ร่าง แผนปฏิบัติการด้านพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก, AEDP 2024 (พ.ศ. 2567 – 2580)
ทิศทางของนโยบายพลังงานของประเทศไทยเพื่อให้สอดคล้องในด้านพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ได้แก่ การเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ การปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานภาคขนส่งเป็นพลังงานไฟฟ้าสีเขียว การปรับเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ร่วมกันกับเทคโนโลยีด้านพลังงาน การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ การผลิตไฟฟ้าแบบกระจายตัวและยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า การเปิดเสรีภาคพลังงาน การใช้พลังงานไฟฟ้าสีเขียว การลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้มีการกำหนดเป้าหมายพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกโดยยกระดับสัดส่วนพลังงานการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย 36 % ณ ปี พ.ศ. 2580 โดยค่าเป้าหมายในภาคไฟฟ้า ภาคความร้อนและภาคเชื้อเพลิงชีวภาพตามร่างแผนปฏิบัติการด้านพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2567 – 2580 ดังรูป
การเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือกในภาคไฟฟ้า ความร้อนและขนส่งนี้มีความสำคัญต่อการนำพาประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ แต่ยังมีปัจจัยที่ทำให้เกิดการผันผวนหรือความไม่แน่นอนรวมทั้งความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นและลดลงของพลังงานทดแทน เช่น การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของยานยนต์ไฟฟ้า ราคาต้นทุนของน้ำมันเชื้อเพลิง การลงทุนที่สูงมากในหลายๆเทคโนโลยีในกลุ่มพลังงานทดแทน และความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงฤดูกาลต่าง ๆ ที่ไม่แน่นอน
งานวิจัยที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ที่เหมาะสมต่อบริบทประเทศ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม แรงงาน และสังคม จึงมีความสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการยอมรับเทคโนโลยีการผลิตพลังงานทดแทน ที่ลดผลกระทบต่อการปรับตัวในภาคอุตสาหกรรมและแรงงาน ซึ่งประเด็นการยกระดับความสามารถ (upskilling) ในแรงงานฝีมือเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต เป็นนโยบายของกระทรวง อว ที่สามารถช่วยสนับสนุนแผน AEDP นี้ เช่น อว For EV, อว for AI ตลอดจน หลักสูตร non-degree ต่าง ๆ ที่ช่วยพัฒนาฝีมือแรงงานของไทยในอนาคต
ร่าง แผนปฏิบัติการรายสาขาด้านการอนุรักษ์พลังงาน, EEP 2024 (พ.ศ. 2567 – 2580)
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากสถานการณ์ในปัจจุบันในหลายประเทศของโลกได้มีนโยบายหรือมาตรการในอนุรักษ์พลังงานในด้านต่างๆ เช่น ด้านการจัดหาพลังงาน ซึ่งประเทศไทยมีค่าความเข้มด้านการอนุรักษ์พลังงาน ด้านการจัดหาพลังงานอยู่ที่ 1.4 % ในช่วง พ.ศ. 2555-2564
นอกจากนี้ปริมาณการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2565 และ 2566อยู่ที่ 81,984 – 83,068 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ตามลำดับ และมีอัตราการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ร้อยละ 13.6 (ปี 2565 เทียบกับ 2564) และร้อยละ 1.4 (ปี 2566 เทียบกับปี 2564) ซึ่งภาคอุตสาหกรรมและการขนส่งมีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่สูงกว่าสาขาอื่นๆตามการจำแนกการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายจำแนกตามสาขาเศรษฐกิจ
ประเทศไทยมีมาตรการที่สำคัญในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งที่ผ่านมามาตรการภาคบังคับ ได้แก่ การบังคับใช้มาตรฐานการจัดการพลังงานในโรงงาน/อาคารควบคุม, การบังคับใช้เกณฑ์มาตรฐานอาคารด้านพลังงาน, การส่งเสริมเกณฑ์มาตรฐานอุปกรณ์และฉลากของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.), การส่งเสริมเกณฑ์มาตรฐานอุปกรณ์และฉลากของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), โครงการสนับสนุนการลงทุนเพื่อปรับเปลี่ยน ปรับปรุง เครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน, โครงการพัฒนาผู้ขับขี่รถบรรทุกเพื่อการประหยัดพลังงานในธุรกิจการขนส่งสินค้า นอกจากนี้ค่าประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (EI) ในปี 2566 อยู่ที่ 7.64 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ/พันล้านบาท ซึ่งลดลงประมาณ 0.04 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ/พันล้านบาทเมื่อเทียบกับปี 2565
