แม้เทศกาลสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ไทยเพิ่งจะผ่านพ้นไปไม่กี่วัน แต่ทั้งเดือนของเมษายนยังถือเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ วันนี้จะพามาทำความรู้จักกับวิถีและขนบธรรมเนียมของชาวบ้าน (ตีนภู) ในพื้นที่ ต.เมืองพาน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดมาช้านาน กับพิธีสรงน้ำ “รอยพระพุทธบาทบัวบก” ของบรรดา “นางเทียม”
ก่อนอื่นจะขอเล่าภูมิพื้นที่ของ ต.เมืองพาน เพื่อเป็นข้อมูลนำไปสู่เรื่องราวของประเพณีสรงน้ำที่รอยพระพุทธบาทบัวบก “ตำบลเมืองพาน” ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบตะวันออก ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มน้ำ ตอนกลางเป็นพื้นที่ลูกลื่นลาดชัน ด้านตะวันตกเป็นเทือกเขาภูพาน ห่างจากตัว อ.บ้านผือ 15 กิโลเมตร ทิศเหนือติดกับ ต.กลางใหญ่ ทิศใต้ติดกับ ต.จำปาโมง ทิศตะวันออกติดกับ ต.บ้านผือ และทิศตะวันตกติดกับ อ.น้ำโสม และ อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู ดูแลรับผิดชอบ จำนวน 11 หมู่บ้าน “พระพุทธบาทบัวบก” หรือ “วัดพระพุทธบาทบัวบก” เป็นศาสนสถานตั้งอยู่บนภูพระบาท ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี พระพุทธบาทบัวบก มีความหมายว่า รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าที่ประทับไว้ในสถานที่ที่มีบัวบกขึ้นอยู่ ซึ่งมีข้อความกล่าวอ้างถึงในตำนานพระเจ้าเลียบโลกว่า พระพุทธองค์ได้เสด็จมาปราบนาคสองพี่น้องที่ภูกูเวียน (ภูพระบาท) เมื่อนาคทั้งสองพ่ายแพ้ ได้ทูลขอให้พระพุทธองค์ประทับรอยพระบาทไว้ ๒ แห่ง คือ รอยพระพุทธบาทบัวบก และ รอยพระพุทธบาทบัวบาน อีกแห่งหนึ่ง (แห่งจากรอยพระพุทธบาทบัวบก 20 กิโลเมตร) ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของพื้นที่ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวถูกขนานนามว่าเป็น “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์” และได้รับการประกาศขึ้นเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม แห่งที่ 5 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2567 ในนาม “ภูพระบาท” เนื่องจากประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมาสมัยทวารวดี (Phu Phrabat, a testimony to the Sima stone tradition of the Dvaravati period) พบว่ามีคติการปักใบเสมาล้อมรอบศาสนสถานในสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ 12-16 กระจายอยู่ทั่วไป อันแสดงให้เห็นว่าภูเขาแห่งนี้มีความสืบเนื่องของการเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงสมัยทวารวดี สมัยเขมรพระนคร สมัยลาวล้านช้าง จวบจนถึงยุคปัจจุบัน
ไม่เพียงเท่านั้น ความสำคัญของภูพระบาทยังมีความหมายในมิติทางสังคมวัฒนธรรมของผู้คนท้องถิ่น โดยปรากฎอยู่ในตำนาน ความเชื่อ และพิธีกรรม ในงานบุญเดือนห้าของชาวบ้านใหม่และบ้านเมืองพาน ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ชุมชนชาวไทเลยที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณเชิงเขาภูพระบาทมากว่า 300 ปี ซึ่งได้พึ่งพาธรรมชาติบนป่าเขาเป็นแหล่งหาอยู่หากินเพื่อการดำรงชีพ จนเกิดเป็นความเชื่อที่ว่าด้วยความอุดมสมบูรณ์ที่มีอยู่ ล้วนเกิดจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ดลบันดาลประทานให้แก่พวกเขา ดังนั้น แล้วจึงต้องทำการเซ่นสรวงบูชาเป็นประจำทุกปี เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกิดความพึงพอใจ คติความเชื่อดังกล่าวสัมพันธ์กับความเป็นมาของรอยพระพุทธบาทบัวบกที่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาด้วย โดยในตำนานอุรังคธาตุ หรือตำนานการสร้างพระธาตุพนม เอกสารทางประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรล้านช้างที่บันทึกขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2181 กล่าวว่า พระพุทธบาทบัวบกเป็นรอยเท้าที่พระพุทธเจ้าได้กดประทับไว้บริเวณเหนือปากถ้ำพญามิลินทนาค บนยอดเขาภูกูเวียน (ภูพระบาทในปัจจุบัน) เพื่อให้พญานาคและมนุษย์ได้สักการะบูชา นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังได้เสด็จไปประทับรอยพระพุทธบาทบัวบาน และพระพุทธบาทหลังเต่าในบริเวณภูดอยใกล้เคียงกันอีกด้วย ตามที่กล่าวมาข้างต้น
