เวทีวาระวันสตรีสากลมองรัฐยัง “ทิ้ง” ผู้หญิงคนทำงานและเด็กไว้ข้างหลัง

เมื่อวันอังคารที่ 4 มีนาคม เครือข่ายภาคประชาสังคมด้านผู้หญิง แรงงานและเด็ก ประกอบไปด้วย สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (HomeNet Thailand) สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) มูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน (มสร.)มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม (มสส.) คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า และขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย (WeMove) จัดเวทีเสวนา เนื่องในวันสตรีสากล ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม ของทุกปี ในหัวข้อ “นโยบายเศรษฐกิจของรัฐ : ทิ้งผู้หญิงคนทำงานและเด็กไว้ข้างหลัง” ณ หอประชุมสำนักกลางนักเรียนคริสเตียน

สำหรับการจัดเวทีเสวนาในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองวันสตรีสากลแล้ว ยังเป็นการสร้างความตระหนักในประเด็นปัญหาที่ผู้หญิงคนทำงานกำลังเผชิญและต้องการแสวงหาทางออก โดยเฉพาะนโยบายทางเศรษฐกิจ โดยภายในงานจะประกอบด้วย การประชุม การอภิปรายและแถลงข่าว ในประเด็นต่าง ๆ

พูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ในฐานะผู้จัดงาน กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของงานครั้งนี้ จะเป็นการแลกเปลี่ยนประเด็นปัญหาเรื่องผู้หญิง ว่า ที่ผ่านมาขบวนผู้หญิงของเราทำอะไรสำเร็จมาบ้าง เรื่องใดที่ต้องทำต่อไป รวมไปถึงข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้หญิง นอกจากนี้ยังมีประเด็นความเท่าเทียม ที่ภายนอกสังคมไทยดูเหมือนจะเท่าเทียม แต่ในความเป็นจริงยังไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้น งานวันนี้เราจะได้นำเสนอและทำงานในเรื่องนี้กันต่อไป

นโยบายเศรษฐกิจของรัฐ “ยัง” ทิ้งผู้หญิงคนทำงานและเด็กไว้ข้างหลัง

เรืองรวี พิชัยกุล สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา นำเสนอสถานการณ์ตัวเลขต่าง ๆ ทีเกี่ยวข้องกับผู้หญิง ดังนี้ ขณะนี้จำนวนประชากรประเทศไทยมีประมาณ 66 ล้านคน เป็นผู้หญิง 33 ล้านคน ในขณะที่ผู้ชาย 32 ล้านคน โดยเป็นประชากรผู้สูงอายุ 13 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุผู้หญิง 7 ล้านคนมากกว่าผู้ชายที่มีผู้สูงอายุ 5 ล้านคน ในขณะเดียวกันด้วยกายภาพของผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงมีอัตราการป่วยด้วยโรคที่สูงกว่าผู้ชาย เช่น โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก รวมไปถึงอาการป่วยเกี่ยวกับทารกในครรภ์และปัญหาจากการคลอดบุตร

นอกจากนี้ สถานการณ์การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวของผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จาก จำนวนแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เข้าร่วมโครงการเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด มีจำนวน 1.3 ล้านคน นอกจากนี้หัวหน้าครัวเรือนหญิงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ตั้งแต่ปี 2558 ร้อยละ 37 ปี 2560 ร้อยละ 37.6 ปี 2560 ร้อยละ 38.9 และปี 2567 เพิ่มเป็น ร้อยละ 41.1 ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวนี้มีนัยสำคัญ เนื่องจากเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษา ส่วนใหญ่อยู่ในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณางบประมาณรายจ่ายของประเทศไทย อันดับ 1 ยังเป็นงบประมาณการบริหารทั่วไปของรัฐ อันดับ 2 ด้านเศรษฐกิจ และอันดับ 3 ด้านการศึกษา ในขณะที่งบประมาณเพื่อสนับสนุนการเข้าสู่สังคมสูงวัยและความเหลื่อมล้ำในมิติพื้นที่ ซึงแม้ว่างบสนับสนุนท้องถิ่นเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังไม่ถึงเป้าที่อปท.ตั้งไว้

ดังนั้น นโยบายของรัฐที่บอกว่าจะลดความเหลื่อมล้ำยังไม่เป็นความจริง เมื่อพิจารณาจากการจัดสรรงบประมาณ

