เสียงของครูและเด็ก ๆ ในการจัดการเรียนรู้รักษ์น้ำแบบ Active Learning กับการเปลี่ยนแปลง

“นักเรียนได้คิด และ ลงมือทำด้วยตนเอง” การจะทำให้นักเรียน Active ได้เราต้องรู้ก่อนว่านักเรียนชอบอะไร เด็กเกิดความสนุกเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ทำให้เด็กเกิดอิสระทางความคิด“

หัวใจสำคัญของการสอนแบบ Active Learning คือนักเรียนได้คิดและลงมือทำด้วยตนเอง ความท้าทายคือ ผู้บริหารและครูแต่ละโรงเรียนเมื่อเข้าใจหลักการสำคัญนี่แล้ว จะนำไปบริหาร จัดการเรียนรู้อย่างไรให้สอดคล้องกับนักเรียนและบริบท สภาพแวดล้อมในโรงเรียนและชุมชน ครูจึงต้องวิเคราะห์ผู้เรียนว่า เด็กๆ ในห้องเรียนเรามีความชอบอะไร วิธีการจัดการเรียนรู้จะต้องสอดคล้องกับความชอบ ทำให้เด็กๆ สนุก หากครูทำให้ห้องเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย เด็กจะมีอิสระในการคิดสร้างสรรค์และกล้าแสดงออก ผ่านการลงมือทำโครงงาน ซึ่งเด็กๆ ในโรงเรียนบ้านนากลาง สาขาบ้านห้วยผักกูด วิเคราะห์ปัญหาในโรงเรียนแล้วเลือกทำโครงงาน ”ถังดักไขมัน“ และตนได้ออกแบบ DIY model คือ D Discover(ค้นพบ) Innovate(สร้างสรรค์) Yield(ผลลัพธ์)

เราทุกคนรักบ้านเกิดตัวเอง เด็ก ๆ ก็เช่นกัน สิ่งที่เขาได้เรียนรู้นอกห้องเรียน กับครูที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็น #โค้ช คอยเอื้ออำนวยการเรียนรู้ และนำไปใช้แก้ปัญหาในโรงเรียนและชุมชนเขาได้จริง

คำพูดผ่านเวที TEDTALK โดย ครู ธีรพงศ์ กวางกระโดด โรงเรียนบ้านนากลาง สาขาบ้านห้วยผักกูด อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ส่วนหนึ่งของ เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การพัฒนากระบวนเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมกับการอนุรักษ์น้ำเพื่อการเข้าถึงน้ำดื่มที่ปลอดภัย สุขาภิบาลและสุขอนามัยที่พอเพียงและเป็นธรรม จัดโดย มูลนิธิรักษ์ไทย ร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต 1 , เขต 5 และเขต 6 ที่สนับสนุนโดย Swarovski Foundation ณ ศูนย์ประชุมชุมนานาชาติคุ้มคำ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

การเรียนรู้ผ่านธรรมชาติ natural Inspired Learning โดยพี่พิภพ ห้องเรียนสุดขอบฟ้า กล่าวว่า อยากจะชวนคุยเรื่องการศึกษาที่มีธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจ เปรียบเทียบกลุ่มคนสูงวัย จริง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะแต่เยาวชนทุกคนสามารถ เข้ามามีส่วนร่วม

สาเหตุที่เราอยากจะให้ทุกคนมีส่วนร่วม เพราะภาพที่เห็นอยู่บนจอคือสถานการ์ปัจจุบัน โลกร้อน โลกรวน กับวิทยาศาสตรภาคพลเมือง เราเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะอากาศ อย่างที่เราติดตามข่าวสาร จะเห็นไม่ว่าจะภาคไหนหรือส่วนไหนของโลก เกิดพายุรุนแรง น้ำท่วม ฝุ่น เห็นเลยว่าเราจะต้องโอบอุ้มโลกใบนี้

กลไกหนึ่งที่เป็นกลไกสําคัญของการเรียนรู้ โดยใช้ธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจ คือ หลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอันนี้ตอนสมัยตนเป็นรองผู้อํานวยการ สสท.ไทยพีบีเอส เราให้ความสําคัญเปิดช่อง ALTV ซึ่งเราได้ทํางานใกล้ชิดกับสพฐ.แล้วก็สอวช. เพื่อพัฒนาองค์ความรู้สําหรับการเรียนการสอน ที่สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน ต่างประเทศ ทำ Active Learning เขาลงไปในพื้นที่และทำการสํารวจ ของเราก็มีเช่นกัน โครงการของทางไทยจะเห็นได้ว่ามีการลงไปสํารวจลุ่มน้ำ เด็ก ๆ และคุณครูร่วมทํางานร่วมกันกระบวนการที่มันเป็น active จึงกุญแจหนึ่งให้ได้เรียนรู้ร่วมกัน