นอกจากนี้ประเทศไทยมีความจำเป็นในการปรับปรุงแผนปฏิบัติการด้านการอนุรักษ์พลังงานเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน: Carbon Neutrality (2050) การปรับเปลี่ยนมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และมาตรการเฉพาะในแต่ละสาขาเศรษฐกิจและเพิ่มมาตรการใหม่ในการกำกับดูแล มาตรการประสิทธิภาพด้านพลังงานด้าน Supply Side และคำนึงถึงพลังงานทดแทนที่เข้ามาในระบบมากขึ้น
จากมาตรการภาคบังคับข้างต้นต้องมีการปรับปรุงในส่วนของการบังคับใช้มาตรการจัดการพลังงานในโรงงาน/อาคารควบคุม บังคับเกณฑ์มาตรฐานด้านพลังงานและมาตรการอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่งทางถนน อีกทั้งมีการระบุถึงมาตรการภาคส่งเสริมและภาคสนับสนุน ได้แก่ เกณฑ์มาตรฐานและการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพอุปกรณ์ การสนับสนุนทางด้านการเงิน ส่งเสริมนวัตกรรม อนุรักษ์พลังงานภาคขนส่ง วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอนุรักษ์พลังงาน เป็นต้น
โดยงานวิจัยภายใต้การสนับสนุนของ กระทรวง อว. นั้น จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานที่เหมาะสมต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศให้เกิดการแข่งขันในในตลาดโลก ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เกิดรายได้จากการส่งออกแล้ว ตลอดช่วยให้คนไทยมีสินค้าที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูง เพื่อการใช้งานในประเทศ อันจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ
ร่างแผนปฏิบัติการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567 – 2580 (Oil Plan 2024)
สำหรับร่างแผนปฏิบัติการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567-2580 มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดทิศทางการบริหารจัดการด้านน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศให้สอดคล้องกับเป้าหมายของแผนพลังงานชาติและแผนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินงานด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับนำมันเชื้อเพลิงในช่วง พ.ศ. 2567-2580 จากการคาดการณ์ความต้องการการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแยกสาขาของประเทศไทยมีแนวโน้มที่ลดลงจากปี พ.ศ. 2567 ภาคการขนส่งลดลงจากร้อยละ 75 เหลือประมาณร้อยละ 62 ในปี พ.ศ. 2580
ทั้งนี้มีปัจจัยหลักมาจากนโยบายการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า 30@30 การสับเปลี่ยนโหมดการเดินทางและขนส่ง และการปรับปรุงประสิทธิภาพเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ ในขณะที่การขนส่งทางน้ำและอากาศซึ่งได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานและน้ำมันเตา มีแนวโน้มค่อนข้างคงที่เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีด้านพลังงานของการขนส่งทางอากาศและการขนส่งทางน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนโดยอาจมีการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพและเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นเพิ่มมากขึ้นแต่จะยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย
สำหรับปริมาณการใช้เชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม ครัวเรือนและพาณิชยกรรม มีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเติบโตประมาณร้อยละ 3 ต่อปีในภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่ภาคครัวเรือนและพาณิชยกรรมจะมีอัตราการเติบโตทีชะลอตัวอันเนื่องมาจากจำนวนประชากรที่ลดลง ประกอบการเปลี่ยนผ่านชนิดพลังงานจาก LPG เป็นไฟฟ้า
