ความมั่นคงทางอาหารอยู่ไหน เมื่อปลาหมอคางดำยังไม่หมดไป

ในช่วงนี้เป็นฤดูน้ำหลาก น้ำท่วมภาคใต้ เป็นอีกความกังวลของพื้นที่ ว่าปลาหมอคางดำจะแพร่พันธุ์ไปยังแหล่งน้ำอื่นๆ มากขึ้น เพราะการระบาดของปลาหมอคางดำส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เกษตรกรและความมั่นคงทางอาหาร เพราะลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาครอบคลุมพื้นที่สงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง สุดแห่งหนึ่งของโลก

ทะเลสาบสงขลา มีคุณค่าทางธรรมชาติจากการเป็น “ทะเลแบบลากูน” (Lagoon) หนึ่งเดียวของ ประเทศไทย และเป็นหนึ่งใน 117 แห่งทั่วโลก ที่จัดว่าเป็นแหล่งที่มีคุณค่าทางธรรมชาติและเป็นทะเลสาบแห่งเดียวในประเทศไทย มีพื้นที่ติดกัน 3 จังหวัดได้แก่จังหวัดพัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราช ทะเลสาบสงขลา จึงมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง รวมถึงระบบนิเวศเเละภูมิปัญญา ท้องถิ่น เนื่องจากเป็นพื้นที่การไหลเวียนของลุ่มน้ำย่อย ๆ ต่างๆ จากลำธาร – สู่ที่ราบพื้แนที่น้ำท่วม เเละไหลลงสู่ทะเล เป็นลักษณะของทะเลสามน้ำ

ทะเลสาบสงขลาจึงเปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำของชุมชนรอบทะเลสาบ มีอาชีพประมงเป็นหลัก มีทรัพยากรสัตว์น้ำที่สมบูรณ์ ทั้งอาหารจากสัตว์น้ำ กุ้ง ปลาสดใหม่ ราคาถูก เพราะไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางและยังช่วยให้ชาวประมงมีรายได้ เกิดการจ้างงานและสร้างอาชีพเกิดรายได้ ในชุมชน จาก การสำรวจสัตวน์น้ำ พบชนิดของสัตว์น้ำประมาณ 450 ชนิด 

แต่ช่วงปีที่ผ่านมา พบการระบาดของปลาหมอคางดำ ในหลายพื้นที่ชาวบ้านที่ประกอบอาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา ต่างได้รับผลกระทบ ทำให้ไม่ได้รับผลผลิตหรือได้ผลผลิตน้อยลง รวมถึงมีผลกระทบต่อสัตว์น้ำพื้นถิ่นที่จะมีจำนวนลดลงและหายไปในอนาคต ปลาหมอคางดำส่วนใหญ่พบอาศัยอยู่บริเวณปากน้ำที่เป็นน้ำกร่อย ป่าชายเลน จนถึงบริเวณชายฝั่งทะเล สามารถทนความเค็มได้สูงและทนต่อการเปลี่ยนแปลงความเค็มในวงกว้าง นอกจากนี้ยังพบปลาชนิดนี้ในพื้นที่น้ำจืด แม่น้ำ และทะเลสาบน้ำจืด ในบริเวณที่มีกระแสน้ำไม่ไหลแรง กล่าวคือปลาชนิดนี้สามารถอยู่ได้ในน้ำเกือบทุกประเภท

รายการฟังเสียงประเทศไทย ชวนติดตามสถานการณ์ปลาหมอคางดำอย่างใกล้ชิด กับแนวทางในการแก้ปัญหา เเละมาตรการที่ต้องทบทวน รวมถึงการเฝ้าระวังลุ่มน้ำเลสาบ จากวิกฤติ ปลาหมอคางดำ

