
“ถ้าบ่มีอดีต ก็บ่มีปัจจุบัน”
เสียงของ อาจารย์สนั่น ธรรมธิ เปล่งออกมาอย่างหนักแน่น แฝงด้วยความหมายลึกซึ้ง เสียงนั้นไม่ใช่เพียงคำพูดธรรมดา แต่เป็นเครื่องเตือนใจถึงคุณค่าของรากเหง้าที่เราทุกคนถือกำเนิดมา หากไร้ซึ่งการจดจำ ไร้ซึ่งเรื่องเล่า เราจะหลงลืมตัวตนของเราหรือไม่? นี่คือสิ่งที่อาจารย์สนั่นอุทิศตนทั้งชีวิต เพื่อให้เรื่องเล่าแห่งล้านนาไม่สูญหายไปกับกาลเวลา
จากใต้ถุนเรือนสู่เวทีแห่งล้านนา
บ้านเรือนล้านนาในอดีตไม่ได้เป็นเพียงที่อยู่อาศัย แต่เป็นเวทีของการถ่ายทอดภูมิปัญญา อาจารย์สนั่นเติบโตขึ้นมาท่ามกลางเสียงเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ “แม่ผมชอบเล่า ตั้งแต่เช้าจนแลง ปลูกข้าว เกี่ยวข้าวไปก็อู้ พอแม่ไปไผก็ไป เพราะฟังแม่เล่าแล้วม่วน” คำพูดของท่านสะท้อนให้เห็นว่าความรู้และความบันเทิงไม่ได้ถูกแยกออกจากกัน แต่ถูกผสมกลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ไม่ใช่เพียงแม่ แต่ครอบครัวของท่านเต็มไปด้วยศิลปินแห่งชีวิต พ่อเป็นนักร้องลิเก ญาติพี่น้องหลายคนเป็นศิลปินพื้นบ้าน นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กชายสนั่นหลงใหลในเรื่องเล่าและเสียงดนตรี จนสร้างให้ท่านมีแรงบันดาลใจ และกลายเป็นหนึ่งในนักเล่าเรื่องล้านนาที่มากประสบการณ์ในทุกวันนี้
เรื่องเล่า : รากเหง้าของสังคมล้านนา
สำหรับอาจารย์สนั่น เรื่องเล่าเป็นมากกว่าคำพูดที่เล่าสู่กันฟัง หากแต่เป็นขุมทรัพย์ทางวัฒนธรรม “เรื่องเล่าพวกนี้มันบ่ได้เป็นแค่ความบันเทิง แต่มันเป็นความฮู้ ของสังคมเฮาเลยเน้อ” ไม่ว่าจะเป็น เรื่องผี ที่สะท้อนคติความเชื่อ ตำนานบ้านตำนานเมือง ที่เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ หรือแม้แต่ นิทานปรัมปรา ที่แฝงคติธรรมและจริยธรรมของคนล้านนา ทุกเรื่องล้วนมีคุณค่า หากเรารู้จักฟังและเข้าใจ
นักเล่าเรื่องที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
อาจารย์สนั่นไม่ได้เป็นเพียงนักสะสมเรื่องเล่า แต่เป็นผู้ฟื้นคืนลมหายใจให้ศิลปวัฒนธรรมล้านนา ท่านศึกษา ภาษาสันสกฤตและบาลี ในกรุงเทพฯ ก่อนจะกลับมาทำงานใน โครงการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานล้านนา ซึ่งทำให้ท่านได้สัมผัสและศึกษาภูมิปัญญาที่ถูกจารึกไว้ในเอกสารโบราณ “ถ้าบ่มีคนอ่าน คัมภีร์พวกนี้ก็บ่ต่างอะไรกับเศษกระดาษเก่า ๆ “
นอกจากงานอนุรักษ์ ท่านยังลงมือปฏิบัติจริง ก่อตั้ง ชุมชนพื้นบ้านล้านนา เพื่อฟื้นฟูการละเล่น ดนตรี ฟ้อนเจิง ฟ้อนดาบ และศิลปะพื้นบ้านที่ใกล้สูญหาย “บ่แม่นแค่เฮียนเพื่อฮู้ แต่เฮียนเพื่อให้มันอยู่ต่อ”
เรื่องเล่าที่ต้องไปต่อ
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ อาจารย์สนั่นมองว่าวิธีการสื่อสารต้องปรับเปลี่ยน “สื่อเปลี่ยนได้ วิธีการเล่าก็เปลี่ยนได้ ขอแค่ว่าเนื้อหามันบ่หายไป” การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง TikTok หรือวิดีโอสั้น ๆ สามารถทำให้เรื่องราวล้านนาส่งต่อถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้น “ขอแค่เฮาฮู้ว่าจะบอกเล่าอย่างใด จับเอาสักเรื่องที่เฮามัก แล้วฮักษามันไว้”
ท่านเชื่อว่าหากคนรุ่นใหม่สามารถนำภูมิปัญญาเก่ามาประยุกต์ใช้กับปัจจุบันได้ เรื่องเล่าเหล่านี้จะไม่สูญหายไปกับกาลเวลา แต่จะกลายเป็นรากฐานที่มั่นคงของอนาคต
เสียงของอดีตที่ยังดังอยู่
อาจารย์สนั่น ธรรมธิ มิได้เป็นเพียงนักวิชาการที่ศึกษาประวัติศาสตร์ แต่เป็น “นักเล่าเรื่อง” ที่ปลุกอดีตให้มีชีวิตอีกครั้ง เสียงของท่านคือเสียงของบรรพชนล้านนาที่สะท้อนผ่านกาลเวลา เป็นเสียงที่รอให้คนรุ่นใหม่มารับฟัง เรียนรู้ และสืบสานต่อไป
“เรื่องเล่าพวกนี้มันบ่ได้ตาย มันอยู่ที่เฮาจะฟังมัน หรือจะปล่อยมันหายไปกับสายลม…”
หากเราฟังให้ลึก ฟังให้เข้าใจ เราอาจพบว่าเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงอดีตที่ถูกเล่า แต่เป็น รากเหง้าที่กำลังเรียกร้องให้เรากลับไปค้นหาและรักษาไว้
ปีมะเส็ง พุทธศักราช 2568 ปีกาบสี – ดับใส้ จุลศักราช 1386-1387 คำนวนโดย อาจารย์สนั่น ธรรมธิ จัดทำและเผยแพร่โดย สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและล้านนาสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่