นโยบายที่เกี่ยวข้อง เช่น นโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) นโยบายการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า นโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวด้านพลังงาน (Bio-Circular-Green Economy: BCG Economy) เป็นต้น7นั้นมีความเชื่อมโยงต่อการใช้พลังงานหลักของประเทศที่ยังเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่ งานวิจัยเพื่อส่งเสริมการลดความเข้มข้นด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (decarbonization) ในระบบการผลิตและใช้พลังงานฟอสซิล จึงเป็นส่วนสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างยุติธรรม (Just Energy Transition)
ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (Gas Plan 2024)
จุดประสงค์ของการจัดทำร่างแผนการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ของประเทศ และการทำให้โครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติให้มีความมั่นคงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับการคาดการณ์ปริมาณความต้องการการใช้ก๊าซธรรมชาติปี พ.ศ. 2567-2580 มีแนวโน้มที่ลดลงจาก 4,859 MMSCFD ในปี พ.ศ. 2567 ลดไปที่ 4,747 ในปี พ.ศ. 2580 ในปริมาณความต้องการก๊าซธรรมชาติที่ลดลงนี้จะมีการแบ่งสัดส่วนการจัดหาก๊าซธรรมชาติใหม่โดยเพิ่มสัดส่วนของก๊าซธรรมชาติ/ (Liquid Natural Gas, LNG) ที่ต้องจัดหาเพิ่ม เพิ่มสัดส่วน Potential Gas และ H2 เพิ่มสัดส่วนก๊าซธรรมชาติจากเมียนมา ลด LNG สัญญาปัจจุบันลงและลดสัดส่วนก๊าซธรรมชาติในประเทศ (อ่าวไทย+บนบก)
อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมการจัดหารองรับความต้องการใช้ของประเทศสำหรับการจัดหาก๊าซธรรมชาติ มีความชัดเจนมากขึ้นในการจัดหาจากแหล่งก๊าซธรรมชาติ Potential ในอ่าวไทยและเมียนมาเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีการนำเข้า LNG ลดลง ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการนำเข้าตลอดจนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ของก๊าซธรรมชาติที่ปัจจุบันยังมีความจำเป็นต่ออุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า และสารเคมีของประเทศอยู่ งานวิจัยที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการใช้แหล่งวัตถุดิบทางเลือกที่มี Carbon Footprint ต่ำกว่าก็จะเป็นส่วนสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างยุติธรรม (Just Energy Transition)
ข้อเสนอด้านพลังงานคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจหมุนเวียน
จากงานวิจัยด้านพลังงานคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจหมุนเวียน ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว) ภายใต้กระทรวง อว นั้น คณะทำงานหน่วยบูรณาการประเด็นยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมด้านพลังงานคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Strategic Agenda Team on Low Carbon Energy and Circular Economy) ได้มีการรวบรวมข้อมูลเทคโนโลยีพลังงานคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญโดยใช้วิธีห่วงโซ่อุทานของ The International Energy Agency (IEA) โดยการวิเคราะห์และประเมินความก้าวหน้าของเทคโนโลยีพลังงานคาร์บอนต่ำของโลกและประเทศไทยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและผู้ส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่คุณภาพ ดังที่แสดงไว้ในรูป
จากการศึกษาพบว่าศักยภาพของเทคโนโลยีด้านพลังงานจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ประกอบด้วย
- สีเขียว หรือ on track คือ มีแนวโน้มที่ดีและสามารถบรรลุเป้าหมาย NZE ในปี ค.ศ. 2050 ได้ และมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายของปี ค.ศ. 2030
- สีเหลือง หรือ more efforts needed คือ มีแนวโน้มที่ดีแต่ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย NZE ในปี 2050 ได้ ทั้งนี้ ต้องมีผลักดันให้เกิดการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของปี ค.ศ. 2030
