
อีสานขานข่าว” ประจำวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ได้นำเสนอสถานการณ์ฝนฟ้า น้ำท่า และภัยพิบัติในภาคอีสาน โดยมีผู้ร่วมรายการ 3 ท่าน ได้แก่ คุณแม่บุญทัน เพ็งธรรม ชาวชุมชนท่าบ่งมั่งและอาสาสมัครชุมชนป้องกันภัยพิบัติ จ.อุบลราชธานี, คุณนที นิลกลัด นักข่าวพลเมือง จ.ชัยภูมิ และ ดร.สุรสม กฤษณะจูฑะ อาจารย์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ดำเนินรายการโดย คุณสันติ ศรีมันตะ ซึ่งได้เจาะลึกถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่ต่างๆ การเตรียมรับมือภัยพิบัติ และแนวทางการบริหารจัดการน้ำในอนาคต

สถานการณ์น้ำและการเตรียมรับมือในแต่ละพื้นที่
คุณนที นิลกลัด: ชัยภูมิ ต้นน้ำชี เฝ้าระวังน้ำท่วมและตลิ่งพัง

คุณนที นิลกลัด ตัวแทนนักข่าวพลเมืองจากจังหวัดชัยภูมิ เปิดเผยว่า ขณะนี้ชัยภูมิ ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำชี อยู่ในช่วงฤดูฝน โดยมีฝนตกเฉลี่ย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำชีเริ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรกรรมที่เริ่มมีการระบายน้ำในเขตเมือง ซึ่งบางจุดยังรอการบริหารจัดการอย่างเต็มที่ เนื่องจากอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านการบริหารงานเทศบาล
คุณนทีเน้นย้ำถึงความท้าทายในพื้นที่ชัยภูมิ เช่น ปัญหาตลิ่งแม่น้ำชีที่ทรุดตัวและยังไม่ได้รับการซ่อมแซมทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นจุดเสี่ยงหากระดับน้ำสูงขึ้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน เช่น การถมที่สูงหรือตัดเส้นทางน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมมาก่อน เช่น อำเภอเกษตรสมบูรณ์ คุณนทียังได้
นายจิรพงษ์ วรชัย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 ต.บ้านเขว้า และประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำลำน้ำชีตอนบน ระบุว่า ปีที่ผ่านมาเกษตรกรในพื้นที่ 36,000 ไร่สามารถผ่านพ้นภัยแล้งได้ด้วยการบริหารจัดการน้ำร่วมกันระหว่างภาครัฐ ผู้นำชุมชน และเกษตรกร โดยปีนี้ฝนมาเร็วกว่าปกติ ทำให้เกษตรกรหว่านข้าวได้เกือบ 90% แล้ว
คุณนทียังฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ติดตามข้อมูลจากโซเชียลมีเดียของประชาชน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที รวมถึงแนะนำให้ชัยภูมิใช้โอกาสช่วงหน้าฝนโปรโมทการท่องเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงามและไทรทอง ซึ่งเริ่มผลิบานแล้ว
คุณแม่บุญทัน เพ็งธรรม: อุบลราชธานี ชุมชนท่าบ่งมั่งพร้อมรับมือน้ำท่วม

คุณแม่บุญทัน เพ็งธรรม จากชุมชนท่าบ่งมั่ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เปิดเผยว่า พื้นที่ริมแม่น้ำมูลยังอยู่ในระดับปลอดภัย แม้ว่าระดับน้ำจะเริ่มสูงขึ้นบ้าง โดยชุมชนเริ่มเฝ้าระวังตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เพื่อเตรียมรับมือฤดูน้ำหลากช่วงสิงหาคม-ตุลาคม ซึ่งมักเกิดน้ำท่วมนาน 2-3 เดือน
คุณแม่บุญทันเล่าถึงการบริหารจัดการน้ำท่วมในชุมชนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและชุมชน เช่น การจัดทำเรือไฟเบอร์ประจำชุมชนโดยได้รับงบสนับสนุนและฝึกอบรมจากช่างในชุมชน รวมถึงการสร้างแพลอยน้ำเพื่อย้ายของใช้จำเป็น เช่น ตู้เย็นและเครื่องซักผ้า ขึ้นที่สูงก่อนน้ำท่วม นอกจากนี้ ชุมชนยังต่อยอดให้เยาวชนเรียนรู้พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและวิธีรับมือ เพื่อสร้างจิตอาสาและการสื่อสารที่รวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น การแจ้งเตือนระดับน้ำและประสานขอความช่วยเหลือจากหน่วยงาน
คุณแม่บุญทันยังชื่นชมการวางแผนบริหารจัดการน้ำของหน่วยงานในปีนี้ และเรียกร้องให้มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน โดยให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ชุมชน เพื่อลดความเสียหายและช่วยให้ชุมชนใช้ชีวิตกับน้ำได้อย่างปกติ
ดร.สุรสม กฤษณะจูฑะ: มหาวิทยาลัยร่วมชุมชน เทคโนโลยีช่วยบริหารจัดการภัยพิบัติ

