“ประกันสังคม” หลักประกันในการดำรงชีวิตและความมั่นคงของคนทำงาน ที่ครอบคลุมการคุ้มครองยามเจ็บป่วย การรักษาพยาบาล เสียชีวิต คลอดบุตร ดูแลรายได้ยามว่างงาน และชราภาพ
เป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ มีผู้ประกันตนที่อยู่ในระบบกว่า 24.6 ล้านคน และมีเงินสบทบสะสมตลอดการดำเนินงานมา 34 ปี มากถึง 2.6 ล้านล้านบาท
แต่วันนี้ประกันสังคมกำลังเผชิญทั้งข้อท้าทาย และความเสี่ยงที่อาจทำให้กองทุนประกันสังคมต้องล่มสลาย ภายใน 10 ปี หรืออย่างช้าที่สุดก็ 30 ปี อะไรคือสาเหตุที่ทำให้กองทุนนี้กำลังจะดับสลาย และก่อนจะไปถึงจุดนั้น จะมีวิธีการ หรือข้อเสนอการจัดการอะไรที่จะทำให้กองทุนนี้ยังคงอยู่ได้ แข็งแกร่งขึ้น และมั่นคงกว่าเดิม เพื่อที่จะเป็นหลักประกันให้คนทั้งสังคมได้อยากแท้จริง
เรามาฟังมุมมองและข้อเสนอที่รอบด้านจากตัวแทนภาคประชาชน แรงงานจากกลุ่มอาชีพต่าง ๆ นักเคลื่อนไหวแรงงานที่ต่อสู้เรื่องของประกันสังคม สิทธิประโยชน์ของแรงงาน พร้อมกับตัวแทนนักวิชาการ และบอร์ดประกันสังคม กว่า 40 คน ที่จะมาแก้โจทย์เรื่องนี้ไปพร้อม ๆ กัน
– ขอ 3 คำ ประกันสังคมที่เราอยากเห็น –

พิสุทธิ์ สมุทรโคตา อาชีพไรเดอร์
“อยากเห็นประกันสังคมที่ ถึง ถ้วน ทั่ว เกิดมาเข้าถึงเลย ทำงานก็จ่ายมากขึ้น ได้สวัสดิการเพิ่มขึ้น”


วาสนา ลำดี เครือข่ายสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย
“อยากเห็นประกันสังคม ถ้วนหน้า ทั่วถึง เท่าเทียม อยากเห็นระบบประกันสังคมที่ถ้วนหน้าจริง ๆ เพราะประกันสังคมคือการประกันคนทุกคนในสังคม ไม่ใช่แค่กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง ตอนนี้ยังเป็นความไม่ทั่วถึง ประกันสังคมไม่ควรมี 3 มาตรา เช่น มาตรา 33, 39 และ 40 มันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม”
เสน่ห์ หงษ์ทอง เครือข่ายศูนย์ประสานงานกรรมกร
“ในฐานะที่เคยอยู่ประกันสังคมทุกระดับมาแล้ว อยากเห็นประกันสังคม ถ้วนหน้าคนทุกกลุ่ม เนื่องจากเจตนาประกันสังคมเริ่มต้นด้วยเจตนารมณ์ เพื่อคนทุกกลุ่มทุกสาขาอาชีพ ใช้สิทธิอย่างเท่าเทียมกัน
การถูกแยกกรณี การมีบอร์ดประกันสังคม การวางโครงสร้างที่ซับซ้อนมากขึ้น ผิดเจตนาในอดีตที่เป็นการเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข 7 กรณี เราควรที่จะมีสวัสดิการที่คนทุกกลุ่มเข้าถึง แต่ตอนนี้เป็นการออกแบบโดยคนกลุ่มเดียว เรายังไม่มีส่วนตรงนั้น”
สุจิน รุ่งสว่าง แรงงานนอกระบบ
“อยากเห็นประกันสังคมครอบคลุมคนทุกกลุ่ม ปฏิรูปประกันสังคมให้เป็นสวัสดิการของประเทศไทย เกิดมาคุณต้องมีสวัสดิการด้านประกันสังคม เป็นสวัสดิการที่ควรเป็นพื้นฐานของประชาชนและประเทศไทย เพราะประกันสังคมเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อเราถึงช่วงอายุที่พ้นวัยทำงานแล้ว เราควรที่จะมีบำนาญที่หล่อเลี้ยงชีวิตตัวเองได้โดยไม่เดือดร้อน ไม่ต้องให้ลูกพาไปทิ้งไว้ที่วัด หรือตามป้ายรถเมล์ควรจะอยู่แบบมีศักดิ์ศรีและมีสวัสดิการที่หล่อเลี้ยงชีวิตตัวเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
อีกอย่างที่อยากเห็นคือ การปฏิรูปประกันสังคมในฐานะที่เป็นแรงงานนอกระบบ แล้วก็อาชีพอิสระ ปัจจุบันประกันสังคมอยู่ใน พ.ร.บ.ประกันสังคมเหมือนกัน ทั้งแรงงานในระบบและนอกระบบ แต่นอกระบบโดนเลือกปฏิบัติ
ตอนนี้ประกันสังคม มาตรา 40 แบ่งคนออกเป็น 3 กลุ่ม คนจน คนปานกลางและคนรวยอยู่ในมาตราเดียวกัน แต่ได้รับสิทธิประโยชน์ไม่เท่ากัน ถ้าปฏิรูปให้เหลือประกันสังคม อยากให้เหลือแค่คนทำงานในระบบกับอาชีพอิสระอยู่แค่ 2 มาตราได้ไหม ในเมื่อเราปฏิรูปแล้ว พ.ร.บ.ประกันสังคม ควรจะทำให้เท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำให้เป็นจริง และขอให้ออกมาจากการบริหารจัดการของหน่วยงานรัฐ ถ้ายังอยู่ในการบริหารจัดการของหน่วยงานรัฐมันมีช่องว่างเยอะ และมีตัวคูณตัวหารเยอะ เราอยากเห็นการเป็นอิสระและคนที่จะเข้ามาสู่โครงสร้างของการบริหารจัดการให้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่มาจากการแต่งตั้ง เราอยากเห็นโครงสร้างนี้มาจากความโปร่งใสและมีตัวแทนจากหลาย ๆ กลุ่มที่เข้ามาอยู่ในโครงสร้างนี้ เพื่อช่วยกันบริหารจัดการประกันสังคมให้มีความยั่งยืน”
ชลิต รัษฐปานะ เครือข่ายประกันสังคมก้าวหน้า
“อยากเห็นประกันสังคมถ้วนหน้า พื้นฐานของมันควรจะเป็นหลังพิงของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะยากดีมีจน เพราะมันเป็นการเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข 7 กรณีต้องดูแลดีกว่านี้ กรณีอย่างเงินบำนาญหลายคนบอกว่ามันช่วยค่าใช้จ่าย แต่สุดท้ายหลายคนก็ยังต้องเพิ่งลูกหลานหรือว่าญาติอยู่ ซึ่งไม่ควรจะเป็นแบบนี้ รัฐควรจะต้องเข้ามาดูแลตั้งแต่เราเกิดจนตาย ต้องทำให้การเป็นรัฐสวัสดิการ เป็นพื้นฐานที่ทุกคนเกิดมาจะต้องมีการดูแลเลย ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแยก เพราะปัจจุบันมันแยกตามอาชีพค่อนข้างชัดเจนมาก ๆ
กระทั่งการบริหารของประกันสังคม หลายครั้งเวลาเราจะดูแลในอนุกรรมการต่าง ๆ ยังมีข้อโต้แย้งว่า ในสัดส่วนของนายจ้าง และส่วนของผู้ประกันตนจะต้องแบ่งเป็นมาตราต่าง ๆ ให้ครบ ไม่ใช่ว่าคนที่อยู่ในมาตรา 33 จะดูแลใส่ใจแต่คนมาตรา 33 คนที่อยู่ในมาตรานี้ก็สามารถดูแลใส่ใจคนมาตราอื่นได้
เพราะสุดท้ายปัญหาของแรงงานจะไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้น ค่าครองชีพ การงาน ความมั่นคงต่าง ๆ ดังนั้นจะต้องมีการปฏิรูปครั้งใหญ่ เพื่อเป็นพื้นฐานตรงนี้จริงๆให้ได้ทั่วประเทศไทย”
ศุกาญจน์ตา สุขไผ่ตา มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา
“บอกว่าประกันสังคมจะต้องง่าย เท่าเทียม มั่นคง
ง่าย หมายความว่า ทุกชาติ ทุกภาษาที่อยู่ในแผ่นดินนี้ จะต้องเข้าถึงง่ายเพราะปัจจุบันเราจะพบว่าพี่น้องแรงงานข้ามชาติหรือกลุ่มเปราะบางบางกลุ่มไม่รู้จักประกันสังคม ทำอย่างไรจะให้เขาเข้าถึงง่ายด้วยตัวเอง
เท่าเทียม แรงงานข้ามชาติ หรือกลุ่มเปราะบางกลุ่มยังถูกเลือกปฏิบัติ เงื่อนไขในการจ่าย 7 กรณีกับแรงงานข้ามชาติมีเงื่อนไขยุ่งยากในการประสานการเข้าถึงสิทธิ์ ทำอย่างไรให้เท่าเทียมกับคนไทย ยกตัวอย่างการรับรองการมีอยู่ของลูกแรงงานข้ามชาติ พอถึงสิ้นปีต้องไปหาหนังสือเอกสารรับรองมากมายว่าเด็กยังไม่เสียชีวิตถึงจะมารับสงเคราะห์บุตรต่อได้ ต้องมีความเท่าเทียมเพราะคนไทยยังไม่เห็นต้องมารับรองว่าลูกยังไม่เสียชีวิต
สุดท้ายประกันสังคมต้องมีความมั่นคงและเป็นที่พึ่งได้ สำหรับคนทำงานทุกสาขาอาชีพในแผ่นดินนี้”
พรลดา เถาลัดดา ตัวแทนเพจขอคืนไม่ใช่ขอทาน เสริมต่อว่า
“สิทธิประโยชน์ของแรงงานข้ามชาติที่ไม่เท่าเทียมกับคนไทย อย่างเรื่องของประกันว่างงานคนไทยมีสิทธิ์ใช้ประกันว่างงาน ถ้าลาออกได้รับ 30% ถ้าถูกเลิกจ้างจะได้ 50% ต่อเดือน
แต่แรงงานข้ามชาติจะใช้เต็มที่ได้แค่ 2 เดือน เพราะมีเงื่อนไขว่าเมื่อออกจากนายจ้างที่ 1 จะต้องหานายจ้างให้ได้ภายใน 60 วัน เท่ากับว่า แทบจะไม่ได้ใช้สิทธิ์ประกันการว่างงานตรงนี้เลย”
บูรณ์ อารยพล เพจขอคืนไม่ใช่ขอทาน
“แรงงานข้ามชาติมักจะถูกมองว่ามาใช้สิทธิ์ประกันสังคมมากกว่าคนไทย แต่หลายๆสิทธิ์เช่นกัน การว่างานมีข้อกฎหมายที่คัดแย้งกัน จะต้องบูรณาการมากกว่าตัวประกันสังคม โดยเฉพาะพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับแรงงานกรมการจัดหางานกฎหมายขัดแย้งกับสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนในเรื่องของการแจ้งว่างงานหรือแม้แต่เพื่อนบ้านที่มาทางฝั่งตะวันตก คนมอญ คนกะเหรี่ยง เขาไม่มีทะเบียนสมรส แต่ประกันสังคมเขียนกฎมากมาย จะพาไปสถานทูต เขาก็ไม่ติดต่อกับสถานทูตเมียนมา ดังนั้นที่บอกว่าต้องเท่าเทียมตัวประกันสังคมจะต้องเอื้ออำนวยให้ทุกอย่างเท่าเทียมกัน
หวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระเบียบกฎกระทรวงให้มีความทันสมัยกับผู้คนมากขึ้น อนาคตของประเทศไทยขึ้นอยู่กับคนกลุ่มนี้ ในอนาคตคนไทยอาจจะเข้าประกันสังคมน้อยมาก อาจจะต้องวางแผนหรือออกกฎระเบียบที่ทุกคนจะเข้าสิทธิ์ประกันสังคมได้ง่ายกว่าปัจจุบัน”
อภิวัฒน์ กวางแก้ว สภาองค์กรผู้บริโภคและชมรมผู้พิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน
“30 กว่าปี ที่มีประกันสังคมเกิดขึ้นในประเทศไทย ถึงเวลาที่จะต้องปฏิรูป เราอยากเห็นประกันสังคมยั่งยืน ขณะเดียวกันอยากเห็นประกันสังคมมีความเป็นธรรม และเราอยากเห็นการมีส่วนร่วมของผู้ประกันตนและผู้กำหนดนโยบายภายใต้สัดส่วนที่เท่าเทียมกัน เราอยากเห็นการมีส่วนร่วมจริงจังที่ไม่ใช่แค่มีสัดส่วนเท่ากัน แต่ไม่มีความเป็นธรรมอยู่ในนั้น
ที่สำคัญอีกอย่างเราอยากเห็น การลดความเหลื่อมล้ำ ประกันสังคมมี ผู้ประกันตนกว่า 10 ล้านคนที่อยู่ในประเทศนี้ ต้องไม่ถูกเลือกปฏิบัติ มีหลายอันที่เราถูกเลือกปฏิบัติ เราถูกกระบวนการทางกฎหมายที่มีในอดีต ซึ่งมันเคยดี แต่ไม่เคยปฏิรูป ไม่เคยถูกพัฒนาที่ผ่านการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังเลยทำให้เราอยู่ในภาวะสถานการณ์ที่มีความไม่เท่าเทียมด้วยตัวของมันเอง
ดังนั้นสำคัญที่สุดคือพวกเราทุกคนอยากให้คนที่อยู่ในประกันสังคมเห็นเป้าหมายไปสู่ทางเดียวกัน เพื่อปฏิรูปประกันสังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืนต่อไป”
ธนาพร วิจันทร์ ประกันสังคมก้าวหน้า
“มองว่าประกันสังคมจะต้องปฏิรูป สิ่งที่ทุกคนพูดทั้งหมดวันนี้ ถ้าไม่มีการปฏิรูประบบประกันสังคมออกจากราชการ คุณจะแก้ไขกี่ชาติก็ไม่สามารถแก้ไขได้
และอย่างที่มีการบอกว่า ขอคืน ขอกู้ อาจจะต้องมาวิเคราะห์ว่า จริง ๆ แล้วหลักของประกันสังคม คือ การเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข เราอาจจะต้องยึดหลักการของประกันสังคม แต่ในช่วงสถานการณ์ใด ๆ ถ้ามันเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดวิกฤตกับผู้ประกันตน อาจจะต้องมีระบบที่ง่าย รวดเร็วที่จะตอบสนองกับผู้ประกันตนที่อยู่ในระบบประกันสังคม
ดังนั้นการปฏิรูปประกันสังคม คือ ต้องออกจากระบบราชการ เพราะตอนนี้ไม่โปร่งใสและไม่สามารถตรวจสอบได้ เราพยายามที่จะตรวจสอบ แต่วันนี้ระบบราชการพยายามจะไม่ให้เราตรวจสอบ ผู้ประกันตนต้องมีส่วนร่วม เราอยากจะรู้ว่าเงินของเราไปอยู่ไหน ไม่ใช่ว่าทุกอย่างเป็นความลับหมด อันนี้คือสิ่งที่เราจะต้องไปปฏิรูปให้ออกจากระบบราชการ”
สำเร็จ มูระคา เครือข่ายแรงงานนอกระบบ กรุงเทพมหานคร
“ผมมีอาชีพขับแท็กซี่ ผมยังอยู่ในมาตรา 40 แต่ข้อมูลภายในแทบไม่รู้เรื่อง ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ไม่ถึงประชาชน
มีที่มาหาเรา คือ มาทวงเอาเงินที่เราค้างชำระ แต่ข้อมูลอื่น ๆ ที่บริหารจัดการภายในเราไม่เคยทราบเลย ทั้งที่เป็นเงินของพวกเรา ผู้บริหารประกันสังคมไม่ว่าจะระดับไหนต้องฟังเสียงประชาชนให้เยอะ ๆ ผมมองว่า ประกันสังคมต้องจริงใจโปร่งใสจริง ๆ ความเท่าเทียมจึงจะเกิดขึ้น”
สมบุญ ศรีคำดอกแค จากสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย
“เราสนับสนุนเรื่องกลับแต่รูปให้เป็นองค์กรอิสระเป็นข้อเรียกร้องของแรงงานสมานฉันท์หลาย 10 ปีถ้าเกิดเราปฏิรูปเราอยากให้รัฐคืนเงินให้กับประกันสังคมเพราะตอนนี้รัฐยืมเงินไปกว่า 6 แสนล้านบาท
ส่วนเรื่องของการดูแลด้านสุขภาพ เราได้รับการร้องเรียนจากคนงานที่เป็นโรคมะเร็ง เขาต้องการที่จะได้รับเงินทุพพลภาพ ยังจัดการไม่ได้ คนป่วยเป็นมะเร็งเสียชีวิตก่อนทุกครั้ง ถ้าเป็นองค์กรอิสระก็อาจจะทันสมัยและดีกว่านี้”
นิลุบล กลุ่มนายจ้างสีขาว
“อยากให้ประกันสังคมเป็นกึ่งเอกชน ถ้าตอนนี้รัฐบาลทำหรือคิดอยู่ฝ่ายเดียวไม่มีเอกชน หรือคนที่มีความชำนาญ หรือมีความเก่งเรื่องของการลงทุนต่าง ๆ แล้วให้ภาครัฐผูกขาดแต่เพียงฝ่ายเดียว เราจะได้การทำงานหรือความคิดในมุมของภาครัฐเท่านั้น อันนี้ไม่ได้ดูถูกเรื่องความสามารถ แต่เราเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น 3 เรื่องหลัก ๆ
- เรื่องของการขึ้นทะเบียน ถ้าเป็นของคนไทยใช้บัตรประชาชนใบเดียวถ้าเป็นของแรงงานข้ามชาติ การขึ้นทะเบียนของเขาผ่านกระทรวงเดียวกัน กระทรวงแรงงาน แต่ข้อมูลและฐานข้อมูลเขายังไม่ลิงก์กันข้อมูลเอกสารต่าง ๆ ทางกระทรวงแรงงานยังต้องให้พึ่งพาหน่วยงานอื่น ๆ เช่นตัว CI ข้อมูลของแรงงานไม่ตรงกัน ต้องไปพึ่งสถานทูต ไปใช้ตัวหนังสือรับรองต่าง ๆ รวมถึงไปใช้ตัวเอกสารคล้ายกับทะเบียนราษฎร์ของบ้านเรา อันนี้เป็นหลายปัญหาของการขึ้นทะเบียน ทำให้ตัวแรงงานเวลาจะขึ้นทะเบียนกับตัวนายจ้างที่ไม่ได้เข้าใจปัญหา มันยิ่งซับซ้อนยิ่งยาก กระทรวงเดียวกันควรที่จะ link ไปที่เดียวกัน แล้วขึ้นออโต้ไปเลย ถ้าเกิดว่าเป็นเอกชนเขาน่าจะทำอะไรให้มันง่ายขึ้น
- เรื่องของการใช้สิทธิต่าง ๆ การคลอดบุตร การว่างงาน หรือเวลาที่เราเจ็บป่วยฉุกเฉิน ถ้าคุณหมอไม่ลงว่าเป็นฉุกเฉิน เราไม่สามารถที่จะใช้โรงพยาบาลนั้นได้ ก็ต้องมีการสำรองเงินไปก่อน ทุกคนใช้คำว่ากฎหมายทาสของประกันสังคม เวลาเก็บเงินว่องไว แต่เวลาใช้หรือเคลมสิทธิค่อนข้างที่จะยาก เหมือนเราเป็นขอทาน เพราะฉะนั้นในการใช้สิทธิ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการว่างงาน หรือคลอดบุตรต่าง ๆ กว่าจะเครมสิทธิได้ใช้เวลาเป็นเดือน
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการทำประกันสังคม มีการเอาโรงพยาบาลเอกชนเข้ามาสร้างความสับสนให้กับตัวนายจ้างทำให้นายจ้างไม่ได้ไปขึ้นประกันสังคมคิดว่าการใช้ประกันของโรงพยาบาลเอกชนมันครอบคลุมเพียงพอแล้ว แต่นายจ้างไม่ได้ทราบเรื่องข้อกฎหมายว่ามีโทษจำคุก หากเกิดเหตุขึ้นจะมีการเลือกถ้าปรับย้อนหลังทบต้นทบดอก ยิ่งกว่าสรรพากรและยังมีเรื่องของโทษจำคุกอีก 6 เดือนหากเกิดเรื่อง
3. กรณี ตึกสตงถล่ม ปัจจุบันถ้าตึกไม่ถล่มทายาทของกลุ่มผู้ใช้แรงงานข้ามชาติก็เครมยากอยู่แล้ว หาคนที่รับผลประโยชน์ของทายาทยากล่าสุดที่เราเจอ คือ หาตัวทายาทมารับยาก และประกันสังคมยังใช้แค่วิธีการโอนหรือว่าจ่ายเป็นเช็คเท่านั้น ซึ่งเป็นปัญหา เพราะแรงงานขึ้นทะเบียนได้แค่เอกสาร A4 และ 2 ปีกว่าแล้ว กระทรวงแรงงานยังไม่สามารถขึ้นทะเบียนใบอนุญาตทำงานได้ ดังนั้นวิธีการเครมสิทธิ หรือรับสิทธิของเขาจะไม่สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้”
– ทำความเข้าใจการประกันสังคมของไทย กับความเสี่ยงที่อาจทำให้กองทุนล้มสลาย –
ประชากรในประเทศไทย 65.95 ล้านคน มีคนที่อยู่ในกำลังแรงงานหรือผู้ที่พร้อมจะร่วมขับเคลื่อนประเทศ 40.77 ล้านคน
และสิ่งที่รัฐจัดตั้งให้เป็นสวัสดิการสังคมให้คนทำงาน เพื่อคุ้มครองชีวิต ความเป็นอยู่ และรายได้ คือ “ประกันสังคม” ที่มีลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาลเป็นผู้ร่วมจ่าย
การประกันสังคมคืออะไร
การประกันสังคม เป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นสวัสดิการสังคม เพื่อความมั่นคง และคุ้มครองประชาชนที่มีรายได้ประจำ หากได้รับผลกระทบต่อความเป็นอยู่ และรายได้ เช่น บาดเจ็บ ว่างงาน หรือแม้แต่เสียชีวิต
แบ่งออกเป็น 8 ประเภท ได้แก่
ประกันความเจ็บป่วย หรือประสบอันตรายที่มิใช่จากการทำงาน ประกันการคลอดบุตร ประกันทุพพลภาพ ประกันการตาย ประกันชราภาพ ประกันการสงเคราะห์บุตร ประกันการว่างงาน และประกันการเจ็บป่วยหรือประสบอันตรายที่เกิดจากการทำงาน
