ชีวิตข้ามพรมแดน ประชากรข้ามชาติและความหลากหลายในภาคอีสาน

สำรวจสถานการณ์ประชากรข้ามชาติในพื้นที่ภาคอีสาน [1]

            พลวัตและประวัติศาสตร์การเคลื่อนย้ายของประชากรข้ามชาติที่เกิดขึ้นอย่างยาวนาน แต่ในทางสังคมยังปรากฏ “อคติ” ต่อประชากรข้ามชาติรวมถึงการต่อรองความหมายผ่านพื้นที่/ชุมชน ขณะที่ ประชากรข้ามชาติมีความเกี่ยวของกับความเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ หรือสถานการณ์ตลาดแรงงานในภาคอีสานและกลุ่มแรงงานข้ามชาติ อย่างไรก็ตาม การศึกษาทางวิชาการเกี่ยวกับประชากรข้ามชาติในพื้นที่ภาคอีสานค่อนข้างน้อย แต่สำหรับพื้นที่ภาคอีสานพบประชากรข้ามชาติกับความสัมพันธ์หลากประเด็น เช่น นความเป็นเส้นเขตแดนและรัฐชาติ ตลาดชายแดนและปฏิบัติการ การศึกษาระดับอุดมศึกษา สถานะสัญชาติ หรือด้านทรัพยากรธรรมชาติ ดังนี้

พลวัตและประวัติศาสตร์การเคลื่อนย้ายของประชากรข้ามชาติ

สุริยา คําหว่าน (2568) อาจารย์ประจำ สาขามานุษยวิทยาวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยนครพนม กล่าวถึง มิติด้านภูมิศาสตร์เชิงกายภาพกับความเชื่อมโยงระหว่างภาคอีสานกับอินโดจีนว่า ประวัติศาสตร์การเคลื่อนที่ของประชากรข้ามชาติในแง่ภูมิรัฐศาสตร์ของภาคอีสานเชื่อมโยงกับอินโดจีน การเคลื่อนย้ายของผู้คนเกิดขึ้นอย่างเป็นพลวัตข้ามพรมแดนแม่น้ำโขงและแผ่นดิน ทั้งจากประเทศเมียนมาร์, สปป.ลาว, กัมพูชา, และเวียดนาม พบว่า กรณีจังหวัดนครพนมมีประชากรข้ามชาติเคลื่อนย้ายไปมามากกว่า 100 ปีมาแล้ว ซึ่งประชากรจำนวนไม่น้อยปรับตัวตั้งถิ่นฐานในภาคอีสานและได้รับสถานะสัญชาติไทย และยังมีประชากรอีกจำนวนหนึ่งเคลื่อนย้ายไปมาโดยใช้การถือพาสปอร์ตเป็นกลยุทธ์ในชีวิตประจำวัน สุริยา ชี้ว่า ประชากรเวียดนาม หรือ “ญวณ” ในประวัติศาสตร์ได้ลี้ภัยทางการเมืองเข้ามาประเทศไทย พบทั้งเป็นคนไร้สัญชาติและมีสัญชาติ โดยเป็นกลุ่มประชากรที่เข้ามาในยุคสงครามเย็น อีกทั้ง จังหวัดนครพนมเป็นทางผ่านเข้า-ออกที่สำคัญของประชากรกลุ่มแรงงานข้ามชาติ ซึ่งสื่อ BBC รายงานถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า อาจมีประชากรกลุ่มนี้อยู่ในประเทศไทยราวๆ 50,000 คน นอกจากนั้น สุริยา เคยศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มประชากรแรงงานเวียดนามนอกระบบที่เคยมาทำงานในประเทศไทยผ่านกลยุทธ์แบบ “หลบซ่อน” แผงตัวอยู่ในโรงงานเย็บผ้า/ทอผ้า แล้วนำเงินส่งกลับไปให้ครอบครัว กระทั่งมีการรวมตัวอาศัยและก่อตั้งหมู่บ้านไทยแลนด์ แต่ประชากรกลุ่มนี้ค่อนข้างเข้าถึงข้อมูลได้ยาก ส่วนหนึ่งพบอีกว่าในพื้นที่จังหวัดนครพนมมีกลุ่มแรงงานในโรงงานผลิตหมูยอ ไก่สด และหมูสด แต่เจ้าของกิจการมักจะปกปิดข้อมูลและไม่ให้เข้าถึงประชากรกลุ่มนี้เพราะเป็นแรงงานผิดกฎหมาย และพบอีกว่า กลุ่มประชากรข้ามชาติบางกลุ่มมีนัยยะเกี่ยวข้องกับมิติความมั่นคงของรัฐได้รวมตัวกันเรียกร้องทางสังคมบางอย่าง คนกลุ่มนี้มีทั้งกลุ่มที่ถือพาสปอร์ตเวียดนามและมีสถานะสัญชาติไทย หรือเรียกว่า “คนไทยเชื้อสายเวียดนาม” ที่อาศัยอยู่แถบจังหวัดลุ่มแม่น้ำโขงราวๆ 1 แสนคน ซึ่งประชากรกลุ่มนี้อาจมีความหนาแน่นที่สุดอยู่ที่จังหวัดนครพนม “บางครั้งอาจดูเหมือนไม่มีปัญหาแต่ในเชิงการใช้ชีวิตประจำวันยังคงมีอคติทางสังคม รวมทั้งอคติที่ถูกมองผ่านสายตาของรัฐในอดีตที่จับตามองคนกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตามภายหลังประชากรกลุ่มนี้ส่วนใหญ่กลายเป็นผู้ค้าขายคนสำคัญของพื้นที่” สุริยา คําหว่าน (2568)