การรับรู้ของผู้คนท้องถิ่นนั้นเชื่อกันว่า เพิงหินที่ตั้งอยู่ใกล้กับรอยพระพุทธบาทบัวบกนั้น เป็นถ้ำที่เป็นทางน้ำเชื่อมต่อกับสะดือแม่น้ำโขงบริเวณหลังวัดอาฮงศิลาวาส อ.เมือง จ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นทางขึ้นลงของพญานาโคนาคราช ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาพระพุทธบาทบัวบก รวมถึงเป็นผู้ให้กำเนิดดินและน้ำบนโลกมนุษย์ ทำให้ชาวชุมชนบ้านใหม่ต่างนับถือพญานาโคนาคราชเป็น “เจ้าปู่” หรือผีบรรพบุรุษ จึงต้องจัดพิธีบูชาเป็นประจำทุกปีในงานบุญสรงน้ำเดือนห้า (เดือนเมษายน) ที่จัดขึ้นบริเวณวัดพระพุทธบาทบัวบกบนยอดเขาภูพระบาท พร้อมกับการจัดงานบุญบั้งไฟเดือนหก (เดือนพฤษภาคม) ที่ดอนปู่ตาหนองเป่งภายในหมู่บ้านใหม่ ต.เมืองพาน
ในส่วนนี้จะกล่าวถึงบุญสรงน้ำเดือนห้าที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน 2568 พิธีกรรมเริ่มขึ้นช่วงเช้าราว 09.00 น. โดยชาวบ้านใหม่ประมาณ 100 คน ได้ทยอยเดินทางมายังบริเวณวัดพระพุทธบาทบัวบก ประกอบไปด้วยคนกลุ่มต่าง ๆ คือ 1) นางเทียม หรือร่างทรงดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงสูงอายุ ประมาณ 30 คน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าฝ้ายสีขาว ห่มสไบ โพกหัวด้วยผ้าสีขาว นุ่งซิ่นผ้าทอพื้นบ้านสีสันงดงาม 2) เฒ่าจ้ำ ทำหน้าที่ในการเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างร่างทรงกับชาวบ้าน และเป็นผู้ประสานงานทั่วไป มีอยู่ 4 คน ล้วนแล้วแต่เป็นชายสูงวัยในหมู่บ้าน ซึ่งคนกลุ่มนี้แต่งกายด้วยเสื้อสีขาว มีผ้าขาวม้าคาดเอว และ 3) ชาวบ้านผู้เข้าร่วมพิธี ถือได้ว่าเป็น “ลูกเผิ่งลูกเทียน” (ลูกผึ้งลูกเทียน) คนกลุ่มนี้สวมใส่เสื้อผ้าตามแบบชีวิตประจำวันทั่วไป
การทำพิธีกรรม เริ่มจากการที่ลูกเผิ่งลูกเทียนนำเอาดอกไม้ธูปเทียนมาคารวะให้กับนางเทียมและเฒ่าจ้ำ ที่ถือว่าเป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองตัวเองและครอบครัว จากนั้นจะเป็นการสักการะบูชารอยพระพุทธบัวบก พร้อมทั้งกล่าวขอขมาสิ่งที่ได้กระทำล่วงเกิน ก่อนที่ผู้เข้าร่วมพิธีจะจัดขบวนร่ายรำแห่แหนไปรอบองค์พระธาตุเจดีย์ที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทบัวบก จำนวน 3 รอบ อันมีความหมายถึงการนมัสการพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ความสำคัญของพิธีกรรมบุญสรงน้ำ คือ การบูชาดวงวิญญาณพญานาค โดยเมื่อเสร็จสิ้นพิธีทางพุทธศาสนา ชาวบ้านจะทำการถวายเครื่องเซ่นสังเวยหลากหลายชนิดภายในถ้ำ ได้แก่ บายศรีขันหมากเบ็ง ดอกไม้ธูปเทียน ผลไม้ ขนมหวาน น้ำหวาน เหล้า หมากพลู และยาสูบ โดยเฒ่าจ้ำจะเป็นผู้นำสวดคาถาอ้อนวอนขอให้พญานาโคนาคราชดลบันดาลฝนฟ้า และขอความบริบูรณ์พูนสุขในทุกด้านให้เกิดแก่ชุมชน ในส่วนผู้เข้าร่วมพิธีก็มีคำขอที่แตกต่างกันออกไป เช่น ขอความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีกิจการการค้าที่ร่ำรวย หรือขอให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ต่อจากนั้นชาวบ้านจะนำน้ำสะอาดที่ได้เตรียมมาจากบ้านสาดรดลงบนผนังถ้ำ