ซึ่งแต่ละประเทศ ได้นำระบบประกันสังคมเข้ามาใช้ โดยดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป จนขยายขอบเขตการประกันที่ครอบคลุมทุกรูปแบบ
กว่า 7 ทศวรรษ ของการประกันสังคมในประเทศไทย เราผ่านอะไรมาบ้าง
การประกันสังคมของไทย เริ่มต้นตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2495 สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ที่มีนโยบาย ต้องการให้ประชาชน มีหลักประกันทางสังคมที่มั่นคง มีการเสนอร่างกฎหมายกองทุนเงินทดแทน โดยตราเป็น พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2497 มีสาระสำคัญ ดังนี้
ให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนที่มีอายุ 16 ถึง 60 ปี มีรายได้ประจำเดือนละ 500 บาทขึ้นไป ยกเว้นราชการ
ประโยชน์ทดแทน หรือ ประโยชน์สงเคราะห์ 6 ประเภท คือ คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร เจ็บป่วย พิการหรือทุพพลภาพ ชราภาพ และณาปนกิจ
มีเงินสมทบ กำหนดในอัตราที่แตกต่างกัน ระหว่างคนงาน ชาย และ หญิง ตามกลุ่มรายได้ โดยอัตราส่วนของการส่งเงินสบทบของลูกจ้างจะจ่ายมากกว่านายจ้าง และนายจ้างจะจ่ายมากกว่ารัฐบาล แต่มีการคัดค้านอย่างรุนแรง จากหลายฝ่าย ทำให้ต้องระงับใช้ไป
➢ต่อมา ในปี 2507 ถึง 2508 ในรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ก็มีการปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2497 แต่คณะรัฐมนตรี มีมติให้งดการตราพระราชบัญญัติประกันสังคม เพราะลูกจ้างและนายจ้างส่วนใหญ่ยังไม่พร้อม ต่อมา มีนักวิชาการ เสนอให้นำกองทุนเงินทดแทนเข้าไปไว้ในกฎหมายแรงงาน
➢กองทุนเงินทดแทน จึงเกิดขึ้นในปี 2515 ดำเนินการบริหาร ภายใต้สำนักงานกองทุนเงินทดแทน กรมแรงงาน เริ่มจากการให้ความคุ้มครองสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 20 คน ขึ้นไป ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเรียกเก็บเงินเฉพาะนายจ้างในอัตราร้อยละ 0.2 ถึง 4.5 ตามประเภทกิจการของนายจ้าง
➢ปี 2518 การประกันสังคม ได้ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง ตามข้อเสนอของกรมประชาสงเคราะห์ และ มีการจัดตั้งคณะกรรมการประกันสังคม
➢ต้นปี 2522 คณะกรรมการประกันสังคม เสนอผลการพิจารณา และร่างพระราชบัญญัติประกันสังคมที่แก้ไขใหม่ โดยเห็นว่า การประกันสังคม ควรเริ่มด้วยโครงการสุขภาพ เช่น เรื่องการเจ็บป่วย คลอดบุตร แล้วค่อยขยายไปสู่เรื่องชราภาพ ทุพพลภาพ และว่างงาน
ส่วนเงินสมทบก็ให้เก็บจากนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล รวมกันให้ได้ร้อยละ 4.5 ของรายได้เฉลี่ยของลูกจ้าง เริ่มต้นในเขตกรุงเทพมหานคร และ 5 จังหวัดใกล้เคียง ในสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 20 คนขึ้นไป แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจ โดยรอให้รัฐบาลชุดต่อไปเป็นผู้พิจารณา
➢ธันวาคม 2523 รัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีมติ รับหลักการประกันสังคม
➢ปี 2527 ระหว่างการปรับปรุง แก้ไข พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2497 ก็มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเกิดขึ้น เป็นกองทุนสมัครใจ ที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้ง เพื่อสำรองไว้ให้ลูกจ้าง ได้รับเงินจำนวนหนึ่งเมื่อออกจากงาน
➢ปี 2528 ได้ขยายความคุ้มครอง ของกองทุนเงินทดแทนออกไป จนครบทุกจังหวัด ทั่วประเทศ
➢ปี 2530 พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 ถือกำเนิดขึ้น ท่ามกลางข้อท้วงติงเรื่องขอบเขต ที่แคบเกินไป
➢ปี 2532 มีการเสนอร่างกฎหมาย เกี่ยวกับประกันสังคม รวม 6 ฉบับ และผ่านหมดทุกฉบับ
➢วันที่ 2 กันยายน 2533 กองทุนประกันสังคม จึงเกิดขึ้น พร้อมกับ พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย เป็นประกันรูปแบบบังคับจ่าย สำหรับพนักงานภาคเอกชน เริ่มจากการให้ความคุ้มครองกับสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป ถัดมาอีก 3 ปี ก็ขยายความคุ้มครองไปยังสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 10 คนขึ้นไป และโอนย้ายมาดำเนินงาน ภายใต้กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
➢ปี 2537 มีการเพิ่มรูปแบบ การให้บริการประกันสังคม เป็นรูปแบบสมัครใจ สำหรับบุคคลที่ไม่ใช่ลูกจ้าง
➢ปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้ง ส่งผลให้อัตราเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน ถูกจัดเก็บ แบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากอัตราร้อยละ 1 ของค่าจ้างของผู้ประกันตน
➢ปี 2542 มีการพัฒนากฎหมาย อนุญาตให้คนทำงานอิสระ ได้เข้าร่วมระบบประกันสังคม
➢ปี 2545 ครอบคลุมไปยังสถานประกอบการ ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
➢ปี 2547 มีการขยายสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณี ที่ 7 คือ ว่างงาน
➢ปี 2550 เพิ่มเงินค่าคลอดบุตร เป็น 12,000 บาทต่อการคลอด 1 ครั้ง สามารถหยุดงานชั่วคราว เมื่อเกิดอุบัติเหตุ และออกแบบระบบให้มีความยั่งยืนทางการเงินมากขึ้น
➢ปี 2552 วิกฤตเศรษฐกิจโลก หรือ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เนื่องจากการล้มของธนาคารในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มีการลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เหลือเพียง ร้อยละ 3 ตั้งแต่ เดือนกรกฎาคม ถึง ธันวาคม 2552 เพื่อลดค่าครองชีพและบรรเทาปัญหาการเลิกจ้าง
➢ปี 2558 มีการปฏิวัติระบบการให้บริการของสำนักงานประกันสังคม โดยนำเทคโนโลยี เข้ามาใช้
➢ปี 2561 มีการปรับอัตราเงินสมทบของผู้ประกันตน ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง และพิจารณา สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น ขยายการคุ้มครอง สำหรับกรณีที่ผู้ประกันตน ต้องการรักษาพยาบาลจากโรคที่มีความเสี่ยงสูง
➢ปี 2565 มีการปรับลดอัตราเงินสบทบชั่วคราวเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อช่วยบรรเทาภาระของนายจ้าง จากสภาวะเศรษฐกิจ และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ
กองทุนประกันสังคม มีสิทธิประโยชน์และความคุ้มครอง 7 กรณี คือ ประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยคลอดบุตร ทุพพลภาพ สงเคราะห์บุตร ว่างงาน ชราภาพ และ เสียชีวิต
การบริหารเงินของกองทุนประกันสังคม
เงินที่จ่ายเข้าประกันสังคม จะแบ่งเป็น เงินที่ต้องจ่าย เพื่อสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตน ความคุ้มครอง เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าคลอดบุตร เงินบำนาญชราภาพ เงินชดเชยว่างงาน เงินค่าทำศพ เป็นต้น
อีกส่วนหนึ่ง จะเป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้น อสังหาริมทรัพย์ เงินฝากธนาคาร กองทุนรวม เป็นต้น
กองทุนประกันสังคมมีรายได้จากไหน
กองทุนประกันสังคมมีรายรับ หลักๆ จาก 3 แหล่ง คือ เงินสมทบ ผลตอบแทนจากการลงทุน และรายได้อื่นๆ ขณะที่ รายจ่าย มี 3 ส่วน หลัก ๆ คือ การจ่ายประโยชน์ทดแทน ค่าบริหารสำนักงาน และรายจ่ายอื่น ๆ
มีข้อมูล ระบุว่า งบประมาณ ประกันสังคม มีเงินเข้า ปีละ ประมาณ 200,000 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่าย ปีละ 5,000 ล้านบาท
หากย้อนนับไปตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน นาน 34 ปี กองทุนประกันสังคม มีเงินสมทบ สะสม กว่า 2.6 ล้านล้านบาท ที่ผ่านมาจ่ายสิทธิประโยชน์ กองทุนประกันสังคม 7 กรณี ให้กับผู้ประกันตนไปแล้ว จำนวน 112,829.93 ล้านบาท
กองทุนประกันสังคมมีจำนวนผู้ประกันตนอยู่เท่าไหร่ ?
