พ่อครูอานนท์ ไชยรัตน์ : กลองสะบัดชัย สะบัดสำเนียง สุรเสียงก้องชัย

“กลองล้านนา ทุกใบมีความศรัทธาอยู่ในตัว” พ่อครูอานนท์กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เสียงกลองดังก้องกังวาน รัวแรงเป็นจังหวะสะบัดเร็ว แผ่พลังศรัทธาไปทั่วลานกว้าง ในวันที่เสียงกลองสะบัดชัยกระหึ่มก้อง ‘พ่อครูอานนท์ ไชยรัตน์’ไม่ได้เป็นเพียงผู้ตีกลอง แต่เป็นผู้ที่สืบทอดจิตวิญญาณของล้านนา ผ่านทุกจังหวะที่สะบัดออกไป นี่ไม่ใช่เพียงเสียงกลอง แต่คือเสียงของแผ่นดิน เสียงของบรรพชนที่ยังคงก้องสะท้อนอยู่ในปัจจุบัน

ต้นเสียงแห่งปัญญา

พ่อครูอานนท์เติบโตมาในยุคที่วัฒนธรรมพื้นบ้านยังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ทุกงานบุญ งานแห่ กลองสะบัดชัยเป็นหัวใจของขบวน สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้เด็กชายอานนท์ในวันนั้นเกิดความหลงใหล เขาไม่ได้แค่ฟังเสียงกลอง แต่สัมผัสถึงพลังของมัน เสียงที่บอกเล่าเรื่องราวของบ้านเมือง ประวัติศาสตร์ และศรัทธาของผู้คน สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขามุ่งมั่นศึกษาการตีกลองสะบัดชัยอย่างจริงจัง

“ความฮู้ความชอบมันอยู่ในตัวเฮาอยู่แล้ว” พ่อครูอานนท์กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการตีกลองล้านนา ซึ่งเป็นสิ่งที่หล่อหลอมมาจากวิถีชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อมีขบวนแห่ มีเสียงกลอง เขาจะต้องไปอยู่ในวงล้อมของผู้คน เฝ้าดู ศึกษา และเรียนรู้จากคนเฒ่าคนแก่ แม้ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสกลองจริง แต่ไม้ไผ่ท่อนหนึ่งและถุงพลาสติกก็เป็นกลองชิ้นแรกของเขา

“เมื่อเฮาชอบในสิ่งนั้น มันก็จะเกิดการพัฒนาโดยอัตโนมัติ” พ่อครูกล่าวอย่างเรียบง่าย แต่ชัดเจน

เสียงกลองแห่งศรัทธา

กลองสะบัดชัย ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องดนตรี แต่เป็นหัวใจของวัฒนธรรมล้านนา สมัยก่อนกลองเป็นสัญลักษณ์ของสงคราม กลองสะบัดชัยเคยเป็นกลองแห่งชัยชนะที่กู่ก้องในสมรภูมิ บอกให้รู้ว่าเมืองนั้นยังมีนักสู้ที่ยืนหยัด

ปัจจุบัน เสียงกลองยังคงอยู่ แต่ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงแห่งมงคล เสียงแห่งขบวนแห่ในงานบุญ เสียงแห่งศิลปะที่สืบทอดผ่านกาลเวลา “กลองล้านนา ทุกใบมีความศรัทธาอยู่ในตัว” พ่อครูกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

จากครูสู่ศิษย์ จากรุ่นสู่รุ่น

พ่อครูอานนท์ไม่ได้เป็นเพียงนักตีกลองที่เชี่ยวชาญ แต่ยังเป็นครูภูมิปัญญาไทยรุ่นที่เจ็ด ผู้แบกรับภารกิจสืบทอดศาสตร์แขนงนี้ต่อไป ปัจจุบันที่ ศูนย์การเรียนรู้สลีปิงจัยแก้วกว้าง เด็กและเยาวชนจำนวนมากได้เข้ามาเรียนรู้วิถีแห่งกลองสะบัดชัยจากพ่อครู

“การเรียนกลอง ไม่ใช่แค่การฝึกจังหวะ แต่มันคือการเข้าใจเรื่องของประวัติศาสตร์ ศิลปะ และจิตวิญญาณของบ้านเมือง” พ่อครูย้ำเสมอ การเรียนรู้ที่แท้จริงไม่ใช่เพียงแค่จำท่าทาง แต่คือการซึมซับจิตวิญญาณของสิ่งที่กำลังเรียน

กลองสะบัดชัยในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

ในยุคปัจจุบัน กลองสะบัดชัยยังคงได้รับความนิยม แต่สังคมที่เปลี่ยนไปทำให้บางวัดไม่มีคนตีกลองอีกต่อไป การรักษาภูมิปัญญานี้จึงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน การที่กลองสะบัดชัยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมเชียงใหม่ ทำให้พ่อครูมองเห็นความหวัง

“ยุคนี้มันต่างจากเมื่อก่อน แต่ถ้าเฮายังส่งต่อองค์ความรู้ ยังหื้อเด็กๆ ได้สัมผัส ได้ตีกลอง ได้ฮู้ว่ามันคืออะหยัง มันก็ไม่มีวันหายไป” พ่อครูกล่าวอย่างหนักแน่น

เสียงก้องจากรุ่นสู่รุ่น

หากถามว่าพ่อครูภาคภูมิใจที่สุดกับสิ่งใด คำตอบคงไม่ใช่รางวัลที่ได้รับมากมาย แต่เป็นจำนวนลูกศิษย์ที่กระจายอยู่ทั่วทุกสารทิศ เป็นรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่เติบโตขึ้นไปพร้อมกับเสียงกลองที่พวกเขาเคยตีกับพ่อครู

Screenshot

“ความสุขของครู คือการได้เห็นเด็กๆ สืบต่อสิ่งนี้ไปข้างหน้า”

เสียงกลองสะบัดชัย ยังคงสะบัดสำเนียงก้องชัย และจะก้องต่อไป ไม่ใช่แค่ในจังหวะกลอง แต่ในจิตวิญญาณของผู้คนที่ได้รับการสืบทอดจากปราชญ์แห่งล้านนา “พ่อครูอานนท์ ไชยรัตน์”

แชร์บทความนี้