- สีแดง หรือ not on track คือ มีแนวโน้มที่จะไม่เป็นไปตามการคาดการณ์และไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย NZE ในปี ค.ศ. 2050 ได้
โดยการประเมินจะมีการใช้ดัชนีหลายรูปแบบ เช่น ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงาน กิจกรรมทางพลังงาน เป็นต้น ตารางที่ 2 แสดงความก้าวหน้าของการใช้เทคโนโลยีพลังงานคาร์บอนต่ำในโลกและประเทศไทย9 โดยเทคโนโลยีพลังงานคาร์บอนต่ำเหล่านี้ การศึกษานี้ได้ทำการวิเคราะห์เทคโนโลยีในห่วงโซ่คุณค่าที่เทคโนโลยีนั้นๆมีศักยภาพและความเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในประเทศไทย
การศึกษาพบว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีภายใต้กลุ่มเทคโนโลยีด้านพลังงานและปราศจากคาร์บอน (Energy & Zero Carbon) จะมีแนวโน้มและทิศทางในอนาคต 5เทคโนโลยี ดังนี้
- ระบบเก็บเกี่ยวพลังงานกลระดับไมโครและนาโน (Micro-Scale to Nano-Scale Energy Harvesting System)
- ระบบสำรองไฟฟ้าแบบโครงข่ายพลังงาน (Electric Grid-Scale Storage)
- เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ (Small Modular Reactor-SMR)
- การดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอนขนาดใหญ่ (Carbon Capture Utilization and Storage)
- ระบบพลังงานไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen Energy System)
สำหรับ 3 กลุ่มพลังงานที่มีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในภาคพลังงาน เพื่อไปสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืน ได้แก่ เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ซึ่งทั้งหมดนี้จะอยู่ในยุทธศาสตร์ที่ 2 คือการยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อมให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน และยังสอดคล้องกับการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศอีกด้วยแสดงดังรูป
สำหรับการวิเคราะห์ 3 กลุ่มพลังงานข้างต้น ในมุมของงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานยั่งยืนนั้น หลายๆประเทศได้มีการกำหนดเป้าหมายและมาตรการการใช้ในภาคการขนส่งทางอากาศสำหรับเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ และเชื้อเพลิงไฮโดรเจนนั้นในมุมของประเทศไทยนั้นได้มีการศึกษาและงานวิจัยอย่างแพร่หลาย
ประเด็นที่ได้รับการตอบรับอย่างมากในปัจจุบัน คือ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor) จะเป็นเทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียรที่มีกำลังการผลิตน้อยกว่า 300 เมกกะวัตต์ อีกทั้งยังมีศักยภาพและความมั่นคงทางด้านพลังงานสูง ในบริบทของประเทศไทยนั้นได้มีการเตรียมความพร้อมทางด้านเทคนิค ความปลอดภัย การขออนุญาต รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพด้านกำลังคน จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับประเทศไทยในอนาคต
สำหรับพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวและเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนนั้นเป็นกลุ่มพลังงานที่จะเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นพลังงานสะอาดและมีความยั่งยืน โดยพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวจะเป็นระบบพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและถูกผลิตขึ้นจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีการทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนนี้ก็ได้มีการศึกษาค้นคว้าวิจัยเพื่อเพิ่มสัดส่วนปริมาณน้ำมันจากพลังงานชีวภาพในภาคการบินให้มีความยั่งยืนมากขึ้นรวมถึงการกำหนดเป้าหมายการใช้ในภาคการบินในอนาคตของไทยอีกด้วย
ข้อเสนอแนะ
สำหรับร่างแผนนโยบายด้านพลังงานทั้งหมดนี้จะมุ่งเน้นไปที่การลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและการเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือก จากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตพลังงานที่มีความเข้มข้นทางคาร์บอน (Carbon Intensity) ที่ต่ำลงเพื่อส่งเสริมเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. 2065 อีกทั้งยังสนับสนุนการบูราณาการร่วมกันในหลาย ๆ ภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการ รวมถึงกลไกต่างเพื่อความยั่งยืนในภาคพลังงานของประเทศ