ภัชรพล สังฃไพฑูรย์ ประธานชมรมกุ้งสงขลา เล่าว่า จากประสบการณ์ที่ผมเจอ ผมเป็นเกษตกรผู้เลี้ยงกุ้งใน อำเภอระโนด ได้รับผลกระทบโดยตรง เมื่อสัก 7-8 เดือนที่เเล้ว เราได้รับรายงานการระบาดในพื้นที่ อ.หัวไทร อ.ปากพะนัง เเละมาทางอ.ระโนด จากนั้นผมเข้าไปคุยกับประมงอำเภอ เเละได้ลงพื้นที่สำรวจโดยการทอดเเห เเละเจอปลาหมอคางดำ สอบถามชาวบ้านว่ามาได้อย่างไร เพราะระโนดเองเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกันกับคลองสาขาเเละเชื่อมกับลุ่มน้ำเลสาบสงขลา คิดว่าว่าหมอคางดำคงระบาดไปในหลายพื้นที่เเล้ว ที่สำคัญน่าจะมากับน้ำหลากในช่วงปลายปีที่ผ่านมา

จากนั้นเราได้ชวนภาคประชาชน ตั้งทีมล่าปลาหมอคางดำ ร่วมกันจับปลาในลำคลองสาธารณะประมาณ 3 ครั้ง สถานการณ์ปัจจุบันที่เราเจอ เราพบในลำคลองสาธารณะเขตรอยต่อมีไม่เยอะเพราะเป็นน้ำขึ้น-น้ำลง :ซึ่งปลาหมอคางดำไม่ชอบน้ำจืด เเต่ที่เจอเยอะในพื้นที่การเลี้ยงกุ้ง เจอในบ่อพักที่สูบน้ำกร่อย บ่อกุ้งร้างที่ประสบปัญหาขาดทุน เเละในคูระบายน้ำริมถนน

จากกิจกรรมที่ทำเราได้ปล่อยปลานักล่าเเละจับปลาหมอคางดำประมาณสามครั้งพบว่าปลาหมอคางดำลดน้อยลง เเต่พอทิ้งไว้สัก2-3 เดือนก็เพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัว สาเหตุคือ การจับเราจับตัวใหญ่ ตัวเล็กไม่ติดมา ที่สำคัญปลาหมอคางดำทนต่อสภาพเเวดล้อม โตเร็ว สืบพันธุ์ขยายพันธุ์เร็ว เเละเป็นปลานักล่าลูกสัตว์น้ำวัยอ่อน

สุภเศรษฐ โอภิธากรณ์ ช่างภาพสิ่งเเวดล้อมเล่าว่า เจอครั้กเเรกจำบรรยากาศได้ว่าคือเราทดลองกิน เจ็บใจ ซื้อไปในราคา 160 บาท ซึ่งไม่อร่อย กระดูเเข็งมาก หลังจากนั้นผมก็เข้าไปสำรวจพื้นที่ปากพนัง หัวไทร เเละระโนด เรามีความกลัวจากสิ่งที่เราเจอ เพราะเรารู้เลยว่าความหลากหลายของระบบนิเวศหายไปเเน่นๆ จับครั้งนึงได้ประมาณ 100 กิโลกรัม จะมีปลาอื่นๆปนมาเพียงเเค่ 3-5 ตัวเท่านั้นซึ่งน้อยชนิดมาก เคยคุยกับชาวบ้านที่ปากพนัง บอกว่าจากที่เคยจับกุ้งได้ตอนนี้หายไปหมดเเล้ว

เราต้องทำให้ระบบนิเวศเราเเข็งเเรงอย่าให้อ่อนเเอ พื้นที่อนุบาลสัตว์น้ำพันธุ์สัตว์น้ำของโลก ที่มีความเป็นลากูน

ผมเป็นช่างภาพสัตว์ป่าผมอยากถ่ายเวลานกกินปลาหมอคางดำ เเต่ผมถ่ายไม่ได้ นกกาน้ำที่เคยกินปลาอยู่เป็นประจำเเต่ปลาหมอคางดำมันไม่กิน ผมรอเป็นวันๆ ไม่เคยเห็น เห็นเพียงเเต่นาคไล่จับปลาหมอคางดำ