ดร.สุรสม กฤษณะจูฑะ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เน้นย้ำว่า การเตรียมรับมือน้ำท่วมในช่วงเดือนมิถุนายนถือว่าทันเวลา โดยควรอยู่ในโหมด “เฝ้าระวัง” และเตรียมพร้อมทุกปี เนื่องจากไม่มีใครสามารถคาดการณ์น้ำท่วมได้อย่างแม่นยำ อาจารย์ชี้ว่า ความรุนแรงของภัยพิบัติเพิ่มขึ้นจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน เช่น การก่อสร้างในพื้นที่รับน้ำ ซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมมาก่อน
ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำจากแม่น้ำชีตอนกลาง อาจารย์เล่าว่า ชุมชนเผชิญน้ำท่วมในพื้นที่เกษตรมากกว่าบ้านเรือน แต่มีกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษมากขึ้น อาจารย์เสนอระบบออนไลน์ “อุบลพร้อม” และ “ร้อยเอ็ดพร้อม” ซึ่งพัฒนาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างผู้ประสบภัยและหน่วยงานรัฐ เช่น การแจ้งเหตุน้ำท่วมผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงผู้เดือดร้อนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ระบบนี้ช่วยลดช่องว่างการสื่อสารและประสานงานระหว่างชุมชน อบต. และจังหวัด
อาจารย์ยังเน้นว่า มหาวิทยาลัยมีบทบาทเป็น “ส่วนหนึ่ง” ในการแก้ปัญหา ไม่ใช่ผู้นำหรือฮีโร่ โดยทำงานร่วมกับชุมชน หน่วยงานรัฐ และสื่อท้องถิ่น เพื่อสร้างความรู้และแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ พร้อมหวังว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า การจัดการภัยพิบัติในไทยจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด



รายการ “อีสานขานข่าว” สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างชุมชน หน่วยงานรัฐ และสถาบันการศึกษาที่เริ่มเข้มแข็งขึ้นในการรับมือภัยพิบัติในภาคอีสาน โดยมีแนวทางต่อไปดังนี้:
- ชัยภูมิ: ติดตามซ่อมแซมตลิ่งแม่น้ำชีให้แล้วเสร็จ และขยายโครงการธนาคารน้ำใต้ดินเพื่อเก็บน้ำในพื้นที่ภูเขา ลดการไหลบ่าของน้ำ รวมถึงใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางรับแจ้งปัญหาจากประชาชนอย่างจริงจัง
- อุบลราชธานี: ขยายการฝึกอบรมเยาวชนให้รู้จักพื้นที่เสี่ยงและวิธีรับมือภัยพิบัติ สร้างเครือข่ายชุมชนที่มีเรือและแพลอยน้ำครอบคลุมทุกพื้นที่ รวมถึงพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยที่แม่นยำและทันสมัย
- ร้อยเอ็ดและพื้นที่อื่นๆ: ขยายการใช้แพลตฟอร์ม “ร้อยเอ็ดพร้อม” และ “อุบลพร้อม” ไปยังจังหวัดอื่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประสานงานและช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมส่งเสริมบทบาทมหาวิทยาลัยในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีจัดการภัยพิบัติ
- ทุกภาคส่วน: สร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างชุมชน หน่วยงานรัฐ และสถาบันการศึกษา โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมเสนอแนะและออกแบบแผนรับมือภัยพิบัติ เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น
ทั้งนี้ การบริหารจัดการน้ำและภัยพิบัติไม่ใช่หน้าที่ของใครเพียงกลุ่มเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อให้ภาคอีสานสามารถ “อยู่กับน้ำ” ได้อย่างยั่งยืนและปลอดภัย
ติดตามรายการ “อีสานขานข่าว” ทุกวันจันทร์ ทางเพจสาวอีสาน, อยู่ดีมีแฮง, และอุบลราชธานี เพื่ออัปเดตสถานการณ์และแนวทางรับมือภัยพิบัติต่อไป