“อคติ” ต่อประชากรข้ามชาติกับการต่อรองความหมายผ่านพื้นที่/ชุมชน

ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ (2568) อาจารย์ประจำ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวถึงคำว่า “ประชากรข้ามชาติ” มีความหลากหลายและมีลักษณะเฉพาะ และคำว่า “คนข้ามแดน” เป็นการรวมทุกกลุ่มและใช้กันมาในช่วงของกระแสการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หมายรวมถึงทั้งกลุ่มประชากรพระสงฆ์ แรงงาน หรือคนลงทุน ขณะที่ คำว่า “คนพลัดถิ่น” ในภาคอีสานก็พบจำนวนมากและหลากหลาย รวมถึง “แรงงานข้ามชาติ” ก็หลากหลายกลุ่มเช่นเดียวกัน ดังนั้น การศึกษาเกี่ยวกับประชากรข้ามชาติอาจจะต้องแบ่งกลุ่มทำความเข้าใจและศึกษาหลากหลายมิติ ทั้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา, ขอนแก่น, อุดรธานี, อุบลราชธานี, หรือสุรินทร์ ซึ่งหลายแห่งเป็นพื้นที่ของ “ตลาดชายแดน” และพบทั้งแรงงานถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย

ขณะที่แรงงานกลุ่ม 3DJOB เป็นคนหนุ่มสาวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยและอาจจะต้องไปดูเหตุผลของการอพยพเข้ามาว่าเกิดจากอะไร หรือเกี่ยวข้องกับทรัพยากรหรือวาทกรรมการพัฒนาหรือไม่ อย่างไร “บางครั้งยังมีการมองแรงงานเพื่อนบ้านแบบเกลียดชัง เป็นคนระดับล่าง

ภาพ : ประวิทย์ ตอพล

แม้ว่าคนกรุงเทพจะเหยียดพวกเขาแต่พวกเขายังต้องการไปใช้ชีวิต หรือแม้แต่พวกเขาจะถูกขูดรีดแรงงานแต่พวกเขาไม่เคยเกลียดประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่สองของพวกเขา” (ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ, 2568) ซึ่ง ณัฏฐ์ชวัล โภคาพานิชวงษ์ (2556) ชี้ว่า ท่ามกลางเงื่อนไขสภาวะแวดล้อมอันจำกัด แรงงานอพยพจากประเทศเมียนมาร์ถูกมองจากสังคมท้องถิ่นในฐานะ “คนอื่นผู้แปลกแยก” ได้ปรับตัว/ต่อรองด้วยการก่อรูปความเป็นชุมชน/สังคมข้ามถิ่นขึ้นมา ผ่านปฏิบัติการทางวัฒนธรรมบนพื้นที่ทางศาสนา เป็นการต่อรองเชิงสัญลักษณ์ท่ามกลางวาทะระหว่างคนท้องถิ่นกับผู้อพยพที่มีต่อ “ความเป็นพม่า” เพื่อธำรงรักษาช่วงชั้นทางสังคมระหว่างกัน และมีแนวโน้มว่าปฏิบัติการทางวัฒนธรรมดังกล่าว มักถูกอธิบายและจัดการจากผู้มีอำนาจของภาครัฐและคนท้องถิ่นบางส่วนอย่างหวาดระแวง และละเลยต่อความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรมในฐานะภัยคุกคามของชาติและท้องถิ่น