นอกจากนี้การกำหนดทิศทางและการสนับสนุนด้านพลังงานยังตอบโจทย์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมในอนาคตอีกด้วย อีกทั้ง ยังทำให้เกิดการศึกษาค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีที่เหมาะสม การคงไว้ซึ่งการจ้างงานในตลาดพลังงานของประเทศผ่านการยกระดับความสามารถ และการสร้างรายได้ให้กับชุมชนและสังคม ในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของคนในชุมชนอีกด้วย
ในบทบาทของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ สกสว ที่ดูแลกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) ภายใต้กระทรวง อว นี้ สามารถช่วยส่งเสริมงานวิจัยเพื่อสนับสนุนนโยบายพลังงานของประเทศ อาทิ
- งานวิจัยที่ก่อให้เกิดการเชื่อมต่อระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนที่ไม่สม่ำเสมอเข้ากับระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่ต้องการกำลังการผลิตไฟฟ้าที่คาดการณ์ได้เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยไม่เพิ่มภาระมากเกินไป
- งานวิจัยที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ที่เหมาะสมต่อบริบทประเทศ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม แรงงาน และสังคม ที่จะช่วยให้เกิดการยอมรับเทคโนโลยีการผลิตพลังงานทดแทน ที่ลดผลกระทบต่อการปรับตัวในภาคอุตสาหกรรมและแรงงาน โดยการยกระดับความสามารถ (upskilling) ในแรงงานฝีมือเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต เช่น อว For EV, อว for AI ตลอดจน หลักสูตร non-degree ต่างๆ ที่ช่วยพัฒนาฝีมือแรงงานของไทยในอนาคต
- งานวิจัยในการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานที่เหมาะสมต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศให้เกิดการแข่งขันในในตลาดโลก และทำให้มีตัวเลือกที่เป็นสินค้าคุณภาพ ประสิทธิภาพสูง สำหรับการใช้งานในประเทศ
- งานวิจัยเพื่อลดความเข้มข้นด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (decarbonization) ในระบบการผลิตและใช้พลังงานฟอสซิล จึงเป็นส่วนสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างยุติธรรม (Just Energy Transition)
- งานวิจัยเพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ของก๊าซธรรมชาติที่ปัจจุบันยังมีความจำเป็นต่ออุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้า และสารเคมีของประเทศอยู่ งานวิจัยที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการใช้แหล่งวัตถุดิบทางเลือกที่มี Carbon Footprint ต่ำกว่าก็จะเป็นส่วนสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างยุติธรรม (Just Energy Transition)
เขียนโดย
ดร.นุวงศ์ ชลคุป, ดร.กัมปนาท ซิลวา, ดร.ตะวัน จำปีเจริญสุข, ดร.อาทิตย์ จำปีเจริญสุข
อ้างอิง
1. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 พ.ศ. 2566-2570
2. การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26
3. ยุทธศาสตร์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระยะยาวของประเทศไทย (Thailand’s Long-term GHG Emission Development Strategy)
4. ร่างแผนพัฒนกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP2024)
5. ร่าง แผนปฏิบัติการด้านพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก, พ.ศ. 2567-2580 (AEDP 2024)
6. ร่าง แผนปฏิบัติการรายสาขา ด้านการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2567 – 2580 (EEP 2024)
7. ร่างแผนปฏิบัติการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2567-2580 (Oil Plan 2024)
8. ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (Gas Plan 2024)
9. รายงานโครงการ “การบูรณาการความร่วมมือและการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ด้านพลังงานคาร์บอนต่ำ ปี พ.ศ. 2566”