แรงงานหญิงเรียกร้องรัฐบาล กำหนดแผนแม่บทเพื่อหลักประกันแรงงานไทย

อภันตรี เจริญศักดิ์ ผู้แทนจากสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) กล่าวว่า ตัวเลขแรงงานไทยปัจจุบัน ในระบบมีประมาณ 10 ล้านคน นอกระบบมีประมาณ 20 – 30 ล้านคน และอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ที่จะสร้างครอบครัว แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากความเป็นห่วงว่าอาชีพจะไม่มั่นคง เพราะการถูกเลิกจ้างที่มีมากขึ้น การเกษียณอายุงานเมื่ออายุ 55 ปี การจ้างงานแบบเหมาบริหาร สถานการณ์เหล่านี้จึงไม่เอื้อต่อการสร้างครอบครัว และข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นนโยบายที่รัฐบาลเกื้อหนุนให้กับนายทุน

นอกจากนี้ ประชาชนในวัยแรงงาน อยากเห็นรัฐบาลดำเนินการจัดทำแผนแม่บทที่สร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับคนทำงาน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีการจ้างงานน้อยกว่าผู้ชาย 15-20 เปอร์เซนต์ และอัตราการเลิกจ้างของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในความเท่าเทียมกันของชีวิต ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ประชากรผู้หญิงในวัยแรงงาน ตัดสินใจไม่มีลูกเพราะเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

“ข้อเรียกร้องต่าง ๆ ที่เราเสนอไปยังรัฐบาลที่สำคัญสำหรับผู้หญิง เช่น การลาคลอด 180 วัน การเพิ่มงบประมาณให้แม่และเด็ก รัฐบาลก็ไม่ได้ดำเนินการ”

แรงงานนอกระบบ ประสานเสียงค้าน ร่างกฎหมายแรงงานอิสระ ขอรัฐหนุนเข้าประกันสังคมมาตรา 33

กัญญภา ประสพสุข เครือข่ายลูกจ้างทำงานบ้านในประเทศไทย ตั้งคำถามถึงรัฐบาล ว่าทำไมลูกจ้างทำงานบ้านไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นลูกจ้างเหมือนลูกจ้างทั่วไป โดยให้เข้าอยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 แต่กลับให้ลูกจ้างอยู่ในมาตรา 40 ที่ลูกจ้างต้องจ่ายเองและมาตรา 40 ยังไม่ครอบคลุมสวัสดิการต่าง ๆ เช่นคลอดบุตรหรือเงินชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง

“ลูกจ้างทำงานบ้านได้รับเงินจากนายจ้างเหมือนลูกจ้างอื่น ๆ ทำงานมากกว่าวันละ 12 ชั่วโมง ไม่มีค่าล่วงเวลา และถูกเลิกจ้างเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ได้รับการคุ้มครอง เมื่อถูกเลิกจ้างจึงไม่สามารถไปลงทะเบียนได้ ไม่มีวันลา ป่วยก็ลาไม่ได้”

เช่นเดียวกับ สุภาภรณ์ พันธ์ประสิทธิ์ ไรเดอร์หญิง จากกลุ่ม Riders Center Collective กล่าวว่า กลุ่มไรเดอร์ที่ถูกเรียกว่าแรงงานอิสระ ทำกำไรให้แพลตฟอร์มสูงถึง 1.79 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1 เปอร์เซนต์ของ GDP ประเทศไทย แต่ไม่ได้รับการดูและจากเจ้าของแพลตฟร์มและรัฐบาล ไม่ได้เป็นพนักงานประจำ รายได้คือการวิ่งส่งของเป็นรอบเท่านั้น ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีกองทุนเงินทดแทนแม้ว่าเราจะมีนายจ้างชัดเจน ซึ่ง และได้รับการลงโทษจากแพลตฟอร์มอย่างชัดเจน หากกระทำผิด

นอกจากนี้รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน ยังได้บัญญัติกฎหมายแรงงานอิสระ โดยไรเดอร์เป็นหนึ่งในนั้น และกฎหมายดังกล่าว ริดรอนสิทธิคนทำงานและแรงงานนอกระบบจะถูกเอาเปรียบอย่างมาก จากกฎหมายฉบับนี้ ดังนั้นกลุ่มไรเดอร์ จึงขอคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ของกระทรวงแรงงาน