นอกจากนั้น ไชยณรงค์ ได้กล่าวถึงมายาคติการใช้คำและการนำเสนอผ่านสื่อเกี่ยวกับประชากรข้ามชาติที่สู่อคติบางอย่างต่อประชากรข้ามชาติ มองว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาแย่งงานคนไทย แย่งสวัสดิการ ทั้งที่ในมุมหนึ่งประชากรเหล่านี้เข้ารับสวัสดิการของรัฐแบบ “ไม่ฟรี” คือ ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลของตัวเอง ดังนั้น อคติถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับประชากรข้ามชาติบางกลุ่ม ซึ่งการนำของสื่อเสนอควรชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของประชากรกลุ่มนี้ที่มีส่วนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยิ่ง ทั้งทำงานก่อสร้าง หรือแรงงานในภาคบริการต่างๆ ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมทำ แน่นอนว่าอคติบางอย่างฝังรากลึกอยู่ในวิธีคิดของสังคมจึงปล่อยให้เกิดการขูดรีดแรงงานเกิดขึ้น อย่างไรก็ดี การทำงานเกี่ยวกับประชากรข้ามชาติอาจจะต้องใช้วิธีการและเครือข่ายการทำงานที่หลากหลายเชิงพื้นที่ เข้าถึงกลุ่มประชากรหลากหลายสาขาอาชีพ หลากหลายตำแหน่งแห่งหน หลากหลายตามภูมิศาสตร์ที่ตั้ง และร่วมกันทำงานอย่างครอบคลุมเชิงประเด็นต่อไป สอดคล้องกับ มนตรี พรมวัน (2562) ชี้ว่า แรงงานต่างด้าวมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นฐาน เช่น เกษตรกรรม อุตสาหกรรม ประมง และก่อสร้าง เนื่องจากแรงงานไทยไม่นิยมทำเพราะมองว่าเป็นงานที่สกปรก มีฝุ่น อันตราย รวมทั้งปริมาณคนไทยไม่เพียงพอจำเป็นต้องนำแรงงานต่างด้าวเข้ามา

สถานการณ์ตลาดแรงงานในภาคอีสานและกลุ่มแรงงานต่างด้าว

ภาพ : ประวิทย์ ตอพล

คชษิณ สุวิชา (2568) อาจารย์ประจำ สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด สะท้อนให้เห็นว่า การศึกษาทางวิชาการเกี่ยวกับประชากรข้ามชาติในพื้นที่ภาคอีสานมีการทำงานค่อนข้างหลากหลาย มีตัวเลขประชากรแรงงานราว 3 ล้านคน แต่พบข้อมูลจากสำนักจัดหางานในพื้นที่อีสานเพียงประมาณ 76,000 คนอาจจะไม่สอดคล้องมากนัก ขณะที่ การค้นคว้าข้อมูลสถานการณ์ตลาดแรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบข้อมูลจากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมจัดหางาน ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2568 คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานทั่วราชอาณาจักร จำนวนทั้งสิ้น 3,358,794 คน จำแนกตามลักษณะการเข้าเมือง (ดังตารางที่ 1.1) ขณะที่ สถานการณ์ตลาดแรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2566 [2] พบว่า ภาคอีสานมีคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานคงเหลือ ทั้งสิ้น 60,222 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวประเภททั่วไป จำนวน 54,458 คน แรงงานต่างด้าวกลุ่มมีทักษะ จำนวน 4,919 คน และชนกลุ่มน้อย จำนวน 844 คน โดยทำงานมากที่สุดอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 22,652 คน รองลงมา คือ จังหวัดขอนแก่น จำนวน 7,307 คน จังหวัดอุดรธานี จำนวน 3,479 คน จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 2,818 คน และจังหวัดเลย จำนวน 2,663 คน ตามลำดับ (ดังภาพที่ 1.1)

ตารางที่ 1.1 สถานการณ์แรงงานต่างด้าว ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 [3]

