ได้ควาย 80 กว่าโต คืนที่สองมานอนอยู่ทุ่งหนองแด (กำลังก่อสร้างโครงการพืชสวนโลกอุดรธานี) อ้อมมาทางรอบเมืองอุดร บ้านหนองบุ หนองใส มาฮอดบ้านเซ หยุดพักอีก กะมีคนมาถามขายควายให้อีกกว่า 20 กว่าโต รวมแล้วได้ควาย 100 กว่าโต ไล่ต้อนไปทางห้วยเจ้าหัว เข้าหนองตะไก้มาผูกไว้ที่นาเจ้าของก่อน พักที่นาหนองกุง 1 อาทิตย์”
![]()
![]()
![]()
หลังจากพักเตรียมข้าวของแล้วได้เวลาสมมาพอควรกะออกเดินทางยาวเลยบัดนี้ เข้าบ้านโนนสมบูรณ์ ดงหมากไฟ ไปบ้านเซียบ ไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั้น จนว่าไปพักที่บ้านหัวขัว อำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคามพักอยู่นั่นโดนเป็นเดือน จั่งค่อยออกเดินทางต่อ ซึ่งช่วงนี้กะเริ่มขายออกไปนำ พ้อโตได๋งามกะซื้อเข้ามาเพิ่ม พากันไล่ต้อนไปจนฮอดบ้านก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ยโสธร และตั้งใจสิไปขายที่เมืองอุบล แต่ไปถึงแถวๆ รอบเมืองควายหมดก่อน กะเลยกลับเมือบ้านทันสงกรานต์พอดี” นายฮ้อยหนู ถ่ายทอดเรื่องราวของวิถีนายฮ้อยไล่ต้อนฝูงควายไปขาย
ค้าขายเสร็จสรรพคณะนายฮ้อยก็หอบเงินจำนวน 3-4 แสนบาท นั่งรถโดยสารกลับบ้านอุบล-อุดร โดยนายฮ้อยหนูเป็นคนรับผิดชอบถือเงินก้อนนี้เพื่อนำไปจัดสรรปันส่วน ซึ่งนอกจากนายฮ้อยที่เดินทางไปด้วยกันแล้วก็ยังมีคนที่ฝากควายมาขายด้วย และบางตัวก็เชื่อเอามาก่อนเพราะเงินซื้อขณะนั้นไม่พอ จึงนับว่าอาชีพนายฮ้อยจะต้องมีความซื่อสัตย์และความไว้วางใจต่อกันไม่น้อยถึงจะยืนหยัดอยู่ได้
พอเข้าสู่ยุคสมัยที่เจริญขึ้นมีถนนหนทางทั่วถึง นายฮ้อยต่างก็พากันใช้รถบรรทุก 6 ล้อ ขนวัวควายไปค้าไปขาย ซึ่งใช้เวลาไม่กี่วันแทนการเดินเป็นคาราวานที่ใช้เวลานานหลายเดือน
ในวันที่ราคาวัวถูก เนื้อแพง
ข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ ระบุว่าปี 2563-2564 ราคาซื้อขายวัวหน้าฟาร์มลดลงเหลือ 92-93 บาท/กิโลกรัม ทั้งที่ปี2560 ราคาเคยขึ้นไปแตะ 97 บาท/กิโลกรัม ก่อนราคาจะมาขึ้นอีกครั้งช่วงหลังโควิด-19 เป็น 94 บาท/กิโลกรัม แต่กลับสวนทางกับราคาซื้อขายวัวเลี้ยงซึ่งดำดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพอจะอนุมานได้ว่ามีสาเหตุจากหลายปัจจัย อาทิ
ความผันผวนจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 กล่าวคือ ราคาวัวควายเลี้ยงขึ้นสูงสุดในปี 2562-2564 และราคาตกต่ำลงมาในปี 2565 ซึ่งนับว่าต่ำสุดในรอบ 10 ปี และต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ คาดว่าส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์ของโรคระบาดคลี่คลาย แรงงานกลับเข้าสู่ฐานการผลิตภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการก็กลับเข้าสู่เมือง วัวควายที่ขุนเลี้ยงมานาน 2-3 ปี ถึงเวลาต่างคนก็ต้องการขายออก และเพื่อลดการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่มีขึ้นทุกวัน จึงทำให้ราคาวัวควายเลี้ยงต่ำลงตามอุปสงค์อุปทาน