ข้อมูล ล่าสุด เมื่อเดือน ก.พ. 2568 จากสำนักงานประกันสังคม มีผู้ประกันตน ทั้งหมด 24,776,234 ราย แบ่งเป็น
- ผู้ประกันตน มาตรา 33 จำนวน 12,057,371 ราย
- มาตรา 39 จำนวน 1,707,832 ราย
- มาตรา 40 จำนวน 11,011,031 ราย
นี่คือจำนวนตัวเลขที่สำนักงานประกันสังคมได้มีการเปิดเผยออกมาสู่สาธารณะ แต่ในความเป็นจริงนั้น รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี บอกกับเราว่า จำนวนผู้ประกันตนที่แท้จริง ที่ยังคงส่งเงินสมทบอยู่ในวันนี้ โดยเฉพาะผู้ประกันตนมาตรา 40 มีอยู่เพียงแค่ประมาณ 1 ล้านคนเท่านั้น
ข้อท้าทายที่อาจทำให้กองทุนประกันสังคมล่มสลาย
แม้กองทุนประกันสังคม จะเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แต่กลับมีข่าวว่า มีความเสี่ยงที่จะล้มละลาย ภายใน 10 ปี หรืออย่างช้าที่สุดก็ภายใน 30 ปี
ปัจจัยอะไรที่ทำให้ มีการคาดการณ์เช่นนั้น คือ รายได้ลด รายจ่ายเพิ่มขึ้น ตามการคำนวณคณิตศาสตร์ประกันภัย กองทุนฯ จะเป็น 0 บาท ภายในเวลา 26 ปี เนื่องจากประเทศไทย จะเข้าสู่สังคมสูงวัย ระดับสุดยอด ภายใน 10 ปี ทำให้ ประชากรวัยแรงงาน จะลดลงกว่า 3 ล้านคน ในทุก ๆ 10 ปี จำนวนกำลังแรงงานที่อยู่ในระบบจะลดลง ทำให้รายจ่ายกองทุนเพิ่มมากขึ้น แต่รายรับกลับลดลง ขณะที่ กลุ่มคนวัยเกษียณ หรือ หลังอายุ 60 ปี จะกลายเป็นโจทย์สำคัญ เนื่องจาก มีแนวโน้ม จะพึ่งพาเบี้ยยังชีพสูงขึ้น
ขณะที่ ข้อมูล เมื่อเดือนมกราคม 2568 จำนวนประชากรไทย มีทั้งหมด 65,951,210 คน ในจำนวนนี้ เป็นผู้ที่มีงานทำ 40,039,541 คน เป็นแรงงานในระบบ 18,950,185 คน แรงงาน นอกระบบ 21,089,356 คน
ซึ่งแนวโน้มของแรงงานในระบบ และนอกระบบ ในช่วงปี 2563 ถึง 2567 พบว่า แรงงานในระบบ มีแนวโน้มลดลง ขณะที่ แรงงานนอกระบบ ที่ยังขาดหลักประกันทางสังคม มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงลักษณะการจ้างงาน และการเกิดขึ้นของรูปแบบแรงงานนอกระบบ เช่น แรงงานแพลตฟอร์ม ไรเดอร์ รวมถึงสัดส่วนการจ่ายเงินสบทบของประเทศไทย ที่ถือว่าต่ำ กว่าประเทศอื่น ๆ
อีกปัจจัย ที่ส่งผลต่อกองทุนประกันสังคม คือ การบริหารจัดการเงินงบประมาณไม่เหมาะสมข้อมูลนี้ เปิดเผย โดย น.ส.รักชนก ศรีนอก สส. พรรคประชาชน ที่โพสต์ข้อมูลเชิงตั้งคำถาม ผ่านทางเฟซบุ๊ก ในประเด็นต่อไปนี้
❒ ทริปดูงานต่างประเทศ งบประมาณ 2.2 ล้านบาท มี 2 คน จาก 10 ผู้ร่วมเดินทาง เบิกค่าบัตรโดยสารชั้นเฟิร์สต์คลาส เบิกค่าที่พักระดับ 5 ดาว
❒ รายจ่ายประกันสังคม จาก 4,000 ล้านบาท ในปี 2563 เป็น 6,614 ล้านบาท ในปี 2566 พบว่า ในช่วงปี 2563-2564 มีงบยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด จาก 965 ล้านบาท เป็น 2,000 ล้านบาท
❒ งบประมาณสายด่วน 1506 ระบุว่า มีค่าใช้จ่าย 100 ล้านบาท ทุกปี เป็นค่าเช่าสถานที่ 50 ล้านบาท แต่การติดต่อสายด่วนนั้น ต้องใช้เวลารอนาน
❒ งบอบรมสัมมนา ซึ่งอบรมหัวข้อเดิม กับคนกลุ่มเดิมติดต่อกันหลายปี ซึ่งบางโครงการซ้ำซ้อน และถูกตั้งคำถาม ถึงความจำเป็น รวมถึงวิธีการวัดผลสัมฤทธิ์ จากการอบรม
❒ งบประชาสัมพันธ์ 336 ล้านบาท ในปี 2567 ซึ่งมีการเบิกจ่ายพอ ๆ กันทุกปี แต่การประชาสัมพันธ์ ยังเข้าไม่ถึงคน กทม. และยังเข้าใจยาก สำหรับคนรุ่นใหม่
❒ งบจัดทำปฏิทินประกันสังคม ปีละ 50 ถึง 70 ล้านบาท ช่วงปี 2559 – 2567 โดยใช้วิธีอื่น ๆ ในการจัดซื้อจัดจ้าง มากกว่าใช้วิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding)
❒ งบโครงการพัฒนาแอปพลิเคชัน SSO+ 276 ล้านบาทที่ข้อมูลจาก ACTAI พบว่าการจัดซื้อจัดจ้างมีความผิดปกติในการเสนอราคา ขณะที่ผู้ใช้บริการให้คะแนนเพียง 1.5
นอกจากนี้ ประกันสังคม ยังถูกตั้งคำถามถึงเรื่องสิทธิประโยชน์ ที่น้อยกว่าบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง ทำให้มีเสียงเรียกร้อง ว่า ควรล้มเลิกประกันสังคม และไปใช้ประกันสุขภาพถ้วนหน้าแทน
ข้อเสนอปฏิรูปประกันสังคมเพื่อสร้างหลักประกันที่เป็นธรรมให้กับทุกคน
ท่ามกลางความกังวลใจ ต่อปัญหาของกองทุนประกันสังคม เครือข่ายรัฐสวัสดิการ เพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม หรือ WE FAIR จึงเสนอการปฏิรูประบบประกันสังคม เพื่อให้บอร์ดประกันสังคม รับไปดำเนินการ 5 ข้อ ดังนี้
1. ปฏิรูปเกณฑ์คำนวณบำนาญชราภาพให้เป็นธรรม โดยปรับปรุงสูตรคำนวณให้เหมาะสมกับค่าครองชีพ
2. ปฏิรูประบบประกันสังคมพื้นฐานถ้วนหน้า ขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมวัยทำงาน อายุ 18 ถึง 60 ปี ทุกคน
3. ปฏิรูปโครงสร้างกลไกการบริหารให้เป็นอิสระ การบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล และมีประสิทธิภาพ
4. ปฏิรูปสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน ทุกมาตรา 7 กรณี
5. การปฏิรูประบบสิทธิสุขภาพประกันสังคม โดยให้มีมาตรฐานทัดเทียมกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง
ประกันสังคมในต่างประเทศเป็นอย่างไร
สวีเดน หนึ่งในประเทศที่ได้รับการยกย่องเรื่องรัฐสวัสดิการ รัฐจะเป็นผู้ดูแล ทั้งเรื่องของที่อยู่อาศัย ค่ารักษาพยาบาล ลาป่วย ลาคลอด ว่างงาน และชราภาพ เงินส่วนนี้ มาจากระบบภาษีกลาง ที่เก็บจากลูกจ้าง 7% และนายจ้าง 31% ทำให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม ไม่มีใครตกหล่นจากระบบ
ระบบบำนาญ ผู้เสียภาษี จะได้รับเงินประกันสังคม และเงินบำนาญเมื่อถึงวัยเกษียณ จะได้รับเงินบำนาญเฉลี่ย คิดเป็นเงินไทย ราว 46,306.57 บาท จำนวนที่ได้รับ จะแตกต่างออกไป ตามจำนวนเงินเดือนที่ได้รับ และการสะสมเงินในกองทุน แม้แต่ ใครไม่ได้อยู่ในกองทุนผู้สูงอายุ ก็จะได้เงินช่วยเหลือยังชีพ หรือ Maintenance support
ขณะที่ เดนมาร์ก มีระบบสวัสดิการสังคมที่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในระบบที่มีทะลายช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน นอกจาก รัฐสวัสดิการที่เข้มแข็งแล้ว เดนมาร์ก ยังถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่คน มีคุณภาพชีวิตดี ที่สุดของโลกอีกด้วย
เดนมาร์ก ใช้รูปแบบ สวัสดิการถ้วนหน้า หรือ universal welfare model ป้องกันความเสี่ยงตลอดชีวิต ดูแลทั้งค่ารักษาพยาบาล เจ็บป่วย ลาคลอดได้นาน ระบบบำนาญแบบ Universal Pension ทุกคนมีสิทธิ แม้ไม่มีรายได้ เงินตรงนี้ มาจากการเก็บภาษีในอัตราที่สูง เพื่อมาจัดสรรสวัสดิการให้กับพลเมืองในประเทศอย่างทั่วถึง
– 4 มุมมอง ปฏิรูปประกันสังคม เพื่อชีวิตที่มั่นคงของทุกคน –
หลายปัญหา หลายข้อท้าทาย ที่เกิดขึ้นกับประกันสังคม ทำให้ต้องกลับมาตั้งคำถามกันอย่างจริงจังว่า เราจะเดินกันต่ออย่างไร เพื่อจะไปให้ถึง ประกันสังคมถ้วนหน้า เพื่อทุกคน พูดคุยกับแขกรับเชิญทั้ง 4 ท่าน
➢สมชาย กระจ่างแสง ประธานชมรมผู้พิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน
➢สาวิทย์ แก้วหวาน คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.)