จำแนกลักษณะการเข้าเมืองจำนวนหน่วย
มาตรา 59
-ตลอดชีพ
-ประเภททั่วไป
-นำเข้าตาม MOU
782,576
5
136,202
674,966
คน
คน
คน
คน
มาตรา 62 ส่งเสริมการลงทุนและกฎหมายอื่นๆ56,263คน
มาตรา 63/1 ชนกลุ่มน้อย95,530คน
มาตรา 63/2
-มติ ครม. 7 กุมภาพันธ์ 2566
-มติ ครม. 3 ตุลาคม 2566
 
1,667,297
813,869
 
คน
คน
มาตรา 64 คนต่างด้าวที่เข้ามาทำงาน ไป-กลับ หรือตามฤดูกาล42,000คน
มาตรา 59 ประเภททั่วไป
ประเภทอาชีพที่ได้รับอนุญาตทำงานมากที่สุด 3 อันดับแรก
-ผู้จัดการบริษัท, เจ้าหน้าที่บริหารของหน่วยงานเอกชน
-ผู้ประกอบอาชีพด้านการสอน
-ผู้ประกอบอาชีพด้านอื่นๆ
   


71,993

39,019
11,212
   


ตำแหน่ง

ตำแหน่ง
ตำแหน่ง
มาตรา 59 ประเภทนำเข้าตาม MOU
ประเภทอาชีพที่ได้รับอนุญาตทำงานมากที่สุด 3 อันดับแรก
-กิจการก่อสร้าง
-กิจการต่อเนื่องการเกษตร
-จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม
   


112,032
92,318
87,910
   


ตำแหน่ง
ตำแหน่ง
ตำแหน่ง
มาตรา 62 ประเภทส่งเสริมการลงทุน
ประเภทอาชีพที่ได้รับอนุญาตทำงานมากที่สุด 3 อันดับแรก
-ผู้จัดการบริษัท, เจ้าหน้าที่บริหารของหน่วยงานเอกชน
-ผู้ปฏิบัติงานทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับทางวิทยาศาสตร์
-ผู้ประกอบวิชาชีพด้านฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ฯ
   



26,765

12,968

6,261
   



ตำแหน่ง

ตำแหน่ง

ตำแหน่ง
มาตรา 63/1 ประเภทชนกลุ่มน้อย
ประเภทอาชีพที่ได้รับอนุญาตทำงานมากที่สุด 3 อันดับแรก
-แรงงานเหมืองแร่, ก่อสร้าง, การผลิตและขนส่ง
-ผู้ปฏิบัติงานในเหมืองแร่และงานก่อสร้าง
-ผู้ให้บริการส่วนบุคคลและบริการด้านความปลอดภัย
   


66,433

8,005

6,515
   


ตำแหน่ง

ตำแหน่ง

ตำแหน่ง
มาตรา 63/2 ตามมติ ครม. 7 กุมภาพันธ์ 2566
ประเภทอาชีพที่ได้รับอนุญาตทำงานมากที่สุด 3 อันดับแรก
-กิจการก่อสร้าง
-เกษตรและปศุสัตว์
-การให้บริการต่างๆ
   



288,321
189,298
164,605
   



ตำแหน่ง
ตำแหน่ง
ตำแหน่ง
มาตรา 63/2 ตามมติ ครม. 3 ตุลาคม 2566
ประเภทอาชีพที่ได้รับอนุญาตทำงานมากที่สุด 3 อันดับแรก
-กิจการก่อสร้าง
-การให้บริการต่างๆ
-เกษตรและปศุสัตว์
   



265,777
91,924
76,240
   



ตำแหน่ง
ตำแหน่ง
ตำแหน่ง
มาตรา 64 ตามคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงาน ไป-กลับ หรือตามฤดูกาล ประเภทอาชีพที่ได้รับอนุญาตทำงานมากที่สุด 3 อันดับแรก
-เกษตรและปศุสัตว์
-การให้บริการต่างๆ
-ผลิตหรือจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูป
   



24,191
5,066
3,795
   



ตำแหน่ง
ตำแหน่ง
ตำแหน่ง

ภาพที่ 1.1 จำนวนแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานคงเหลือ ภาคอีสาน ณ เดือนธันวาคม 2566

              ที่มา : สถานการณ์ตลาดแรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2566, หน้า 17.

