ชุมชนนางเลิ้งในสายตาคนรุ่นใหม่กับโอกาสที่เป็นไปได้ของพื้นที่

“หากวันนี้ตัวคุณเองคิดถึงตลาดนางเลิ้ง คุณคิดถึงอะไร ?”

ตลาดนางเลิ้ง ย่านทางการค้าและวัฒนธรรมสำคัญแห่งหนึ่งในกรุงเทพ การเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาทำให้นางเลิ้งหรือจากเดิมชื่อ ทุ่งสนามควาย ปรับเปลี่ยนโฉมหน้าไปตามสถานการณ์ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือวัฒนธรรมพื้นที่อื่นถูกนำมาผสมผสานจนเกิดเป็นจุดเด่นเฉพาะตัว เป็นเหมือนจุดศูนย์กลาง นำพาความเจริญจากพื้นที่ต่าง ๆ เข้ามา นางเลิ้งจึงได้กลายเป็น “นางเอก” ของเมืองพระนครที่ไม่ว่าใครมาแล้วไม่มานางเลิ้งถือว่ามาไม่ถึงที่

ความภาคภูมิใจของคนนางเลิ้งยังคงโดดเด่นและชัดเจนผ่านการทะนุบำรุงจากสิ่งที่มีอยู่ให้กลับมาเข้มแข็งขึ้นอีกครั้งผ่าน Community Lab แต่ว่าสิ่งที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้นมุมมองของคนภายในที่ต้องการจะสื่อสารกับคนนอกที่อาจรู้จักนางเลิ้งเพียงผิวเผิน คนกลุ่มนี้มีการมองถึงจุดเด่นและโอกาสของนางเลิ้งอย่างไรบ้าง ผ่านการเดินสำรวจชุมชนแค่เพียงครึ่งวันกับคนรุ่นใหม่จากนิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับกิจกรรมเดินสำรวจชุมชน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย Community Lab และสำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะ ThaiPBS เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเกิดฐานข้อมูลในชุมชนนางเลิ้ง

บรรยากาศในวันนั้นเต็มไปด้วยความร้อนจากแสงแดด แต่ว่าก็ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใดในการเรียนรู้ของนิสิตในครั้งนี้ หลายคนบอกเล่าในห้องไว้ก่อนหน้าว่ารู้จักนางเลิ้งเพียงแค่นั่งรถผ่าน จากสนามม้าหรือชื่อตลาดเท่านั้น แต่เมื่อได้มองเห็นและรู้จักนางเลิ้งอย่างช้า ๆ ไปกับ ป้าแดง-สุวัน แววพลอยงาม และ พี่น้ำมนต์-นวรัตน์ แววพลอยงามสองแม่ลูกผู้นำชุมชน 

ข้อมูลที่ได้รับฟังทำให้นักศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์และคระอื่น ๆ กว่า 30 คน มีความอยากรู้และตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้เห็นและรับรู้ ผ่านการจดบันทึกลงสมุดหรือว่าถ่ายรูปเก็บภาพเอาไว้ พวกเราเดินผ่านทั้งร้านกล้วยทอด คาเฟ่ ร้านการ์ตูนมังงะ วัด โรงละคร ย่านตลาด ตรอกซอกซอยเล็ก ๆ แต่เรื่องราวที่อยู่ข้างในนั้นกลับไม่ได้เล็กอย่างทางเดินที่เราเห็นแม้แต่น้อย

สิ่งที่ได้ในครั้งนี้บรรดานิสิตได้นำมาร่วมบันทึกลงไว้ในเว็บ C-site เป็นฐานข้อมูล หลายคนเล่าถึงสถานที่ที่ตัวเองชื่นชอบพร้อมกับแชร์เรื่องราวของสถานที่ประกอบเข้าไป สิ่งที่สังเกตได้จากการบันทึกของนิสิตครั้งนี้พบว่าพวกเขาจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด อย่างเช่น วัดสุนทรธรรมทาน ศาลเสด็จกรมหลวงชุมพรฯ กล้วยทอด สวนจักรพรรดิ์ เป็นต้น เรื่องราวที่เขาเล่าไม่ได้มีแค่เพียงของชุดข้อมูลแต่พวกเขายังได้พบเจอเรื่องราวที่เขาชอบและมองเห็นโอกาสในการเติบโตของชุมชนทั้งจากสิ่งที่มีอยู่เดิมอย่างกองขยะที่นำมาเป็นงานศิลปะหรือบรรดาน้องแมวที่กำลังกลายเป็นจุดเด่นอันใหม่ของนางเลิ้ง

นางเลิ้งในสายตาของนิสิต: เห็นถึงปัญหาและโอกาสที่หลายคนมองข้าม

กิตติพจน์ อิ่มจาด นิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเล่าว่า การเดินชุมชนนางเลิ้งวันนี้ ได้เรียนรู้ถึงเรื่องราวที่ไม่เคยรู้มาก่อนที่อยู่ในชุมชน จากเดิมทีรู้จักนางเลิ้งแค่ผิวเผินจากสนามม้า กล้วยทอด แต่ในวันนี้ได้รู้ประวัติเรื่องราวของชุมชน ทำให้รู้สึกอยากหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวในชุมชนว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร

กิติพจน์ กล่าวว่า สนใจในประเด็นชุมชนอยู่แล้วและได้ลงชุมชนหลายพื้นที่ พบสิ่งที่คล้ายกันกับชุมชนอื่น ๆ คือความเป็นอยู่ที่ไม่ได้รับการพัฒนาเทียบเท่าชุมชนอื่นๆ ที่เคยพบเจอ ในปัจจุบัน มิติชีวิตเช่นเรื่องอาชีพหรือความสะอาดไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงมากนักและไม่ได้รับความสนใจจากคนภายนอกว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร 

สิ่งดี ๆ ของชุมชนนางเลิ้งที่สำคัญคือมีผู้นำชุมชนที่ลุกขึ้นมาพัฒนาให้ชุมชนกลายเป็นต้นแบบ ทำให้สิ่งที่มีอยู่ไม่หายไปและยังนำมาพัฒนาต่อยอดได้อีกด้วย

ละครชาตรีอาจเป็น Soft Power ต่อไปของไทยในสายตาโลก

“ละครชาตรีน่าจะเป็นสิ่งที่เข้ากับหลายกลุ่มคน มุมผู้ใหญ่อาจทำให้คิดถึงชีวิตในอดีตและเด็ก ๆ แม้ไม่เคยได้ยินแต่สามารถเอามาผสมกับเพลงแบบใหม่ได้อย่าง Hip Hob หรือ Pop สามารถนำมาโปรโมทอัตลักษณ์ของตัวเองได้”

กิตติพจน์ อิ่มจาด นิสิตคณะอักษรศาสตร์

กิตติพจน์ บอกด้วยว่า โอกาสของนางเลิ้งจะสามารถเดินไปต่อได้ในทิศทางของการเพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรม (Soft Power) ที่รัฐบาลกำลังส่งเสริมและจะเกิดการขับเคลื่อนในอีกไม่ช้า โดยละครชาตรี เป็นหนึ่งในสิ่งที่จะเป็น Soft Power ได้ เพราะรู้สึกว่ามีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากเพลงและท่าทางประกอบที่เป็นเอกลักษณ์  ทำให้เข้าถึงผู้คนหลายกลุ่ม

วัยผู้ใหญ่หรือสูงวัยก็อาจคุ้นเคยกับละครเหล่านี้ทำให้คิดถึงในอดีตที่ผ่านมา วัยเด็กลงมาอาจไม่รู้จักแต่สามารถหยิบนำมาประยุกต์กับเพลงในปัจจุบันอย่าง Hip Hob หรือ Pop ทำให้ละครชาตรีถูกเปิดกว้างมากขึ้น เช่นอย่างเพลงอีสานหรือเพลงของมิลลิ ศิลปินชาวไทย เป็นต้น

การแต่งกายของละครชาตรี ภาพจากเพจบ้านนางเลิ้ง

อยากให้นางเลิ้งเกิดขึ้นในพื้นที่ชุมชนอื่นเพื่อให้วัฒนธรรมชุมชนยังอยู่

อีกมุมมองจากพศวัต ไสยกานนท์ นิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบอกว่าเขาเองเป็นคนต่างจังหวัด สิ่งที่สามารถหยิบนำไปใช้ที่บ้านได้จากนางเลิ้งคือความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายและการส่งเสริมวัฒนธรรมในชุมชนแบบนางเลิ้งที่นำเอาวัฒนธรรมหลายอย่างที่มีมารวมกลุ่มให้เป็นกลุ่มเดียวกันได้ ซึ่งสิ่งนี้เขามองว่าในต่างจังหวัดยังไม่ได้เกิดขึ้น เขารู้สึกว่าอยากถ้ามีโอกาสในการพัฒนาชุมชนก็อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในพื้นที่อื่น ๆ เหมือนชุมชนนางเลิ้ง

“ถ้ามีโอกาสในการพัฒนาชุมชน อยากให้รวมทุกอย่างมาไว้ด้วยกันแบบนางเลิ้ง”

พศวัต ไสยกานนท์ นิสิตคณะนิเทศศาสตร์ 

นางเลิ้งในสายตาของนิสิตครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาแค่ครึ่งวันแต่เขาสามารถมองเห็นทั้งปัญหาของพื้นที่ทั้งในเรื่องการชีวิตหรือการประกอบสัมมาชีพ แต่ในขณะเดียวกันก็มองเห็นถึงโอกาสจากสิ่งที่มีทั้งในเรื่องของการรวมกลุ่มของศิลปวัฒนธรรมต่างๆ เอาไว้รวมกันหรือการพัฒนางานชิ้นใหม่จากของเดิมที่มีอยู่อย่างเช่นสวนจักรพรรดิ์ เป็นต้น นางเลิ้งทำให้เราได้เห็นว่าการต่อยอดทางวัฒนธรรมสามารถสร้างคุณค่าทางจิตใจที่ดีให้กับคนที่ได้เห็นและยังทำให้คุณค่าและเรื่องราวของชุมชนไม้เลือนหายไป

แชร์บทความนี้