➢รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี คณะกรรมการประกันสังคม (ฝ่ายผู้ประกันตน)
➢ทรงพันธ์ ตันตระกูล รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เปิดประเด็นกันที่ตัวเลขจำนวนผู้ประกันตนที่ยังคงอยู่ในระบบประกันสังคมจากข้อมูลข้างต้นที่สำนักงานประกันสังคมได้เปิดเผยออกมา เมื่อเดือน ก.พ. 2568 ทางเพจเฟซบุ๊กของสำนักงานประกันสังคม ว่าในกองทุนนี้มีผู้ประกันตน ทั้งหมด 24,776,234 ราย แบ่งเป็น
- ผู้ประกันตน มาตรา 33 จำนวน 12,057,371 ราย
- มาตรา 39 จำนวน 1,707,832 ราย
- มาตรา 40 จำนวน 11,011,031 ราย
สมชาย กระจ่างแสง ประธานชมรมผู้พิทักษ์สิทธิผู้ประกันตน กล่าวว่า ณ ปัจจุบัน จำนวนผู้ประกันตนไม่ได้มีอยู่เท่านี้จริง ๆ โดยเฉพาะในมาตรา 40 ตัวเลขจริงที่ยังมีผู้ส่งเงินสมทบอยู่ มีเพียงแค่ 1 ล้านคนเท่านั้น ส่วนตัวเลข 11 ล้านคนเกิดจากตอนโควิดที่มีการจะให้เงินชดเชยเยียวยา 5,000 บาท แล้วมีเงื่อนไขว่าจะต้องเข้าประกันสังคม มาตรา 40 ถึงจะได้เงินตรงนี้ คนก็เลยเฮโรเข้ามา จึงเกิดตัวเลข 10 กว่าล้านคนขึ้น แต่หลังจากคนได้เงิน 5,000 บาทแล้ว ก็ไม่ได้ส่งเงินสมทบอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ส่งเงินสมทบอย่างต่อเนื่องมีอยู่เพียงแค่ 1 ล้านกว่าคน
รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี คณะกรรมการประกันสังคม เสริมต่อว่า ทางบอร์ดประกันสังคมเคยสอบถามเรื่องนี้กับทางสำนักงานประกันสังคมว่า ทำไมถึงมีการนำเสนอตัวเลขนี้อีก ด้วยเหตุผลว่า ตามกฎหมายมาตรา 40 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวเงินบำนาญจะไม่สามารถจำหน่ายได้ คือคุณต้องลาออก หรือตาย
เพราะฉะนั้นคุณเข้ามาสมทบต่อเมื่อไหร่ สิทธิคุณก็จะเกิดขึ้นต่อเนื่องทันที เขาจึงไม่สามารถจำหน่ายเลขตัวนี้ออกได้ แต่จริง ๆ แล้ว ในปีนึง คนที่ส่งอย่างน้อยเดือนนึง มีแค่ 1.4 ล้านคน แต่คนที่สมทบทุกเดือนปีนึงมีแค่ 7 แสนกว่าคนเท่านั้น ตรงนี้มีปัญหาซ้อนกับทาง กอช. ที่แย่งลูกค้ากันอยู่เหมือนกัน
จำนวนตัวเลขผู้ประกันตนที่หายไป จะสร้างแรงจูงใจอย่างไรให้คนกลับเข้ามาส่งต่อ ?
สาวิทย์ แก้วหวาน คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวว่า การสร้างแรงจูงใจ คือการสร้างประกันสังคมถ้วนหน้า อันนี้เป็นแรงจูงใจหนึ่งที่ทุกคนต้องเท่าเทียมกัน แต่มันเกิดการรักลั่นกันระหว่างประกันสังคมทั้ง 3 มาตราอยู่
ดังนั้นการจะสร้างงานจูงใจให้คนเข้ามา จะต้องมีมาตรฐานเรื่องของการให้บริการและสิทธิที่จะต้องเท่าเทียมกันเหมือนกัน อันนี้เป็นพื้นฐานที่จะสร้างแรงจูงใจได้ แต่ต้องไม่สร้างแรงจูงใจเป็นช่วงเวลาเพราะถ้าทำเป็นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง พอคนเห็นสิทธิก็เข้ามา พอพ้นจากสิทธินั้นคนก็ออกไป มันไม่ถาวร
ปัญหาของประกันสังคม ณ เวลานี้
รศ.ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า เราต้องแยก 2 อย่างปัญหากับความท้าทาย สังคมผู้สูงอายุ เงินประกันสังคมที่จะจ่ายมากกว่าขาเข้า อันนี้คือความท้าทายที่เกิดขึ้นและกองทุนบำนาญที่มีลักษณะเป็นการจ่ายบำนาญที่กำหนดตายตัวแบบนี้ ทั่วโลกจะเผชิญปัญหาแบบนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกใหม่
แต่สิ่งที่มากกว่าความท้าทายคือปัญหา อย่างที่เห็น ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการบริหารสำนักงาน ทำไมเราถึงมีแอปพลิเคชั่นราคา 270 ล้านบาท แพงกว่า แอปพลิเคชั่นธนาคารกว่า 10 เท่า ทั้งที่แอปพลิเคชั่นประกันสังคมไม่ได้ใช้ทุกวัน และไม่ได้ใช้แบบเรียลไทม์ ปีนึงคนจะเปิดแค่ 5-6 ครั้ง แต่ใช้ต้นทุนในการผลิตสูงกว่าแอปพลิเคชั่นธนาคารกว่า 10 เท่า
ยังไม่นับรวมเรื่องปฏิทินตอนนี้มีการทำประชาพิจารณ์อยู่ ใช้งบในการทำปฏิทินตลอด 10 ปี รวมกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่สูงมาก แสดงว่ามีคนได้ได้ประโยชน์จากตัวนโยบายนี้มายาวนานนับ 10 ปี และสิ่งที่เราเห็น ตึก สตง. มูลค่า 2,000 ล้าน แต่มูลค่าตึกหรือสินทรัพย์นอกตลาดหลายอย่างของประกันสังคมมีมูลค่าที่สังคมกำลังตั้งคำถามว่าเป็นการลงทุนที่จะมูลค่าสูงเกินจริง
ทีมประกันสังคมก้าวหน้าพยายามที่จะไม่ประนีประนอมกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือเงินของคนหาเช้ากินค่ำเงินของคนที่เป็นผู้ใช้แรงงานธรรมดา ถ้าไม่มีกลไกตรวจสอบที่ดีเราจะเกิดตึกสกายนาย 2, 3, 4, และ 5 มูลค่ารวมกันนับแสนล้านบาท และสูตรบำนาญสูตรใหม่ที่จะทำให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่มีปริมาณมากกว่า 3 แสนคนที่รับบำนาญอยู่จะได้รับเงินบำนาญเพิ่มขึ้นและมาตรา 39 ที่จะได้รับเพิ่มขึ้นและที่เหลือได้เท่าเดิมใช้เงินประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปีแต่ตึกสกายไนน์ที่เกิดขึ้นตอนนี้เพียงแค่ตึกเดียวก็ 7,000 ล้านบาทแล้ว
เงินเด็กที่เราปรับเพิ่มขึ้น เป็น 1,000 บาทต่อเดือนจะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นปีละ 3,000 ล้านบาท แต่เราจะเห็นได้ว่ามันถูกหมดไปกับค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการการลงทุนที่ไม่มีมาตรฐานบริหารความเสี่ยงที่ดี ตรงนี้คือปัญหา ถ้าเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารสำนักงานสิ่งที่มืดมิดอยู่ข้างในที่ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นได้ ถ้าเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาของการบริหารความเสี่ยงการลงทุนให้มีความรัดกุมได้ เราไม่ต้องพูดถึง 26 ปีข้างหน้า ถ้าเราปล่อยให้ระบบราชการ กรมาธิปไตยแบบนี้บริหารต่อไป ความเชื่อมั่นของคนพร้อมที่จะหายไป
เพราะฉะนั้นมันมีปัญหาเฉพาะหน้าที่เราต้องแก้ไข คือ ความทุจริต ความไม่โปร่งใส ถ้าเราสามารถดึงตัวนี้เข้ามาได้ มันจะทำให้เกิดฉันทมติ เกิดความเชื่อมั่นกลับมา วันนี้เพียงแค่มีการเลือกตั้ง เราสามารถที่จะทำให้องค์กรราชการที่จืดชืด ไร้ความหมาย และห่างไกลจากประชาชน ทำให้คนสนใจเรื่องนี้อย่างไม่เคยมีมาก่อน
กุมภาพันธ์ปีหน้าจะมีการเลือกตั้งอีกครั้ง การเลือกตั้งคือการสร้างความเชื่อมั่น เราจะต้องป้องกันการทำลายที่จะสร้างความเชื่อมั่น คือ การยกเลิกการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ซึ่งแฝงอยู่ในตัว พ.ร.บ.ที่มีการนำเสนออยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งกำลังจ่อเข้า ครม. แล้ว ผมอยากให้ผู้ประกันตนจับตา
พวกผมเข้ามาบริหาร ถ้าทำสิ่งใดที่มีฝ่ายไม่พอใจ ยังสามารถแก้ไขให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการหมุนเข็มนาฬิกากลับไปให้เป็นบอร์ดที่มาจากการสรรหา เราจะเห็นตึกสกายไนน์ อีก 10 ตึกเราจะเห็น แอปพลิเคชัน อีกหลาย แอปพลิเคชัน เราจะเห็นการดูงานต่าง ๆ มากมาย ขณะที่ผู้ประกันตนยังต้องต่อแถวยาวเหยียด เราจะเห็นเงินเด็กที่ไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ เราเห็นสูตรบำนาญที่ไม่เป็นธรรม อันนี้คือสิ่งที่เราจำเป็นที่จะแก้ปัญหาเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
สมชาย กระจ่างแสง เสริมต่อเรื่องของปัญหาที่เกิดขึ้นกับประกันสังคม ที่เป็นปัญหาเร่งด่วน และทุกคนยังไม่ทราบก็คือการแก้พระราชบัญญัติประกันสังคมที่เป็นร่างของกระทรวงแรงงานซึ่งร่างเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังเข้าสู่สภาแต่ว่าเงียบมากคนไม่รู้ว่าจะมีการแก้ พ.ร.บ.ตัวนี้ ซึ่งเราก็ยังไม่ทราบว่าจะมีการแก้อะไรบ้าง หนึ่งในนั้นจะเป็นการแก้เรื่องบอร์ดประกันสังคม ที่เขียนในลักษณะที่ว่าสรรหามาเองโดยตรง ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งพวกเราจะต้องจับตา พรรคการเมืองก็ต้องจับตามากกว่าเราหลายเท่าและร่างพระราชบัญญัติประกอบเข้าไปเพื่อที่จะอัพเกรดระบบประกันสังคมให้ดีขึ้น
แต่สิ่งที่ห่วงจริง ๆ ก็คือสิทธิประโยชน์ 7 ด้าน แต่ละด้านมีปัญหาการเบิกสิทธิประโยชน์ คุณวางเงื่อนไขกลไกไว้มาก อย่างเช่น ถ้าเข้ามาเป็นสมาชิกประกันสังคม แล้วจะเบิกเงินคลอดบุตรได้ต้องส่งมาแล้ว 5 เดือนหรือจะใช้กรณีเจ็บป่วยได้ต้องส่งมาแล้วอย่างน้อย 3 เดือนจริง ๆ แล้วการที่เขาเข้ามาเป็นผู้ประกันตนก็ควรจะใช้สิทธิได้เลย
อีกปัญหาที่เป็นปัญหาใหญ่ คือ เรื่องของการบริหารจัดการทางการเงินที่พวกเราไม่สามารถเข้าไปรู้ ถ้าบอร์ดไม่ล้วง ไม่ถามเขา จะไม่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างเรื่องเงินพัฒนาสายด่วน ผมเพิ่งเห็นเมื่อสักครู่ แต่ตอนโควิดผมเป็นอนุกรรมการด้านสุขภาพของสภาองค์กรของผู้บริโภครับเรื่องร้องเรียนของผู้ที่เป็นโควิดโทรไปหาสายด่วนเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด ไม่ได้โทรไปถามข้อมูล โทรไปขอสำรองเตียงเพราะว่าผู้ที่ป่วยตอนนั้นถ้าเชื้อลงปอดก็จะเสียชีวิต แล้วจะโทรไปบอกว่าเตียงที่อยู่ในประกันสังคมตอนนี้มันเต็มให้ส่งไปที่อื่นแล้วก็ไม่รู้จะโทรหาใคร เขาเป็นสมาชิกประกันสังคมก็เลยโทรไปหาประกันสังคมแต่ก็โทรไม่ติด
ตอนนั้นเราเลยขอจัดเวทีร่วมกับสำนักงานว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็สารภาพว่ามีคู่สายอยู่ 10 คู่สาย ทั้งที่ดูแลคนทั้งประเทศหลังจากนั้นก็มีการปรับปรุงแต่จริง ๆ แล้วไม่ควรจะปรับปรุงหลังจากนั้นการมีสายด่วน 10 คู่สายถือว่าน้อยมาก แต่เงินใช้ไป 100 ล้านบาท
ด้านทรงพันธ์ ตันตระกูล รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สะท้อนถึงปัญหาของกองทุนประกันสังคมกับการดูแลแรงงานในกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่ไม่ครอบคลุมว่า
จริง ๆ กฎหมาย พ.ร.บ. ไม่ได้เว้นไว้ กฎหมายใหญ่คุ้มครองคนทำงานทุกคน แต่ทางสำนักงานประกันสังคมไปออกกฎหมายลูก เพื่อยกเว้นกลุ่มอาชีพบางกลุ่ม เช่น กลุ่มแม่บ้าน ที่ตอนนี้มีการแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 15 ออกใหม่ เพื่อคุ้มครองแม่บ้านที่ทำงานในครัวเรือน ที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจอยู่ด้วยให้มีการขยายสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม มีการกำหนดค่าจ้างที่เป็นธรรม จะต้องได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ ได้รับวันหยุด วันลา รวมไปถึงการใช้แรงงานเด็ก การไม่ใช้สตรีมีครรภ์ หรือห้ามเลิกจ้างสตรีมีครรภ์หลังจากที่เขาตั้งครรภ์
กฎหมายตัวใหม่มีการระบุเข้าไป ซึ่งจะสอดคล้องกับประกันสังคม พอมีการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำแล้วเมื่อเกิดเหตุข้อพิพาทต่าง ๆ สามารถที่จะมีกติกากลางในการจัดการร่วมกัน ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ประกันสังคมเองก็จะมีพื้นฐานการคำนวณสิทธิประโยชน์ได้ เพราะว่าเขามีค่าจ้าง เงินสมทบก็จะตามมา และจากนั้นต้องไปปลดล็อคเรื่องการไม่นับรวมเขาเข้าไปอยู่ในระบบของประกันสังคม ตอนนี้ที่เริ่มทำ จะมีอาชีพแม่บ้านที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจ มีเกษตรตามฤดูกาล ที่ตอนนี้กำลังขับเคลื่อนผลักดันภายใต้การทำงานของ ส.ส.ส.