การศึกษาทางวิชาการเกี่ยวกับประชากรข้ามชาติในพื้นที่ภาคอีสาน

ณัฏฐ์ชวัล โภคาพานิชวงษ์ (2568) อาจารย์ประจำ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้กล่าวถึง การค้นคว้าข้อมูลและประสบการทำงานวิจัยภาคสนาม พบว่า กลุ่มแรงงานต่างด้าวในจังหวัดนครราชสีมามีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุด รองลงมา คือ จังหวัดขอนแก่น, อุดรธานี, อุบลราชธานี, ชัยภูมิ, และเลย อย่างไรก็ตาม แม้จังหวัดนครราชสีมามีกลุ่มแรงงานต่างด้าวค่อนข้างหนาแน่น แต่กลับพบว่ามีงานศึกษาวิจัยในพื้นที่น้อยมาก และพบกลุ่มแรงงานต่างด้าวในจังหวัดอื่นๆ คือ แรงงานเมียนมาร์, สปป.ลาว, และกัมพูชา ซึ่งจังหวัดขอนแก่นเป็นกลุ่มแรงงานเมียนมาร์มากที่สุด ขณะที่ นิกร น้อยพรม (2019) กล่าวถึงการเคลื่อนย้ายของแรงงานต่างด้าวสัญชาติลาวในจังหวัดเลย พบว่าการเคลื่อนย้ายและจำนวนของแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไปมีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัดที่เปลี่ยนแปลงไปตามกันด้วย หรือ ภคริดา พิจารณ์ และจงรักษ์ หงษ์งาม (2016) สะท้อนถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจย้ายถิ่นของแรงงานต่างด้าวในจังหวัดขอนแก่น คือ ปัจจัยด้านการเมือง ความยากจน ค่าแรง และค่านิยมของคนในท้องถิ่น ผลักดันให้เกิดการย้ายถิ่นออกจากประเทศของแรงงานต่างด้าว และการหารายได้มากกว่าเป็นปัจจัยที่ดึงดูดให้แรงงานตัดสินใจย้ายถิ่นเข้ามาทำงานในประเทศไทย และ ไพทูลย์ คงสงค์ และคณะ (2566) กล่าวถึงแรงงานต่างด้าวของสถานประกอบกิจการในเขตพื้นที่จังหวัดอุดรธานี พบว่า การเข้ามาของแรงงานต่างด้าวเกิดจากการขาดแรงงานไทยเป็นสาเหตุแรกที่นายจ้างเห็นความสำคัญมากที่สุด

นอกจากนั้น ณัฏฐ์ชวัล กล่าวว่า “เคยพยายามพานักศึกษาไปลงพื้นที่ภาคสนาม แต่ช่วงนั้นติดปัญหาสถานการณ์โควิด 19 และเป็นช่วงที่ประเทศไทยมี MOU นำเข้าแรงงานเมียนมาร์ แต่ข้อจำกัดในการลงพื้นที่ช่วงนั้นคือการเข้าถึงกลุ่มข้อมูลได้ยาก และมีนักวิชาการศึกษาวิจัยน้อยมาก” เนื่องจากสถานการณ์โควิด 19 ส่งผลกระทบต่อประชากรแรงงานต่างด้าวที่ลดลงตามจำนวนสถานประกอบการที่ลดลง ปริมาณความต้องการสินค้าของตลาดลดลง และแรงงานออกไปทำงานยากขึ้น และข้อมูลบางอย่างสถานประกอบการไม่อยากเปิดเผยจึงมีปรากฏการณ์ที่พบค่อนข้างน้อย ณัฏฐ์ชวัล สันนิฐานว่า สถานการณ์หลังโควิด 19 สภาพเศรษฐกิจทำให้แรงงานลดลง ภัทรา วรลักษณ์ (2568) หัวหน้ากลุ่มงานบริหารเครือข่ายและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชี้ว่าประสบการณ์การทำงานวิจัยในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น พบกลุ่มประชากรแรงงาน สปป.ลาว ปี 2560 ตาม MOU ประมาณ 500 คน โดยเน้นการศึกษาด้านการดำรงชีพของแรงงานข้ามชาติและการผลิตทางวัฒนธรรม รวมทั้งความสัมพันธ์ทางสังคมและผลกระทบมิติต่างๆ และเสนอให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการเข้าถึงประชากรข้ามชาติผ่านประสบการณ์ภาคสนามที่ผ่านมา โดยการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่างๆ ในการลงพื้นที่ทำงานภาคสนามและงานศึกษาทางวิชาการ