สำหรับกชพร กลักทองคำ สมาพันธ์แรงงานนอกระบบ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แรงงานนอกระบบในทุก ๆ อาชีพ ไม่ได้รับการคุ้มครองดูแล เช่น ไรเดอร์ไม่ได้รับการสอนเรื่องการขับขี่ส่งของ หรือเมื่อเจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพหรือโรคจากการทำงาน ไม่มีนายจ้างที่มารับผิดชอบ แพทย์ก็ไม่สามารถระบุว่าเราเป็นโรคจากการทำงาน แม้แต่การเข้าสู่ระบบประกันสังคมตามมาตรา 40 ยังมีการแบ่งรายได้น้อย รายได้มาก ไม่มีการชดเชยจากการว่างงานอีกด้วย นอกจากนี้ แรงงานนอกระบบอาชีพต่าง ๆ ยังไม่ได้รับสวัสดิการเหมือนกับแรงงานทั่วไป เช่นการเข้าระบบประกันสังคมมาตรา 40 ซึ่งแรงงานนอกระบบที่มีนายจ้างชัดเจน อย่างลูกจ้างทำงานบ้านหรือไรเดอร์ ที่มีนายจ้างชัดเจน ต้องการเข้ามาตรา 33 ของระบบประกันสังคม

สมาคมสตรีพิการ เตรียมเสนอแผนพัฒนาสตรีพิการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต

พนมวรรณ บุญเต็ม สมาคมสมาพันธ์เครือข่ายเด็กและสตรีหูหนวก เล่าถึง อุปสรรคของคนหูหนวกคือการไม่ได้ยิน จึงไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็เกิดความกลัวเพราะเข้าไม่ถึง ซึ่งต้องต่อสู้มาโดยตลอด นอกจากนี้รายได้ของคนทำงานที่หูหนวกจะน้อยกว่าคนปกติ ในขณะที่รายจ่ายเท่ากับคนปกติ ทำให้คนหูหนวกต้องหารายได้เพิ่มถึงขนาดบางคนต้องทำผิดกฎหมาย ซึ่งกลุ่มคนหูหนวกต้องต่อสู้จนรวมตัวเป็นสมาคมสมาพันธ์ อย่างไรก็ตาม สตรีหูหนวกก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับ และไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการดำเนินการต่าง ๆ

นอกจากนี้ สมาคมสตรีคนพิการ กำลังจะเสนอแผนแม่บทพัฒนาสตรีพิการ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสตรีพิการด้วย

ผู้หญิงชาติพันธุ์ เรียกร้องรัฐบาลผ่านกฎหมายชนเผ่า

พิณนภา พฤกษาพรรณ เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เล่าว่า ในฐานะที่เป็นผู้หญิงชนเผ่าพื้นเมือง บางครั้งถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้นสองไม่ควรได้รับสิทธิเท่าเทียมกับคนไทย ทั้งๆที่เราเกิดในประเทศไทย ควรจะมีสิทธิเท่ากับคนไทยเหมือนกัน และการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมนี้ต้องเพิ่มมากขึ้น จากกรณีการเสียชีวิตที่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมของสามี แม้กระทั่งขึ้นไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลก็ยังถูกปฏิบัติไม่เหมือนคนไทยทั่วไปซึ่งเป็นเหตุให้เสียชีวิต พร้อมฝากให้รัฐบาลพิจารณาร่างกฎหมายชาติพันธุ์ ให้ผ่านการพิจารณา เพื่อกลุ่มคนชาติพันธุ์จะได้มีสิทธิมีเสียง มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ผู้หญิงบริการ ยังเป็นอาชญกรในสังคมไทย

ทันตา เลาวิลาวัณยกุล จากเอ็มพาวเวอร์ เล่าว่า เอ็มพาวเวอร์ก่อตั้งมา 40 ปีแล้วและทำงานในร้านที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในขณะที่ผู้หญิงบริการเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ไม่ได้รับการคุ้มครองเข้าไม่ถึงสิทธิใดๆรวมถึงสิทธิความยุติธรรม และยังถูกเลือกปฏิบัติ โดย 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงบริการเป็นแม่และเป็นหัวหน้าครอบครัว ซึ่งกฎหมายแรงงานระบุว่าผู้หญิงบริการเป็นแรงงานที่ผิดต่อศีลธรรมอันดี นอกจากนี้ พ.ร.บ.ปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 ยังส่งให้เราเป็นอาชญากร บางคนมาทำงานช่วงเดียวแต่เป็นอาชญากรไปตลอดชีวิต เพราะกฎหมายฉบับนี้

อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้หญิงบริการ กำลังรวบรวมรายชื่อที่จะเสนอร่างกฎหมายคุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ ซึ่งหากประเทศไทยมีกฎหมายนี้ จะช่วยแก้ปัญหาสังคมด้วย

ผู้หญิงแรงงานข้ามชาติ ไม่เห็นด้วยรัฐบาลไทยส่งภาษีให้รัฐบาลพม่า

เอมิอู แรงงานข้ามชาติที่ทำงานในโรงงานแปรรูปอาหาร ย่านสมุทรปราการ กล่าวว่า เธอเป็นแรงงานที่เข้ามาทำงานในรูปแบบ MOU จะต้องต่อวีซ่าทุก 2 ปี และเมื่อครบ 5 ปีจะต้องกลับไปทำพาสปอร์ต อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์การเมืองไม่สงบในประเทศพม่า และประเทศพม่ามีกฎหมายให้ประชากรทั้งหญิงและชาย อายุระหว่าง 16-40 ปี ต้องเป็นทหาร ซึ่งหากเอมิอูกลับไปเพื่อทำพาสปอร์ตต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ดังนั้นเอมิอูจึงต้องออกจากระบบ MOU เพราะไม่ต้องการกลับไปเป็นทหารที่ประเทศพม่า

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาการต่ออายุทุก 5 ปีทำให้แรงงานต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้กับนายหน้าจำนวนมากรวมถึงการเก็บภาษีจากแรงงานพม่า ส่งไปยังรัฐบาลพม่าด้วย

ผู้หญิงคนทำงาน ไม่เคยเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ในขณะที่รัฐมีกฎหมายเพื่อควบคุมประชาชน

สุธาสินี แก้วเหล็กไหล มูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน พูดถึงในประเด็นการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ว่า ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย หากเป็นคนจนเข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรมเหมือนกัน ซึ่งคนจนเมื่อถูกฟ้องจะหาเงินที่ไหนมาจ้างทนายเพื่อสู้คดี ซึ่งทั้ง 4 คดีที่โดนฟ้องนั้น มาจากการไปช่วยกลุ่มแรงงานเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ซึ่งบางคดีถูกบิดเบือนว่าช่วยแรงงานลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะผิดหรือไม่ แต่เมื่อเราไปขึ้นศาลเราจะถูกมองว่าผิดทันที

สุธาสินี เล่าอีกว่า การถูกฟ้องร้องของแรงงานมาจาก การที่รัฐบาลมีกฎหมายห้ามการชุมนุม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพื่อควบคุมคนที่คิดต่างจากรัฐ รวมไปถึง พรก.ฉุกเฉิน ด้วย ซึ่งรัฐบาลมีอำนาจในการออกกฎหมายเพื่อควบคุมประชาชน ประชาชนจึงต้องมีอำนาจนอกรัฐสภา

การไม่ลงทุนกับเด็ก-คนในอนาคตวันนี้ คือ ลางร้ายของสังคมไทย

สุนี ไชยรส คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายเด็กเล็กถ้วนหน้า กล่าวว่า การผลักดันให้มีคำว่า “เด็กถ้วนหน้า” ใช้เวลา 10 ปี ตั้งแต่เลือกให้เป็นบางส่วน จนขยับมาใกล้ให้เด็กทุกคน ซึ่งสังคมไทยบอกว่า เด็กคือบุคคลสำคัญ และการกินนมแม่เป็นเรื่องสำคัญ ในขณะที่นโยบายต่าง ๆ ไม่เอื้อต่อการให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

สุนี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันเด็กเกิดน้อยลง แม่มีน้อย ในขณะที่ผู้สูงอายุมากขึ้น แต่เด็กไทยก็ยังไม่ได้เงินอุดหนุนแบบถ้วนหน้า แม้ว่าจะมีมติครม.ออกมาให้เด็กถ้วนหน้า 0-6 ปี และให้แม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์ 2,000 บาท มติครม. ตั้งแต่ตุลาคม 2567 จนถึงวันนี้มีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ทำให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวหมดวาระ ทำให้เรื่องยังไม่เข้าครม. ซึ่งการที่จะให้เด็กได้เงินแบบถ้วนหน้ากว่า 4 ล้านคน ใช้เงินประมาณ 6 พันล้านบาท ซึ่งรัฐบาลอ้างว่าไม่มีเงิน ในขณะที่สังคมไทยต้องการการเลี้ยงดูเด็ก เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของอนาคตไทย

แชร์บทความนี้