ส่วนพี่น้องแรงงานข้ามชาติ ก็เผชิญปัญหาเหมือนกัน เวลาเข้ามาทำงานจะมีนายจ้าง ซึ่งถ้ามีนายจ้างก็จะต้องเข้าประกันสังคม แต่ก็มีบางอาชีพที่ถูกยกเว้น แม่บ้านในครัวเรือน หรือเข้ามาทำงานตามฤดูกาล ณ เวลาที่ออกกฎหมายระบบอาจจะยังไม่พร้อม ก็เอาแม่บ้านบริษัทหรือว่าแม่บ้านตามห้างสรรพสินค้าที่มีการเหมาบริการเข้าสู่ระบบประกันสังคมไปก่อน ทำให้มีการตกหล่น จากที่มีแรงงานข้ามชาติเป็นล้านคน แต่เหลือคนที่เข้ามาสู่ระบบประกันสังคมแค่หลักแสน
ซึ่งต้องแก้ที่ตัวกฎหมาย ถ้าประกันสังคมตัวพระราชบัญญัติค่อนข้างโอเคแล้ว แต่ต้องแก้ที่ตัวกฎหมายลูก และไปแก้ที่ตัวพระราชบัญญัติของกองทุนทดแทน กฎหมายแม่ที่มีการยกเว้นหลายอาชีพไว้
รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี เสริมต่อเรื่องการแก้กฎหมายว่า ภายใต้การทำงานของบอร์ดชุดที่ 14 มีแนวทางการยกเลิกกฎกระทรวงที่เป็นข้อยกเว้น แต่ว่าต้องได้รับการสนับสนุนจากฝั่งนายจ้าง เพราะบางอาชีพ นายจ้างไม่อยากจ่าย เพราะว่าเป็นต้นทุนของเขา อีกทั้งยังมีการให้ข้อมูลแก่ลูกจ้างว่าถ้ากฎหมายตัวนี้มีการยกเลิกกฎกระทรวงก็จะทำให้เขาเป็นฝ่ายที่เสียประโยชน์ เพราะต้องโดนหักเงินจากที่ได้รับ
ในชีวิตของคนทำงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศ หรือคนทำงานโรงงาน เกษตรกร แม้แต่ผมเอง ถ้าพูดถึงเรื่องการจ่ายภาษีประกันสังคม ไม่มีใครชอบกับเงื่อนไขตรงนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องกลับมาคุยกันว่าเราจะออกแบบสิทธิประโยชน์อย่างไร ให้คนเชื่อมั่นในเรื่องเหล่านี้ เราจะทำให้การบริหารโปร่งใสและคนรู้สึกไว้ใจได้อย่างไร
ผมย้ำว่านี้เป็นเรื่องเดียวกัน ตั้งแต่ทีมประกันสังคมก้าวหน้าเข้ามาทั้งบรอด์และอนุกรรมการอีกหลายคน เรามีข้อเสนอจำนวนมาก และมีคนพยายามบอกว่าให้เราทำแต่เรื่องสิทธิประโยชน์และปิดตาข้างหนึ่ง เพื่อให้เดินไปด้วยกันได้ แต่ถ้าเราเลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่ง เพื่อแก้ไขเรื่องต่าง ๆ ก็จะดูดีว่าเราสามารถผลักดันสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สำเร็จ คล้องแขนสามัคคีชุมนุมทั้ง 3 ส่วนได้
แต่ในความเป็นจริงมันคือการปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่ผมอยากยืนยันว่าการแก้ไขสิทธิประโยชน์เงื่อนไขต่าง ๆ จำเป็นที่จะต้องทำพร้อมกับตรวจสอบความโปร่งใสการบริหารสำนักงานและการลงทุนคือสิ่งที่ผมพยายามย้ำอยู่ตลอด อย่างข้อเสนอของอาจารย์ทรงพันธ์ เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเอาข้อยกเว้นต่าง ๆ ออกไป และให้ผู้ประกันตนได้รับความคุ้มครองอย่างเต็มที่
สาวิทย์ แก้วหวาน ในฐานะกลุ่มแรงงานที่เคลื่อนไหวเรียกร้องเรื่องสิทธิประโยชน์ของประกันสังคมมาอย่างยาวนาน มองว่า วันนี้ประกันสังคมยังคงมีปัญหาอยู่มาก ตั้งแต่การเรียกร้อง ก่อนปี 2533 ที่ผลักดัน เรียกร้องกันมา ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีแนวต้านเยอะ มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ 2475 ที่พูดถึงหลักประกันของคนทำงานแล้วก็ถูกต่อต้านมาโดยตลอด กว่าจะสำเร็จได้ก็มีการล้มลุกคลุกคลานมาตลอด แม้จะสำเร็จก็ยังมีการหวงอำนาจ ดั่งการบริหารจัดการในปัจจุบัน
ตัวปัญหาใหญ่คือทัศนคติของผู้ปกครองยังไม่ต้องการเห็นความผาสุกความกินดี อยู่ดีของพี่น้องประชาชน หลักประกันของประชาชน เพราะตัวแทนของชนชั้นปกครองบ้านเรา เราทุกคนรู้ดีว่ามาจากไหน ด้านทหารบ้าง นายทุนบ้าง ตรงนี้ชัดเจนการที่เขาให้สิ่งเหล่านี้คือ เขาต้องจ่ายเพิ่ม อำนาจของเขาจะหายไป เราจึงเห็นสิ่งที่เห็นในปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่แบบเดิม
กระบวนการเรียกร้องเคลื่อนไหวต่อสู้ตั้งแต่ก่อนปี 2533 จนถึงการมีกฎหมายนี้ออกมา กว่าจะออกมาแต่ละกองทุน เราต้องทำคาราวานทั้งประเทศ ให้ความเข้าใจเรื่องชราภาพ หรือว่าการว่างงานกว่าจะออกมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกเหนือจากทัศนคติของชนชั้นปกครอง เครื่องมือของเขาคือกฎหมาย เราจะเห็นว่ากฎหมายออกมา เช่น การจ่าย หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่เรียกกันว่า กฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ มีการแก้พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับที่ 3 ปี 2542 เพื่อลดสัดส่วนการจ่ายเงิน เพราะรัฐบาลมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงิน ก็เลยลดการจ่ายเงินสมทบของภาครัฐออกไป และออกกฎกระทรวง
นอกเหนือจากกฎหมาย มันให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไปออกกฎหมายลูกได้จึงปรากฏเรื่องของกฎหมายลูกปี ปี 2565 ฉบับ ก. และฉบับ ข. ซึ่งฉบับ ก. ใช้อยู่ปัจจุบัน นายจ้างกับลูกจ้างจ่ายเท่ากัน ส่วนรัฐบาลจ่ายแค่ร้อยละ 2.75 แต่รัฐบาลก็จ่ายบ้างไม่จ่ายบ้าง ตอนนี้ค้างจ่ายอยู่ 60,000 ล้านบาท ลองเทียบดูว่าเงินตรงนั้นจะมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองทุนประกันสังคมได้มากน้อยขนาดไหน
ที่ภาครัฐไม่จ่ายก็เพราะว่าอาจจะมองว่าเป็นหน่วยงานภาครัฐด้วยกันกับประกันสังคม ก็เลยจะจ่ายก็ได้หรือไม่จ่ายก็ได้ สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทยเราเห็นภาพชัดเจนเราเห็นปัญหาแบบที่เราเห็นเมื่อกาลครั้งหนึ่ง เราทำกฎหมายเหมือนกัน ร่าง พ.ร.บ.กฎหมายประกันสังคม ล่า 14,264 รายชื่อ เข้าสู่รัฐสภา แต่ สส. ที่มาจากการเลือกตั้ง ปฏิเสธไม่เอาร่างของประชาชนลงไป กฎหมายฉบับนี้พูดถึงชัดเจนเรื่องของบอร์ดประกันสังคมต้องมาจากการเลือกตั้ง เราคุยตั้งแต่ปี 2548 โดยเลขาธิการประกันสังคมก็ต้องมาจากการเลือกตั้ง เราพูดชัดเจนมากแม้แต่สิทธิประกันสังคมกองทุนต่าง ๆ ก็พูดไว้ในตัวพ.ร.บ.ตัวนี้ แต่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้ปกครองทั้งหลายไม่ต้องการเห็นภาพเหล่านี้
แม้วันนี้จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่เห็นภาพอยู่ขณะนี้ ดังนั้นสิ่งที่จะเดินทางต่อจากนี้ไปผมคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นเจตจำนงของผู้ประกันตนและเจตจำนงของคนทำงานว่าคุณจะเอายังไงต่อ ประกันสังคมเท่าที่คุยมาทั้งหมดทุกวงผมเห็นภาพชัดเจนว่าจะต้องปฏิรูปประกันสังคม เห็นว่าประกันสังคมมีปัญหา แต่ปัญหาก็คือจะจัดการยังไง วันนี้เรามีข้อเสนอเยอะมาก แต่จังหวะก้าวในการที่จะเดิน จะเดินอย่างไรจะเดินแบบไหนอันนี้เป็นเรื่องใหญ่ต่อจากนี้
ถ้าเรามีกระบวนการจัดการที่ดี อย่างหลาย ๆ ประเทศ รัฐจ่ายสมทบมากกว่านายจ้าง รัฐสมทบมากกว่าผู้ประกันตน อย่างเช่นประเทศเดนมาร์กแล้วก็สวีเดน เราต้องดูว่ารากของรัฐบาลเขามีที่มาจากไหน มาจากกระบวนการของสหภาพแรงงานทั้งนั้น แต่บ้านเรารากรัฐบาลมาจากไหน สิ่งที่กำลังพูดอยู่นี้ ฝ่ายรัฐเขาไม่ต้องการเห็น ไม่ต้องการทำสิ่งที่เราเสนอ แล้วเราจะจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างไร