ในเชิงวิชาการ คุณพิภพ กล่าวถึงรากของพัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์พลเมือง และการเรียนรู้หรือใช้ธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจในศึกษา เวลาเราพูดถึง active learning จะนึกถึงลดวิชาการแล้วเพิ่มการเล่น หรือการออกไปทํากิจกรรม แต่จริง ๆ แล้ว การทํา Pactiv eLearning หัวใจอยู่ที่ทฤษฎี และแนวคิดที่เป็นพื้นฐาน ซึ่งถ้าเราพูดถึงธรรมชาติวิทยา ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ในหลวงของเราทรงมีการสื่อสารกับนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นรากฐานของการทาง active learning เพราะฉะนั้น เด็กเวลาเข้าไปทํา active learning คือ เรียนรู้ในอดีต เรียนรู้จากตนเอง รู้จักท้องถิ่น รู้จักองค์ความรู้เป็นสากล รู้จักบุคคลสําคัญที่เป็นปูชนียบุคคลในชาติของเราก็เป็นเรื่องสำคัญเป็นพัฒนาการ

“มนุษย์เกิดขึ้นมาบนโลก ด้วยการอยู่ร่วมกัน” สําคัญมากเวลาเราขับเคลื่อนโครงการแบบนี้ ให้สวมหลักคิดในเรื่องสมรรถนะเข้าไป เพราะการทํางาน ฟังจากคําพูดกับท่านผู้บริหารท่านหนึ่ง ชอบมากก็คือว่าเราไม่ได้อยู่ตามคําสั่ง เราไม่ได้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือก้มหน้าใส่มือถือเราต้องอยู่กับเพื่อนคนอื่น เข้าใจกระแสความเปลี่ยนแลงของโลก เพราะฉะนั้นการทํางานเติมทักษะการสื่อสาร ทักษะการเล่าเรื่อง ทักษะการประมูลความรู้ ทักษะการควบคุมตัวเอง ทักษะท้ายที่สุด ก็คือการเรียนรู้ที่เป็นครู


คุณ ดิเรก เครือจันทิ มูลนิธิรัตน์ไทยภาคเหนือสายงานด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงภาพรวมของงานครั้งนี้ เวทีสัมมนาวันนี้ เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์น้ำของเด็ก ๆ ซึ่งมีที่มาจากโครงการด้านโรงเรียนรักษ์น้ำ ที่ดําเนินงานมาระยะเวลา 3 ปี โดยพื้นที่รัฐไทยสนับสนุน โดย Swarovski Water School โครงการนี้เราจะมุ่งเน้นในเรื่องของพัฒนาศักยภาพอื่น ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนแบบมีส่วนร่วม ตามแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก active learning คุณครูจะช่วยกันพัฒนาหลักสูตรการสอนที่ในห้องเรียน จัดกระบวนการรู้ในห้องเรียนและส่วนหนึ่งนอกห้องเรียน พัฒนาศักยภาพเด็ก เรื่องการเรียนรู้เรื่องน้ำ ให้เด็กค้นหาปัญหาเรื่องนน้ำของโรงเรียนตัวเอง หรือชุมชนของตนเอง หลังจากนั้นเด็ก ๆ ก็จะพัฒนาโครงงานของเด็ก ๆ เขาสนใจในการแก้ไขปัญหาหรืออยากจะเรียนรู้เรื่องอะไร ซึ่งมีโครงงานอยู่ 24 โครงงาน เด็ก ๆ ประมาณ 900 กว่าคน ร่วมโครงการและทําโครงงานขึ้นมา ซึ่งภายใต้โครงงาน เด็ก ๆ ก็จะไปสํารวจ เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพของน้ำ ดูความหลากหลายของนก แมลง และมีการศึกษาปัญหาและสาเหตุของปัญหาเรื่องน้ำในชุมชน ทําเป็นคะแนนการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำอีกทีหนึ่ง

ซึ่งจะมีโรงเรียนที่มีการนําโครงงานของเด็ก ๆ ไปนําไปสู่การแก้ไขปัญหาน้ำ เช่นทําระบบกรองน้ำใน ทําระบบกักเก็บน้ำในโรงเรียน หรือปรับปรุงจุดน้ำดื่มหรือจุดน้ำล้างมือให้กับเด็ก ๆ ที่ให้เด็ก ๆ มีน้ำสะอาดที่เพียงพอต่อการใช้งาน เป็นที่มาที่เรานําผลงานต่าง ๆ มาร่วมแลกเปลี่ยน ในส่วนของคุณครูเป็นลักษณะของการมาแลกเปลี่ยนรู้ถึงประสบการณ์และบทเรียนการพัฒนาหลักสูตร ว่าเราต้องการที่จะทําอย่างไรให้สามารถที่จะใช้ และต่อยอดอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ 19 โรงเรียน ซึ่งแต่ละโรงเรียนเราจะมีการพัฒนาหลักสูตรการเรื่องของ active learning เกี่ยวกับการเรียนรู้เรื่องน้ำ แต่ละโรงเรียนจะนำเอาหลักสูตรกลางเหล่านี้ ไปปรับให้เข้ากับรูปแบบการเรียนการสอนของแต่ละโรงเรียน เช่น บางโรงเรียนไปสอนในลักษณะของในช่วงชั้นปีในห้องเรียน บางโรงเรียนทําเป็นชมรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลาเรียนรู้อะไร แล้วแต่ว่าโรงเรียนเค้าจะปรับหลักสูตรตามบริบทของตนอย่างไร