ประชากรข้ามชาติกับความสัมพันธ์หลากมิติ

ภาพ : ประวิทย์ ตอพล

สมหมาย ชินนาค (2568) มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ชี้ให้เห็นเพิ่มเติมว่า การกล่าวถึงประชากรข้ามชาติอาจมองแบ่งแยกเพื่อทำความเข้าใจประชากรหลากหลายกลุ่มและหลากหลายมิติ กล่าวคือ ในพื้นที่ภาคอีสานพบกลุ่มประชากรข้ามชาติหลากหลาย เช่น กลุ่มแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มประชากรที่เป็นเขยหรือสะใภ้ฝรั่ง กลุ่มนักเรียนและนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาแห่งต่างๆ หรือกลุ่มประชากรที่ย้ายถิ่นฐานตามฤดูกาลเพาะปลูก เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้ชวนมองถึงประเด็นประชากรข้ามชาติกับความสัมพันธ์ต่างๆ เบื้องต้นบางประเด็น ดังนี้

ประเด็นความเป็นเส้นเขตแดนและรัฐชาติ : สุวัลยา โต๊ะสิงห์,  ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ และสมหมาย ชินนาค (2557) กล่าวถึงการเมืองเรื่องพื้นที่ความเป็นเส้นเขตแดนของผู้คนบริเวณพรมแดนภายใต้บริบท “รัฐชาติ” และ “โลกาภิวัตน์” ชี้ว่า การอธิบายบริบททางประวัติศาสตร์ของเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาบริเวณปราสาทพระวิหาร การให้ความหมายพื้นที่ชายแดนของฝ่ายต่างๆ และผลกระทบต่อผู้คนบริเวณพรมแดน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวนีเป็นพื้นที่ทางสังคม วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐาน และพื้นที่ของความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้คนและกลุ่มประชากรข้ามชาติที่อพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐานไปมาข้ามเส้นเขตแดน หากลงพื้นที่ภาคสนามชุมชนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จะเห็นได้ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในอาณาบริเวณชายแดนส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ประเด็นตลาดชายแดนและปฏิบัติการ : ชายแดนยังเป็นพื้นที่ของตลาดและปฏิบัติการของคนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับประชากรข้ามชาติ ซึ่ง กัญญานันท์ ตาทิพย์, ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ และสมหมาย ชินนาค (2014) กล่าวถึง “ตลาดช่องจอม” อำนาจและกลยุทธ์ปฏิบัติการของคนท้องถิ่นบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา ว่า ตลาดช่องจอมบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาภายใต้การพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (The Mekong Sub-region หรือ GMS) มีประเด็นสำคัญ 3 ประการ คือ ประการแรก เป็นการอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาบริเวณตลาดช่องจอม ประการที่สอง เป็นการอธิบายให้เห็นอำนาจและปฏิบัติการของอำนาจที่ชายแดนไทย–กัมพูชา บริเวณตลาดช่องจอม ประการสุดท้าย เป็นการอธิบายวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นบริเวณตลาดช่องจอม ภายใต้การนิยามความหมายพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาและปฏิบัติการของฝ่ายต่างๆ

ประเด็นการศึกษาระดับอุดมศึกษา : สมหมาย ชินนาค (2568) ได้เล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับประชากรข้ามชาติที่เป็นกลุ่มนักเรียนและนักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีและมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ที่ผ่านๆ มาพบประชากรกลุ่มนี้รวมกันราวๆ 500 คน ทั้งที่เป็นคนลาว คนกัมพูชา และอื่นๆ ได้รับทุนมาศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยในภาคอีสาน หรือกลุ่มพระสงฆ์ข้ามชาติที่เดินทางเข้ามาตามกิจกรรมทางศาสนาและศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

รวมถึงประสบการณ์ทำงานกับกลุ่มประชากรแรงงานเมียนมาร์ที่จังหวัดอุบลราชธานี พบว่า ปี 2562 มีประชากรอยู่ที่ราวๆ 982 คน หลังจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ประชากรกลุ่มดังกล่าวลดลงเหลือเพียงราวๆ 300 คน เป็นกลุ่มแรงงาน MOU ที่ต้องผ่านนายหน้าติดต่อ