ปิยทัศน์ วันเพ็ญ มูลนิธิสถาบันทรัพยากรชายฝั่งแห่งเอเชีย เล่าว่า ผลทำงานลุ่มน้ำปากพนัง เราดูเรื่องการฟื้นฟูบ่อกุ้งร้าง เเละสิ่งที่เราเห็นในช่วง 5 ปี ปลาหมอคางดำไม่ใช่เรื่องใหม่ของคนลุ่มน้ำปากพนัง ข้อมูลที่เรามีจากพื้นที่ กระบวนการจัดการปลาหมอคางดำ เรื่องการให้ความรู้กับชาวบ้าน ซึ่งเขาไม่รู้จักเลยจนกระทั้งปัญหามาอยู่ที่เขา สุดท้ายกลไกการปฎิบัติคือการจับปลาหมอคางดำ จุดเริ่มต้นเเรกๆไม่ได้เริ่มจากหน่วยงานราชการ เเต่เริ่มจากภาคประชาชน ส่วนราชการใช้วิธีการซื้อ เเต่วิธีการคือให้ชาวบ้านจับเเละสร้างเเรงจูงใจ เเต่มองว่ายังไม่ได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ รวมถึงเครื่องมือการกำจัดยังไม่มี เราไม่เคยถอดองค์ความรู้เหล่านี้เลย

พอเป็นที่สงขลา เอเลี่ยนสปีชี่ย์ ไม่ใช่พึ่งเกิดขึ้นครั้งเเรก เเต่เกิดมาตั้งเเต่ปี 45 เพราะกรมประมงประสบความสำเร็จในการเลี้ยงปลาบึกเป็นครั้งเเรกเเละปล่อยในทะเลสาบลงขลา เเละปี 48 เราพบโลมาอิรวดี ร้อยกว่าตัว เราพบว่าอีก 20 ปีข้างหน้า โลมาอิรวดีจะสูญย์พันธุ์นั้นคือ ปี 74 ตอนนี้เปอร์เซ็นลดลงเพิ่มขึ้น มี 3 ปัจจัย

  • จากเอเลี่ยนสปีชี่ส์บุกทะเลสาบสงขลา คือ ปลาบึกผสมพันธ์ได้เองตามธรรมชาติ ขนาดตัวใกล้เคียงกันกับโลมา เเละโลมาอิรวดีมีความอ่อนเเอเพราะการผสมพันธุ์กันเอง
  • เเหล่งอาหารหายากเพราะบบนิเวศเปลี่ยน
  • ถูกดักด้วยอวน ติดเครื่องมือประมง

การสร้างอาชีพใหม่ให้เกษตรซึ่งผมว่าไม่ถูกเเต่ต้อง เเต่ต้องทำให้ชาวบ้านเรียนรู้ หากปลาหมอคางดำลงมาในพื้นที่เลสาบ กุ้งก็จะหายไป ก็กระทบกับโลมาอิรวดี เเละทำให้สูญพันธุ์ได้เร็วขึ้น

เราชวนมองสามฉากทัศน์

ฉากทัศน์ที่ 1: เลสาบร้าง

ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา เผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ที่รุนแรงและซ้ำซ้อน ทั้งจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกรวนที่ส่งผลกระทบกับความสมดุลของระบบนิเวศ ทำให้สภาพน้ำในทะเลสาบไม่เสถียร เกิดการกัดเซาะชายฝั่งและน้ำเค็มรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่น้ำจืด รวมถึงโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ อาทิ สิ่งก่อสร้าง ถนน สะพานที่สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศ และซ้ำเติมความเสี่ยงต่อการสูญสิ้นของความหลากหลายทางชีวภาพและพันธุ์สัตว์น้ำพื้นถิ่น จากการบุกรุกของปลาหมอคางดำ

ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลร่วมกับภาคราชการท้องถิ่น ตั้งงบประมาณและประกาศมาตรการเพื่อควบคุม กำจัดปลาหมอคางดำอย่างเข้มข้น แต่เนื่องจากปัญหากระจายตัวออกไปในวงกว้าง และวิธีการในการจัดการซึ่งเน้นการจับและปล่อยปลาผู้ล่าฯ แต่เนื่องจากขาดกลไกการสื่อสาร ประสานงานระหว่างหน่วยงานและกับส่วนท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีแค่บางพื้นที่ของทะเลสาบสงขลาที่สามารถจัดการกับปลาหมอคางดำให้เหลือจำนวนน้อยได้จริง แต่ไม่ทันกับความเสียหายต่อระบบนิเวศที่ขยายตัวและลุกลามไปกระทั่งยากที่จะฟื้นคืนในเวลาอันสั้น

ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นจะค่อยๆ ถูกยอมรับเป็นสิ่งมีชีวิต แทนที่สัตว์ประจำถิ่นเดิมที่สูญพันธุ์ไป แต่ในช่วงเวลาของการปรับเปลี่ยนนั้น รัฐไม่มีมาตรการชัดเจนว่า จะเยียวยาหรือฟื้นฟูความเสียหายต่อผู้คน ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมอย่างไร  ส่วนของท้องถิ่นแม้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหา แต่ทำได้เพียงตั้งรับกับความเสียหายและพยายามเรียกร้องการชดเชยเยียวยาต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ทั้งจากบริษัทเอกชนผู้เกี่ยวข้องและจากภาครัฐ ซึ่งนับจากนี้ไปยากจะคาดเดาได้ว่า นิเวศทะเลสาบอันสมบูรณ์และหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตลุ่มน้ำ จะฟื้นคืนกลับมาเมื่อไร

ฉากทัศน์ที่ 2: เลสาบโรย

ชุมชนรอบทะเลสาบสงขลาพลิกวิกฤตการรุกล้ำของปลาต่างถิ่นเป็นโอกาส แก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ โดยจับมือกับภาคเอกชนในพื้นที่ ผู้ประกอบการขนาดเล็ก (SMEs ) สร้างงานและรายได้จากการแปรรูปปลาหมอคางดำเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ภายใต้สถานการณ์ความเปราะบางและไม่แน่นอนของระบบนิเวศของทะเลสาบสงขลา

  การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำและชนิดพันธุ์ต่างถิ่นอื่น ๆ ถูกควบคุมในบางพื้นที่เท่านั้น เนื่องจากท้องถิ่นยังขาดระบบเฝ้าระวังเพื่อตรวจสอบและประเมินผลกระทบที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ขาดข้อมูลและไม่สามารถดำเนินการแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ประกอบการผลกระทบจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ ทำให้ทรัพยากรน้ำและสัตว์น้ำพื้นถิ่นลดลงเรื่อย ๆ แม้ว่าชุมชนท้องถิ่นจะพยายามปรับตัว แต่ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนในอนาคต

แต่การใช้กลยุทธ์การจัดการปลาหมอคางดำโดยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงนั้น นอกจากจะต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของชุมชนเพื่อจับและรวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นวิสาหกิจแล้ว ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อปลดล็อกระเบียบกฎหมายอาทิ การถือครองปลาหมอคางดำ เรื่องบประมาณท้องถิ่น เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมถึงประสานความร่วมมือในการพัฒนาโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและการฟื้นฟูระบบนิเวศของทะเลสาบสงขลา

ฉากทัศน์ที่ 3: เลสาบเรา

การปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาถูกดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง กระทั่งสามารถควบคุมและจัดการการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยกลไกความร่วมมือระหว่างรัฐ ชุมชน และภาคเอกชนซึ่งร่วมกันลดผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ พัฒนากลไกเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

ภาคีลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลากลายเป็นแกนหลักที่รวบรวมเครือข่ายฯ ตระหนักถึงปัญหาและต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับทะเลสาบสงขลา สร้างกลไกการเชื่อมประสาน นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่มาออกแบบการจัดการฯ โดยมีเป้าหมายหลัก เพื่อรับมือและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศทะเลสาบ และความมั่นคงทางอาหารของคนลุ่มน้ำฯ อันนำมาสู่การพึ่งพิงซึ่งกันและกันระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ดีเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ฉากทัศน์นี้เกิดขึ้นได้ ชุมชนท้องถิ่นจำเป็นต้องปรับตัว(Reskill) สร้างการเรียนรู้เพื่อพร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ต้องสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดการทำงานร่วมเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน ขณะที่ภาครัฐโดยเฉพาะราชการส่วนท้องถิ่น ต้องอำนวยความสะดวกให้กับภาคประชาชนในการแก้ปัญหา ทั้งในเรื่องกฎระเบียบ งบประมาณ ภาคเอกชนและภาควิชาการ จะต้องสนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยีทีเหมาะสมให้กับภาคประชาชน เนื่องจากปัญหาทะเลสาบสงขลามีความซับซ้อนและหลากมิติ ไม่สามารถแก้ปัญหาภายในเร็ววันได้

สามารถโหวตได้ที่ลิ้งค์

แชร์บทความนี้