เกี่ยวกับพิธีสรงน้ำ หรือที่เรียกกันว่า “บุญฮดสรง” ในช่วงสงกรานต์นี้ เป็นพิธีขอฝนที่พบได้ทั่วไปในภาคอีสาน และมีการปรับแต่งตามขนบท้องถิ่น โดยแต่ละท้องที่ได้จัดให้มีการสรงน้ำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ เช่น พระพุทธรูป รูปเคารพ พระธาตุเจดีย์ กู่ หรือปราสาทหินที่มีอยู่ในชุนชน นอกจากนี้ บางท้องที่ได้จัดให้มีการจุดบั้งไฟ และการตบปะทาย หรือการก่อกองทรายเป็นสัตว์สัญลักษณ์แทนน้ำ เช่น เต่า จระเข้ พญานาค เป็นต้น (ในส่วนของชุมชนชาวบ้านใหม่นั้นได้มีการจุดบั้งไฟถวายแด่พญานาโคนาคราช)
เมื่อเสร็จสิ้นการถวายเครื่องเซ่น บรรดานางเทียม และชาวบ้านร่วมฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนาน โดยมีผู้ชายที่เข้าร่วมพิธีทำหน้าที่ในการตีกลอง ประโคมฆ้อง ฉิ่งฉาบ เป็นจังหวะท่วงทำนองที่ชวนเร่งเร้าให้เกิดความคึกคักฮึกเหิม ในช่วงเวลานี้เกิดการประทับทรงของดวงวิญญาณปู่นาโคนาคราชและบริวารในร่างกายของนางเทียม ซึ่งได้มีการแสดงอากัปกิริยาที่แปลกประหลาดไปจากเดิม บ้างก็กรีดร้องตะเบ็งเสียงขู่คำราม บ้างก็เต้นรำเขย่งขย่อนไปทั่วบริเวณ
การเข้าทรงของนางเทียมที่กล่าวมานี้ จะเกิดขึ้นเฉพาะห้วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ในระหว่างประกอบพิธีกรรมเท่านั้น ซึ่งในทางหนึ่งเป็นการแสดงพฤติกรรมที่ไม่พบเห็นในชีวิตประจำวันปกติ ดังนั้น การฟ้อนรำของนางเทียมและชาวบ้านจึงเป็นการปลดปล่อยของผู้คนที่ต้องการระบายความอัดอั้นตันใจที่พวกเขาเผชิญในโลกแห่งความเป็นจริง ทั้งการเป็นแรงงานในภาคเกษตรกรรม และภาคอุตสาหกรรมที่มีชีวิตขึ้นลงกับความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงการมีภาระความรับผิดชอบต่อความคาดหวังของคนในครอบครัวและชุมชน ด้วยปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้การละเล่นฟ้อนผีในบุญสรงน้ำเดือนหน้ายังคงมีความหมายและความสำคัญอยู่ในโลกสมัยใหม่
ดร.อนุชิต สิงห์สุวรรณ อาจารย์คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม หัวหน้าโครงการวิจัยเรื่อง “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ : “ภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมของเทือกเขาภูพาน และผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวชุมชนเชิงสร้างสรรค์” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ปีงบประมาณ 67-68 ทำการศึกษาความสำคัญของภูพระบาทในมิติทางสังคมวัฒนธรรมของท้องถิ่น กล่าวว่า “บุญสรงน้ำเดือนห้าที่พระพุทธบาทบัวบกที่ภูพระบาท แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภูเขาลูกนี้ในฐานะศูนย์กลางจักรวาลของท้องถิ่น เป็นแหล่งรวมอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนต่างเชื่อว่าเป็นสิ่งที่โอบอุ้มค้ำจุนพวกเขาให้รู้สึกถึงความมั่นคงปลอดภัย เมื่อมาสักการะบูชารู้สึกได้ว่าเกิดความมั่นใจในการใช้ชีวิต เกิดมีกำลังใจในการต่อสู้ดิ้นรน เพราะในทางประวัติศาสตร์แล้วชุมชนชาวบ้านใหม่ ชาวบ้านเมืองพาน และชุมชนที่อยู่รายรอบภูพระบาท ก็เหมือนกับหมู่บ้านอีสานทั่วไป ที่ผู้คนส่วนใหญ่ไปเป็นแรงงานพลัดถิ่น ทำงานต่างบ้านต่างเมือง การกลับบ้านในช่วงสงกรานต์จึงไม่เพียงแต่หมายถึงการกลับมาเยี่ยมครอบครัวเท่านั้น แต่หมายถึงการมาร่วมในงานบุญอันยิ่งใหญ่ รับพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปต่อสู้กับวิกฤตปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ที่ขึ้นอยู่กับระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ใหญ่กว่านั้นที่พวกเขาควบคุมจัดการอะไรไม่ได้เลย สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า “ภูพระบาท” เป็นพื้นที่ทางสังคมที่ถักทอเชื่อมประสานให้ผู้คนได้มาพบปะกัน ภายใต้ศรัทธาความเชื่อที่มีร่วมกัน คำถามคือว่าศักยภาพที่มีอยู่ภายในชุมชน เราจะหาวิธีการหนุนเสริมสร้างความเข้มแข็งนี้ได้อย่างไร”
เรียบเรียง : พัฒนะ พิมพ์แน่น นครพนมโฟกัส