เราลุยมาเยอะแล้วไปดูประวัติศาสตร์ที่อยู่ในสมาพันธ์สมานฉันท์ได้ ถึงขนาดฟ้องประกันสังคมเรื่อง ที่เอาเงินประกันสังคมไปปรับปรุงสถานพยาบาลของคนที่อยู่ในสิทธิ ซึ่งเรามองว่าไม่เหมาะสม หรือการทำปฏิทิน เป็นการใช้เงินอย่างผิดวัตถุประสงค์ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่
ที่นี้ในเชิงยุทธศาสตร์จะมีสักเรื่องไหม ที่เราเห็นตรงกันแล้วเดินไปด้วยกันเราอาจจะเห็นต่างกันหลาย ๆ เรื่องทางด้านการเมืองแต่เรื่องนี้เป็นบริบทของคนงาน เราร่วมกันสักเรื่องแล้วเดินไปด้วยกันได้ไหม
รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี เสริมต่อเรื่องของโมเดลประกันสังคมต่างประเทศ แบบประเทศสวีเดน ประกันสังคมเหมือนกับการธนาคารออมสิน หรือการบินไทยเป็นอะไรที่ไม่ถูกอนุญาตให้เจ๊ง เพราะฉะนั้นมีระบบ Auto balancing เมื่อคำนวณอัตราส่วนผู้สูงอายุขึ้นมา รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเข้ามาทันที ผ่านระบบภาษี กลุ่มประเทศพวกนี้มีระบบภาษีการจ้างงาน แรงงาน 1 คนเติบโตขึ้นมา ใช้น้ำ ใช้อากาศ ใช้สิ่งที่รัฐสร้างขึ้นมา เรียนหนังสือ มีทักษะ ถ้านายจ้างจะใช้จะต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐ เป็นภาษีการจ้างงาน แต่ส่วนการสมทบของผู้ประกันตนหรือลูกจ้างจะต่ำ อาจจะมีการสมทบในสัดส่วนที่เป็นบำนาญ แต่สัดส่วนที่นายจ้างจ่ายจะถูกคิดว่าเป็นการจ่ายภาษี และรัฐก็มีการจ่ายสมทบเพื่อบริหารจัดการต่าง ๆ
ถัดมาเรื่องโครงสร้างอำนาจของประกันสังคม ตามโครงสร้างพีระมิดเหมือนบอร์ดประกันสังคมจะใหญ่ที่สุด เป็นคนที่คุมเลขาธิการ เหมือนกับเป็น CEO แต่ก็ติดขัดอยู่หลายอย่าง ประธานบอร์ดประกันสังคม คือ ปลัดกระทรวงแรงงาน โดยตำแหน่งเป็นคนที่ใหญ่กว่าเลขาธิการ และมีหลายตำแหน่งที่รัฐมนตรีแต่งตั้งเข้ามา เช่น บอร์ดแพทย์
แม้ว่าบอร์ดจะใหญ่ที่สุดในพีระมิด แต่เวลาทำงานจริงเราสั่งอะไรไม่ได้เลย เราทำได้แค่วางกรอบวางแผน พอจะติดตามเช่นเรื่องตึกตึกสกายไนน์มูลค่ากว่า 7 พันล้าน ที่ลงในฐานะสินทรัพย์นอกตลาด วันนั้นได้มีการนำมารายงานทางบัญชีของประกันสังคม ผมตัวแทนของผู้ประกันตน ถามว่าตึกตึกสกายไนน์อยู่ในไหน เขาไม่ได้เขียนไว้ ทุกคนทราบว่าประกันสังคมซื้อตึกสกายไนน์นี้ แต่บอร์ดไม่เคยได้รับรายงานไม่เคยเห็นรายงาน ไปถามชุดก่อนก็ไม่เคยเห็นว่าตึกสกายไนน์อยู่ในไหน ถามไปมาจนทราบว่าเป็นตราสารทุนในประเทศ มีการรายงานสัดส่วน อัตราการขาดทุนมา แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นสินทรัพย์อะไรมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท
ตอนนั้นตั้งคำถามว่า ทำไมบอร์ดต้องรับทราบจากข่าว ทำไมบอร์ดถึงต้องทราบจาก สส. หรือผู้สื่อข่าว จึงขอให้มีการนัดประชุมนัดพิเศษ เพื่อชี้แจงบอร์ดให้รับทราบ ที่ประชุมมีมติให้จัดประชุม แต่เวลาผ่านไป 3-4 วัน มีส่งมาในไลน์บอกว่าขอยกเลิกการประชุม อันนี้เป็นมติบอร์ด แต่มีการส่งมาขอยกเลิกทางไลน์ ซึ่งตึกมูลค่า 7 พันล้านประชาชนสงสัย ศูนย์บำนาญแคร์ 5 พันล้านเถียงกันข้ามเดือน อันนี้ตึก 7 พันล้านจะไม่ให้เรารับทราบหรือตั้งข้อสงสัยเลย จนวันนี้เราก็ยังไม่ได้รับทราบ
งบบริหารจัดการกองทุนประกันสังคม 5,000 กว่า งบการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดกว่า 3 แสนล้านที่ไม่ได้ซื้อตลาดหุ้นหรือใน index ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดแต่กลไกการบริหารความเสี่ยงไม่มีการรัดกุมตรงนี้พอมีข่าวออกมาเพราะไปถามบอร์ดชุดก่อนว่ารับทราบไหมก็ไม่มีใครรับทราบ สินทรัพย์ตัวนี้ถูกให้อำนาจในระดับเลขาธิการในการตัดสินการซื้อ และไม่เคยมีการ Report มาสู่คณะกรรมการ ไม่มีการรับทราบ ไม่มีการเผยแพร่ ถ้าเราพูดถึงโมเดลสวีเดน หรือเดนมาร์ก แม้แต่สินทรัพย์ที่เขาถือในหมู่เกาะเคแมน ซึ่งเป็นหมู่เกาะที่ไว้ฟอกเงิน เขายังต้องรายงานให้กับประชาชนรับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ตรงนี้สิ่งที่เราขอการรายงานประชุมย้อนหลังไม่มีการเผยแพร่ ถ้าความเชื่อมั่นตรงนี้ไม่เกิดขึ้น การเรียกร้อง ต่อสู้ของแรงงานที่ผ่านมาก็ไร้ความหมาย อันนี้เป็นจังหวะที่สำคัญที่เราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงและฉายไฟเข้ามาส่องให้คนเห็นได้ อย่าให้ลัทธิข้าราชการเป็นใหญ่บดบังความสามารถในการเปลี่ยนแปลงประกันสังคม
ปฏิรูปประกันสังคมอย่างไร ถึงจะเป็นความมั่นคงให้คนทุกคน
สมชาย กระจ่างแสง เสริมต่อว่า บอร์ดจะทำหน้าที่ได้อย่างดีแบบที่ควรจะเป็น ภายใต้ระบบแบบนี้ไม่ได้เต็มที่ เพราะนี่คือการอยู่ภายใต้ระบบข้าราชการ ต้องเปลี่ยนประกันสังคมให้เป็นองค์กรอิสระ จะภายใต้รูปแบบไหนก็ตาม ประเทศไทยมีหลายรูปแบบ 3-4 รูปแบบ องค์กรอิสระภายใต้การกำกับของรัฐ อย่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพ เป็นกฎหมายใหม่ล่าสุด กฎหมายใหม่กว่าประกันสังคมเขาเล็งเห็นว่า เขาไม่สามารถบริหารสำนักงานได้ถ้าต้องไปทำงานภายใต้กระทรวงสาธารณสุข เขาเลยแยกตัวเองออกมา รับเงินจากรัฐ และต่อรองกับกระทรวงสาธารณสุขให้จัดบริการให้กับประชาชนตามสิทธิประโยชน์ที่บอร์ดออกรูปแบบมา อันนี้เป็นอิสระต่อกัน คุณเป็นหน้าที่ผู้ให้บริการเรามีหน้าที่ในการซื้อบริการ ประชาชนมีหน้าที่รับบริการ อันนี้เป็นองค์กรอิสระได้จริง เราต้องเริ่มจากปฏิรูปสำนักงานก่อน
อีกอันคือการปฏิรูปเรื่องสิทธิประโยชน์ โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพของประกันสังคม ตอนนี้ผู้ประกันตนของเรา ถูกสิ่งที่เรียกว่าเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมกดทับ ถ้าเอาเรื่องสุขภาพประเทศไทยมี 3 กองทุน คนในผู้ประกันสังคมเป็นผู้ประกันตนเดียวที่ควักเงินในกระเป๋าจ่ายเงินสุขภาพของตัวเองในขณะที่ประเทศเราทำเรื่องรัฐสวัสดิการสุขภาพ บัตรทองรัฐจ่ายให้ผ่านระบบภาษีของเรา ข้าราชการรัฐก็จ่ายให้ระบบภาษี จ่ายเยอะกว่าคนอื่นด้วย คนอื่นค่าเหมาจ่ายรายหัวในการดูแลสุขภาพอยู่ที่ 4,000 บาทของข้าราชการให้ 17,000 บาท ได้สิทธิประโยชน์เท่ากับบัตรทองไม่มีอะไรมากกว่ากันเลย
เราเป็นคนกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายเงินสิ่งที่เราจ่ายไปแล้ว เราได้สิทธิประโยชน์น้อยกว่าเขา อันนี้เป็นอะไรที่ไม่ควรจะยอมและต้องปฏิรูปด้วย ถ้าเราเป็นโรคไตต้องฟอกไตด้วย เครื่องไตเทียมเราอาจจะมีความสุ่มเสี่ยงที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่ม เพราะเขามีเพดาน ซึ่งไม่ควรมี คนที่ฆ่าไตต่ำมากๆอาจจะต้องฟอกเกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ อาจจะต้องจ่ายเอง และเรื่องทันตกรรมเป็นเรื่องของสุขภาพ แต่ดันไปตั้งเพดานไว้แค่ 900 บาท และอีกเรื่องคือเรื่องที่อาจจะพากชีวิตเราไปได้ก็คือเรื่องมะเร็ง ฉายแสงทำคีโมปีละ 20,000 บาท ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่ม
ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาหลักที่ผมผลักดันเรื่องนี้มาตลอด ทางออกของการผลักดันก็คือเราจะต้องดึงเรื่องระบบสุขภาพของประกันสังคมออกมาให้ระบบ สปสช. เป็นคนบริหารจัดการ เพราะเขามีสิทธิประโยชน์ที่สมบูรณ์ ให้เขาบริหารจัดการ เขาก็บริหารจัดการได้ดี อันนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ข้าราชการท้องถิ่น 8,000 แห่ง เขาทำของตัวเองมาตลอด เพราะใช้ระบบเจ้าหน้าที่ อบต. ไปรักษา และได้สิทธิประโยชน์มากบ้าง น้อยบ้าง มาเบิก อบต. มันทำให้ถังแตก ก็เลยให้ สปสช. ทำ
ผมเสนอเพิ่มอีกนิดนึงโดยเราจ่ายค่าสุขภาพของเราทุกเดือนเดือนละ 1% เราสมทบ 5% ของเงินเดือนใน 0.88% จะเป็นเงินค่าดูแลสุขภาพให้เอาเงิน 0.88% มาเข้ากองทุน ชราภาพเมื่อเราแก่แล้วชราภาพเราจะได้เงินมากขึ้นจนเราสมทบแค่ 3% ถ้ามีเงินตรงนี้ด้วยก็จะเป็น 4% เป็นเรื่องยุติธรรมและค่าสุขภาพที่ สปสช. ทำใครจ่าย รัฐบาลต้องจ่ายในเมื่อคุณจ่ายให้คนสอนกลุ่มได้ แล้วคุณจะมาเว้นผู้ประกันตนไว้ได้อย่างไร คุณก็ต้องจ่ายให้เรา เงินน่าจะอยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นล้านต่อปี ถ้าดูแลสุขภาพทั้งหมด ถ้าปฏิรูปผมอยากไปในแนวนี้ อาจจะใช้เวลานานก็คือต้องแก้กฎหมาย 2 ฉบับ ประกันสังคมแล้วก็บัตรทองเงิน
สาวิทย์ แก้วหวาน อธิบายว่า เรื่องสิทธิของประชาชนที่เกิดออกมาในแผ่นดินนี้มันควรที่จะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ควรแบ่งว่า เขาเป็นราชการ เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือว่าใครก็แล้วแต่ควรจะเท่าเทียมกัน เขาจะได้เพิ่มในฐานะเป็นลูกจ้างของบริษัทนั้น หรือเป็นลูกจ้างของหน่วยงานราชการนั้นก็ว่าไป
ดังนั้นเม็ดเงินที่มันเหลืออยู่ เช่น ประกันสังคมจะไปอยู่จุดไหนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคุยกัน แต่ไม่ควรไปตัดสิทธิ์ของเขาเหล่านั้น และในส่วนที่รัฐจะต้องจ่ายเพิ่มในส่วนอื่นก็จะต้องถัวเฉลี่ยกัน ในหลักการคิดเบื้องต้นในเรื่องของสุขภาพเกี่ยวข้องกับเรื่องประกันสังคมอยู่ด้วย ไม่ใช่เม็ดเงินน้อย ๆ เอาตรงนี้ไปสมทบกับบัตรทอง หรือว่าหลักประกันสุขภาพ ก็จะลดสัดส่วนการสมทบของฝ่ายลูกจ้างลงไป อันนี้เป็นหน้าที่ของรัฐ
ทรงพันธ์ ตันตระกูล ให้ข้อเสนอการปฏิรูปประกันสังคมว่า ที่ผ่านมาประกันสังคมมีความยืดหยุ่นพอสมควรแต่อาจจะไม่ทันกับการจ้างงานในปัจจุบันที่เป็นแรงงานรูปแบบใหม่เดิมทีตัวของวงวิชาการด้านแรงงานมี 2 คำแรงงานแบบ formal ก็คือแรงงานแบบทางการ อีกอันหนึ่งก็คือ informal คนไทยเอามาแปลเป็นแรงงานในระบบกับนอกระบบ ตอนนี้นอกระบบทำให้ความหมายดูต่ำลงไปเป็นคำที่ค่อนข้างกดทับ
ซึ่งจริง ๆ คำที่น่าจะมาทดแทนแรงงานนอกระบบ คือ รายงานอิสระ เป็นคำที่เหมาะ และชื่อว่าประกันสังคมดูแลได้บนความยืดหยุ่นและความหลากหลายของฐานรายได้ที่ประชาชนคนไทยมีแตกต่างกัน
อย่าง มาตรา 40 รวมเข้าไปในมาตรา 39 ไหม แล้วเปิดให้มาตรา 39 เป็นแบบ walk in ไม่ใช่เป็นผลผลิตที่มาจากการออกงานของมาตรา 33 ก็จะทำให้เกิดการจ่ายเงินสมทบเข้ามาในกองทุนกองทุนก็จะมีเงินเพิ่มมากขึ้น มีเงินพอที่จะลงทุนหาผลประโยชน์ต่าง ๆ กลับมาจัดการสวัสดิการให้ผู้ประกันตน หรือรวมไปถึงเรื่องของสิทธิประโยชน์ที่เป็นสิ่งสำคัญ อาจจะมีแบบพรีเมี่ยมไหม อันนี้เป็นข้อเสนอแบบก้าวกระโดดคล้าย ๆ กับสวีเดนที่มีการจัดประกันสังคมแบบพรีเมี่ยมที่จ่ายเงินเพิ่ม ประกันสังคมก็จะมีเงินเข้ามาลงทุน แต่การลงทุนอาจจะต้องแยกออกมาให้รู้ว่าตัวไหนที่ไปหารายได้ตัวไหนที่ต้องเก็บไว้ เพื่อให้เกิดความมั่นคง อย่างเช่น กองทุนชราภาพ อาจจะต้องเก็บไว้ว่าจะต้องมีการเกิดดอกผลมีความมั่นคงเกิดขึ้น
อันนี้เป็นจุดใหญ่ที่ประกันสังคมจะต้องดีไซน์เรื่องการจัดการกองทุน อย่างสวีเดนเขาแยกกองทุนอันไหนดูแลสุขภาพ อันไหนดูแลเรื่องว่างงาน เขาแยกออกไป เรื่องของชราภาพเขาก็แยกออกมาบริหารเพื่อให้รู้ว่าในอนาคตมีเม็ดเงินเห็นเงินชัดเจน เชื่อว่าประกันสังคมทำได้ แล้วก็จะมีความมั่นคง
ปิดท้ายที่ รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ปัจจุบันประกันสังคมแต่การกองทุนอยู่ 3 กอง คือ
1. กองที่ดูแล 4 กรณี
2. กองบำนาญ
3. กองว่างงาน
กองทุนบำนาญจะเป็นกองทุนที่ใหญ่สุด ที่เราจะแยกและมีกลไกบริหารที่ได้รับผลตอบแทนสูงในระยะยาว ส่วนกองเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่จะต้องจ่ายทุกวันมีการลงทุนที่มีเงินหมุนเวียนสูง เช่นเดียวกับ กองว่างงาน
ตอนนี้สิ่งที่บอร์ดประกันสังคมได้อนุมัติไปเมื่อปีก่อน เราขยายสิทธิการว่างงานในกรณีที่ถูกเลิกจ้างจาก 50% ของค่าจ้าง เป็น 60% ของค่าจ้าง สูงสุดได้อยู่ที่ 9,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือนตรงนี้เป็นสิ่งที่เราพยายามจะมองว่าเราเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านการว่างงานสำหรับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะการทำงานของตลาดแรงงานใหม่ที่จะมีคนย้ายไปอยู่ในมาตรา 39 บ่อยขึ้น มีการเปลี่ยนงานบ่อย ซึ่งจะคล้ายกับรูปแบบของเดนมาร์กที่อนุญาตให้คนมีความปลอดภัย รัฐเข้ามาจ่ายตรงนี้เพิ่มขึ้น
นอกจากข้อเสนอเรื่องการชดเชยการว่างงานแบบที่เราทำอยู่ ทีมประกันสังคมก้าวหน้าเราศึกษาว่าจะสามารถที่จะเพิ่มขึ้นในเรื่องของการอัพสกิล รีสกิลทักษะงานให้ไปตรงกับงานที่เขามีความถนัดและงานที่เขาสนใจ และให้เขาว่างมากเพียงพอที่จะไปหางานใหม่ไม่เข้าไปงานที่มีความเสี่ยงหรืองานที่ไม่ตรงกับทักษะ เพราะเราจะทำให้สูญเสียบุคลากรที่มีอายุน้อย และถ้าคนต้องย้ายงานไปสู่งานที่ไม่ตรงกับทักษะเขา จะได้รับค่าจ้างที่ต่ำลง ดังนั้นประกันการว่างงานจะเป็นหลังพิงให้พวกเขาที่มากกว่าเพียงแค่ชดเชยรายได้ แต่มากไปถึงการเรียนสกิลต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งที่เราพยายามจะนำเสนออยู่
ทุกคนสามารถติดตามรับชมเสวนาเต็มๆ ย้อนหลังทั้งหมด ได้ที่
– โหวตฉากทัศน์ อนาคตประกันสังคมที่เป็นความหวังของเราทุกคน (10 ปี) –
หลังจากได้ฟังมุมมองจากวิทยากรที่มาร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลแล้ว คุณคิดว่า อนาคตประกันสังคมควรเดินหน้าต่ออย่างไร ทางรายการเรามีโมเดลตัวอย่างการประกันสังคมจาก 3 ประเทศ มาให้ลองโหวตเลือกกัน
ฉากทัศน์ 1 สวีเดน – ประกันสังคมถ้วนหน้า
ฉากทัศน์ 2 เดนมาร์ก – ยืดหยุ่นดูแลคนทำงาน
ฉากทัศน์ 3 ญี่ปุ่น – ครอบคลุมรับมือสังคมสูงวัย