ปัญหาโรคระบาดในวัวควาย ปี 2564 พบการแพร่ระบาดของโรคลัมปี สกีน ในวัวควาย ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส สัตว์ที่ติดเชื้อจะมีไข้สูง ต่อมน้ำเหลืองโต และมีตุ่มขนาดใหญ่ ประมาณ 2-5 เซนติเมตร ขึ้นที่ผิวหนังทั่วร่างกาย นอกจากนี้ก็จะมีอาการซึม เบื่ออาหาร อาจมีภาวะเป็นหมันชั่วคราวหรือถาวร แท้งลูกและมีปริมาณน้ำนมลดลง และหากรักษาไม่ทันก็มีโอกาสล้มตายลงได้ นอกจากนี้โรคระบาดจากการลักลอบนำเข้าวัวแบบผิดกฎหมาย หรือ “วัวเถื่อน” ซึ่งเป็นพาหะนำโรคมาสู่วัวบ้านเราโดยเฉพาะการระบาดของโรคปาก เท้า เปื่อย ทำให้ไทยไม่สามารถส่งออกวัวได้
กระทั่งล่าสุดในปีนี้ (2568) ก็มีข่าวให้เฝ้าระวังการติดเชื้อโรคแอนแทรกซ์ ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bacillus anthracis ในวัว ซึ่งเป็นโรคติดต่อร้ายแรงและสามารถติดเชื้อจากสัตว์สู่คนได้ หลังจากมีชายที่มุกดาหารเสียชีวิตจากการติดเชื้อโรคดังกล่าว
การพบสารเร่งเนื้อแดงในวัวไทยที่สูงเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งพบว่าสูงถึง 130 เท่า จึงทำให้หลายประเทศ เช่น เวียดนามระงับการนำเข้าวัวเลี้ยงจากไทย เมื่อช่วงปลายปี 2565 แม้ปัจจุบันจะสามารถส่งออกได้ แต่ก็มีข้อจำกัด ระเบียบที่เข้มงวด ส่งออกได้น้อยลง และส่งผลให้ราคาวัวในประเทศตกต่ำจนถึงปัจจุบัน
วิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) จากปัญหาโลกเดือดขึ้นทุกวันได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล อุทกภัย ความแห้งแล้ง และการเสื่อมโทรมของพื้นที่หญ้าเลี้ยงสัตว์ตามธรรมชาติ จากข้อมูลเมื่อปี 2504 ภาคอีสานมีพื้นที่ป่าไม้มากกว่า 43 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 41.99% ของพื้นที่ภูมิภาค แต่ปัจจุบัน (ปี 2567) เหลือประมาณ 15 ล้านไร่ ซึ่งคิดเป็น 14.89% ของพื้นที่ภูมิภาค ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ต้นทุนการเลี้ยงวัวควายสูงขึ้น และลดทอนความสามารถในการพึ่งพาตนเองของเกษตรกร
แม้ว่าปัจจุบัน (เดือนเมษายน 2568) ราคาซื้อขายวัวหน้าฟาร์มจะตกลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 70 บาท/กิโลกรัม ซึ่งส่งผลให้ราคาหน้าเขียงและในตลาดสดลดลงมาบ้างคือ 250-300 บาท/กิโลกรัม หากคิดค่าความผันผันของราคาเนื้อสดจะอยู่ในราว 1,000-2,000 บาท แต่สำหรับราคาซื้อขายวัวเลี้ยงซึ่งเป็นต้นน้ำของกระบวนการผลิตนั้นเรียกว่า อาการน่าเป็นห่วง
“โตนี้มันซื่อบักอาม ถ้าเป็นเมื่อก่อนราคาเหยียบแสน แต่ช่วงต้นเดือนเมษามีพ่อค้ามาเบิ่งให้แค่ 50-60 กว่า (5-6 หมื่นบาท) เท่านั้น พ่อเลี้ยงวัวควายมาแต่หัวเท่ากำปั้นจนปานนี้อายุสิ 76 ปี กะยังบ่เคยพ้อ” นายฮ้อยหนูโอดครวญ
อาชีพที่ไม่มีวันเกษียณ