ภาพ : สันติ ศรีมันตะ

สอดคล้องกับ สุริยา คําหว่าน (2568) ชี้ให้เห็นเพิ่มถึง กลุ่มประชากรนักเรียนนักศึกษาในจังหวัดนครพนมจากประเทศเวียดนามตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมาเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยแถบจังหวัดสกลนคร อุดรธานี นครพนม และอุบลราชธานี กระทั่งหลายคนประสบความสำเร็จด้านหน้าที่การงานในประเทศไทย และพบประชากรข้ามชาติในจังหวัดเลยส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มนักบวชที่รวมตัวกันเป็นชุมชนพิธีกรรม/ชุมชนศาสนา

ประเด็นสถานะสัญชาติ : “สินค้าข้ามแดนได้สะดวกแต่คนยังข้ามไม่ได้” คือ สถานการณ์ประเด็นสถานะสัญชาติ ในพื้นที่ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำโขงยังคงเป็นปัญหายืดเยื้อยาวนานและแก้ปัญหายังไม่แล้วเสร็จ กลายเป็นผลกระทบต่อประชากรข้ามชาติบางกลุ่ม ซึ่งพบว่า ในพื้นที่มีหน่วยงานภาคีเครือข่ายภาคประชาชนทำงานขับเคลื่อนการทำงานเชิงประเด็นอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ทางสังคมที่มองไม่เห็นความเท่าเทียมของมนุษย์ได้นำไปสู่ความไม่เข้าใจ “เคยไปสัมภาษณ์คนลาวพบว่า เขาใฝ่ฝันอยากเข้ามาทำงานในประเทศไทยเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว หรือเหตุผลที่เข้ามาในประเทศไทยส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาการแย่งชิงทรัพยากร การเข้าถึงทรัพยากรยากขึ้นและลดลงทำให้แรงงานเหล่านี้ต้องขยับตัวเข้ามาทำงานในประเทศไทย แต่การเข้ามาของคนเหล่านี้มาพร้อมกับความกลัวและยังถูกมองแบบกดทับรวมทั้งถูกอำนาจทางภาษากระทำ

(คําปิ่น อักษร, 2568) โฮงเฮียนฮักแม่น้ำของบ้านตามุย อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า จังหวัดอุบลราชธานีมีความพยายามขับเคลื่อนงานเรื่องสัญชาติและสิทธิประเภทต่างๆ และกระจายอยู่ในพื้นที่อำเภอบุณฑริก, โขงเจียม, โพธิ์ไทร, สิรินธร, นาตาล, และเขมราฐ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนลงมาพื้นที่ด้วยบ้างแล้ว

(พงษ์เทพ บุญกล้า, 2568) นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ปัจจุบัน มีกลุ่มผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนจำนวนมากและตัวเลขยังไม่ชัดเจน ซึ่งบางอำเภอไม่อยากเปิดเผย เกิดจากหลายเงื่อนไขทั้งการแต่งงาน การมีบุตร หรืออื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นแรงงานรับจ้างและบริการ อาจจะต้องช่วยกันสื่อสารทางสังคมเพิ่มมากขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจ และทำให้มองเห็นว่าทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงสิทธิ เพราะบางพื้นที่ประชากรกลุ่มที่มีปัญหาสัญชาติหลายคนมีอารมณ์และความรู้สึกหมดหวังเรื่องการได้รับสัญชาติ (ณัฏฐ์ชวัล โภคาพานิชวงษ์, 2568)

ประเด็นสุขภาพ : สมหมาย ชินนาค ได้ฉายถึง ประสบการณ์ภาคสนามและข้อสังเกตเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเห็นได้ว่า ประเด็นสุขภาพกับการรักษาพยาบาลข้ามพรมแดนในเขตภาคอีสานตอนล่างมีตัวเลขประชากรที่ข้ามมารักษาพยาบาลค่อนข้างสูง ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนเป็นผู้กระทำการตอบสนองต่อความต้องการรักษาพยาบาลมากกว่าโรงพยาบาลของรัฐ แต่ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับสถานะทางเศรษฐกิจของผู้ต้องการรักษาพยาบาลและการบอกต่อแบบปากต่อปาก รวมไปถึงการเกิดขึ้นของผู้ประกอบการรถรับส่ง “มินิบัส”เชื่อมโยงพื้นที่ชายแดนกับเมืองจำนวนไม่น้อย