เดิมสมัยก่อนสมัยก่อนเราจะให้น้อง ๆนักเรียนเก็บข้อมูลเรื่องความหลากหลาย เรื่องของทั้งสัตว์ป่า สัตว์น้ำ สัตว์หน้าดิน นก จะใช้วิธีการจดบันทึกเอา แล้วนำไปเทียบเคียงกับคู่มือต่าง ๆ แต่ ณ ปัจจุบันเราเริ่มนําเรื่องเทคโนโลยีบางอย่าง เช่นกล้องจุลทัศน์ กล้องส่องสัตว์น้ำส่องเห็นได้ชัดมาขึ้นเด็ก ๆ เห็นภาพมันขยับเขยื้อนได้ ก็สร้างความกระตือรือร้น ความสนใจของเด็ก พยายามเอากล้องจุลทรรศน์ซึ่งราคาไม่แพงมาก ให้กับเด็ก ๆ ได้ศึกษาเรียนรู้ และใช้วิธีการตรวจวัดคุณภาพน้ำที่เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราทํางานร่วมกับทางสํานักงานสิ่งแวดล้อมภาค เป็นเครื่องมือทางห้องแล็บเอาไว้ให้เด็กได้ฝึกทดลองใช้

ส่วนของการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งนอกจากนอกจากเครื่องมือ จะเป็นพวกแอปพลิเคชัน เช่น เด็ก ๆ ไปดูนก เขาก็จะสังเกตข้อมูลก่อนว่า นกตัวนี้มีลักษณะแบบใด และเทียบเคียงกับคู่มือการดูนก หรือถ้าถ่ายภาพเด็ก ๆ ก็นำเข้าไปสู่ในแอปพลิเคชัน เช่น app e-bird และมีการปักหมุด แชร์ข้อมูลข่าวสาร แชร์โลเคลันเข้าไปในแอปพลิเคชัน C-site ด้วย เด็กก็จะสํารวจแลแชร์ข่าวเรื่องราวออกไป ซึ่งแอปพลิเคชันวิทยาศาสตร์พลเมืองเหล่านี้รวมถึง iNaturalist และ C-Site จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้เราสามารถเข้าใจและรักษาถิ่นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ประเภทต่าง ๆ ที่อยู่นอกเขตคุ้มครองรวมทั้งยัง สามารถสร้างความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีกับสภาพแวดล้อมในรูปแบบที่มาก กว่าการใช้งานเพื่อรับใช้เศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์แต่เพียงฝ่ายเดียว

โรงเรียนบ้านนาไคร้ ตำบลยางเปียง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ โดยคุณครู สุวิมล สารโปร่งและคุณครูศรีจันทร์ประดี กล่าวว่า นักเรียนและคุณครูได้ทดลองทำเครื่องกรองน้ำ เพราะทางโรงเรียนเป็นตต้นน้ำ ซึ่งเหนือจากต้นน้ำเป็นหมู่บ้านและมีการทำการเกษตร ทำให้ต้นน้ำที่ไหลลงมาไม่สะอาด จึงประดิษฐ์เครื่องกองขึ้นมา

วิธีการที่ทำร่วมกับนักเรียน ให้นักเรียนลงพื้นที่ไปยังแหล่งน้ำ เก็บตัวอย่างน้ำ นำมาวัดค่าคุณภาพน้ำซึ่งพบว่ามีสารปนเปื้อน จึงทำการประดิษฐ์เครื่องกองน้ำ จากเดินน้ำเป็นสีน้ำตาลส้ม หลังจากทำเครื่องกรองน้ำและเทสในการกรองทำให้น้ำในโรงเรียนใส สะอาดและสามารถบริโภคได้

ซึ่งหลังจากที่ทางโรงเรียนประดิษฐ์เครื่องกองน้ำแล้วเสร็จ จะมีการลงพื้นที่ร่วมกับชุมชนทำฝายชะลอน้ำหลังช่วงหน้าฝน ทำกับผู้ปกครองและคนในชุมชน คุณครูมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ได้ปรับหลักสูตรจากการที่เราสอนและเด็กเรียนอยู่แต่ในห้องเรียน ได้ลงพื้นที่ ได้สำรวจแหล่งน้ำ เห็นปัญหา ได้เรียนรู้ว่าแหล่งน้ำมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถบ่งบอกสุขภาพของน้ำที่เราใช้กันในชุมชน ประยุกต์วิชาวิทยาศาสตร์พลเมือง กับการเรียนทฤษฎีในห้องเรียน ทำให้เราเห็นปัญหาและค้นหาทางออกเพื่อตัวเราเองและชุมชนที่เราอาศัอยู่

แชร์บทความนี้