ช่วงปี 2530 นายฮ้อยหนู มาแต่งงานและเริ่มต้นครอบครัวที่บ้านหนองลุมพุก (เดิมขึ้นกับอำเภอกุมภวาปี) โดยซื้อวัวตัวเมียทั้งหมด 7 ตัว ในราคา 13,000 บาท เอามาเลี้ยงและเป็นต้นทุนหมุนเวียนค้าขายภายในชุมชนเรื่อยมา ด้วยความที่ตนเริ่มต้นกับอาชีพนี้มาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ นอกจากเลี้ยงวัวควายแล้ววิชาชีพอย่างอื่นก็ไม่มีติดตัว หรือเห็นคนอื่นไปทำงานเมืองนอกเมืองนาแล้วร่ำรวยกลับมาก็ไม่เคยคิดที่จะไปเหมือนเขา เพราะมีความผูกพันกับท้องไร่ท้องนาและกลิ่นโคลนสาบควายมากกว่า ซึ่งบางโมเมนต์ความผูกพันกับวัวควายก็เปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัวเลยทีเดียว
กระทั่งวันหนึ่งครอบครัวนายฮ้อยหนูมีวัวมากถึง 30 ตัว ขณะที่ราคาวัวก็แพงขึ้นอย่างมีความหวัง จนมีคำหยอกเย้าแซวกันเล่นว่า “นายฮ้อยหนูพาเงินล้านมาเดินเล่น” และวันที่นายฮ้อยหนูมีความสุขที่สุดก็มาถึง คือวันที่ลูกๆ จบการศึกษาตามความมุ่งหวังวัวที่เคยมีถึง 30 ตัว ขายส่งลูกเรียนเรื่อยมาเหลือเพียง 7 ตัว และก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะวางมือจากเชือกจูงอยู่ทุกวัน
อีกทั้ง การเลี้ยงวัวสมัยใหม่ก็มาพร้อมกับภาระและต้นทุนที่มันเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าสร้างโรงเรือนเพื่อให้ได้มาตรฐาน ค่าซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ตลอดจนน้ำเชื้อผสมเทียม ค่าวัคซีนและยาป้องกันโรค ค่าลงทุนไถพรวน ปลูกหญ้า ค่าซื้อหญ้าเลี้ยงวัวและอาหารเสริมต่างๆ จิปาถะ อันนี้ยังไม่รวมค่าแรงตัวเองด้วยซ้ำ
“ทุกมื้อนี้มันบ่คือเก่า แต่ก่อนหน้าแล้งไล่เข้าโคกแล้วหน้าฝนค่อยไล่ออกมาเทือเดียวกะได้ ทุกมื้อนี้ป่าโคกหรือโนนที่เคยเลี้ยงมันมีเจ้าของหมดแล้ว หาหม่องเลี้ยงยาก พ่อเคยปลูกหญ้าเลี้ยงกะไปบ่รอด พอฮอดหน้าแล้งหญ้าตายหมด ส่วนโรคระบาดกะหลายเสียเงินค่ายาค่าหมอมารักษาอยู่บ่เซา สิไปลงทุนหลายคือคนรุ่นใหม่เขากลับบ้านมาเลี้ยงกะบ่ไหวดอก เทิงว่าเจ้าของเฒ่าแล้ว กะอยากสิเซา”
นายฮ้อยหนูเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงของการทำอาชีพเลี้ยงวัว โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาด คนจำนวนมากต่างกลับมาบ้านแล้วลงทุนเลี้ยงวัวจนทำให้ราคาวัวพุ่งสูงขึ้นอย่างไปเคยเจอมาก่อนในชีวิตตลอดการค้าขายวัวควาย
และแล้วอาชีพเลี้ยงก็วัวไม่ได้ราบเรียบดั่งทุ่งหญ้าแพงโกล่า เมื่อปี 2565 ราคาซื้อขายวัวเลี้ยงหล่นตุ๊บลงมาและตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าคนเลี้ยงวัวรุ่นใหม่หรือนายฮ้อยวัยเก๋าต่างก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน
“เมื่อยล้าว่าสิเซาเลี้ยง แต่พอได้นั่งเบิ่งวัวกินหญ้ามันคือมีความสุขแท้ล่ะ”
หลังกล่าวจบนายฮ้อยหนูก็แบกกระสอบหญ้าใหญ่นำไปป้อนให้บักอาม แล้วนั่งมองมันกินหญ้าด้วยความเอ็นดู
เรื่อง : โดย เดชา คำเบ้าเมือง
ภาพ : มิ่งขวัญ ถือเหมาะ