ประเด็นด้านทรัพยากรธรรมชาติ : พงษ์เทพ บุญกล้า (2568) ชี้ว่า ประชากรข้ามชาติที่เข้ามาอย่างยาวนานบางกลุ่ม โดยเฉพาะชนชาติพันธุ์ข้ามรัฐ หรือกลุ่มชาติพันธุ์บรู (บ้านเวินบึก/บ้านท่าล้ง จังหวัดอุบลราชธานี) มีความซับซ้อนและเป็นเรื่องราวของ “ชาติพันธุ์ข้ามรัฐ” ที่เป็นผลผลิตทางประวัติศาสตร์การเมืองอย่างยาวนานหลายทศวรรษ แต่ประชากรข้ามชาติกลุ่มนี้ถูกมองเป็นอื่นและได้รับผลกระทบจากบริบททางการเมือง ตั้งแต่ยุคอาณานิคมฝรั่งเศส หรือเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองใน สปป.ลาว จึงอพยพข้ามพรมแดนแม่น้ำโขงเข้ามาในประเทศไทย แต่ภายหลังคนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตอุทยานทับถิ่นที่อยู่อาศัยและใช้ประโยชน์โดยอำนาจรัฐ ขณะที่ประชากรข้ามชาติกลุ่มนี้พยายามต่อสู้ดิ้นรนและเอาตัวรอดจากการพรากสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ที่ดิน ที่อยู่อาศัย ป่าไม้ และแม่น้ำ หรือการต่อสู้ช่วงชิงกับวาทกรรมการพัฒนาเขื่อนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง “คนเหล่านี้เป็นประชากรข้ามชาติที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงหรือถูกมองเห็นทางสังคมมากนัก” (พงษ์เทพ บุญกล้า, 2568)

อ้างอิง

[1] การประชุมออนไลน์ “สถานการณ์ประชากรข้ามชาติในภาคอีสาน” เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธุ์ 2568.

[2] ข้อมูลสถานการณ์ตลาดแรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปี 2566, ศูนย์บริหารข้อมูลตลาดแรงงานภาคตะวันออกฉียงเหนือ, เว็บไซต์ www.doe.go.th/prd. เข้าใช้ข้อมูลเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568.

[3] ข้อมูลสถานการณ์แรงงานต่างด้าว, สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว, เว็บไซต์  www.doe.go.th/prd. เข้าใช้ข้อมูลเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2568.

[4] กัญญานันท์ ตาทิพย์, ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ และสมหมาย ชินนาค. (2014). ตลาดช่องจอม: อำนาจและกลยุทธ์ปฏิบัติการของคนท้องถิ่นบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา. วารสารวิจัยสังคม. 37(1): 23-59.

[5] ณัฏฐ์ชวัล โภคาพานิชวงษ์. (2556). การเชื่อม (ข้าม) ถิ่นที่: ปฏิสัมพันธ์ของผู้คนบนเมืองชายแดนกับการต่อรองความหมายผ่านพื้นที่/ชุมชนทางศาสนาของผู้อพยพข้ามพรมแดนชาวพม่าในจังหวัดระนอง. วิทยานิพนธ์: ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (สหวิทยาการ). มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

[6] นิกร น้อยพรม. (2019). การเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวสัญชาติลาวในเขตพื้นที่จังหวัดเลย. วารสารวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย. 14(49): 41-51.

[7] ไพทูลย์ คงสงค์ และคณะ. (2566). ปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการจัดการการจ้างแรงงานต่างด้าวของสถานประกอบกิจการในเขตพื้นที่จังหวัดอุดรธานี. วารสารสุทธิปริทัศน์. 37(4): 112-126.

[8] ภคริดา พิจารณ์ และจงรักษ์ หงษ์งาม. (2016). ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจย้ายถิ่นของแรงงานต่างด้าว กรณีศึกษา: จังหวัดขอนแก่น ประเทศไทย. วารสารวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 9(1): 49-63.

[9] มนตรี พรมวัน. (2562). การจัดการแรงงานต่างด้าวกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย. วารสารวิจัยวิชาการ. 2(3): 179-193.

[10] สุวัลยา โต๊ะสิงห์,  ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ และสมหมาย ชินนาค. (2557). ภูมิซรอล: การเมืองเรื่องพื้นที่ความเป็นเส้นเขตแดนของผู้คนบริเวณพรมแดนภายใต้บริบทรัฐชาติและโลกาภิวัตน์. วารสารวิจัยสังคม. 37(1): 61-98.

แชร์บทความนี้