
ไม่เพียงการเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่ที่เพิ่งผ่านไป แต่ช่วงที่ผ่านมาชาวนาหลายพื้นที่ก็ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตที่ลงทุนลงแรงไปร่วมปี ซึ่งมีมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป แต่ก็เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงเฉลิมฉลองหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งเทศกาล “ข้าวใหม่ปลามัน” ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองผลผลิตจากการเกษตรเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติในกระบวนการผลิตอาหาร
อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันที่การเกษตรต้องเผชิญกับสภาวะโลกร้อนโลกรวน อย่างการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และปัญหาภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ฝนตกไม่ตรงฤดูกาล หรือความแห้งแล้ง ทำให้การเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่สามารถทำได้ตามที่คาดหวัง จึงทำให้ความมั่นคงทางอาหารในระดับชุมชนเริ่มถูกท้าทาย
คุณเล่าเราขยาย โดย วิภาพร วัฒนวิทย์ ชวนคุยถึงโจทย์ความมั่นคงทางอาหารและการปรับตัวภายใต้สภาวะโลกรวนของเกษตรกรที่ส่งผลโดยตรงต่อเกษตรกร เศรษฐกิจและปากท้องของชุมชน โดยเฉพาะข้าว กับคุณสุเมธ ปานจำลอง เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน และ คุณอาญาสิทธิ์ เหล่าชัย เกษตรกรอารยะฟาร์ม จ.ร้อยเอ็ด
ข้าวใหม่ ปลามัน กับความมั่นคงของครอบครัวและชุมชน
“ข้าวใหม่ปลามัน” นอกจจากจะเป็นคำที่ใช้กันในหลายบริบท แต่ในมุมหนึ่งเทศกาลข้าวใหม่ปลามัน ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นภายหลัง สุเมธ ปานจำลอง เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน บอกว่า
“ข้าวใหม่ประมาณมันเป็นวาทะประดิษฐ์ใหม่ที่เราคิดกันขึ้นมาในช่วงของข้าวที่ราคาถูกมาก คนทั้งประเทศก็แห่กันสงสารชาวนาแต่จริง ๆ ชาวนาแบบพวกเราเองมองว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ข้าวมันไม่ใช่สินค้าที่บอกว่าราคาตกแล้วมันจะอยู่ไม่ได้ ข้าวมันคือความมั่นคงของครอบครัว ข้าวมันคือความมั่นคงของชุมชนของภาคเกษตรด้วย เพราะฉะนั้นในเทศกาลเข้าใหม่ปลามัน จึงพูดถึงเรื่องการเฉลิมฉลองที่มากกว่าการขายข้าวราคาถูกราคาแพง อันนี้ก็เป็นวัฒนธรรมที่เราช่วยกันคิดขึ้นมาแล้วเฉลิมฉลองกันจึงเป็นที่มาเรื่องนี้ แต่ประเพณีดั้งเดิมก็จะมีบุญกุ้มข้าวใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นฤดูของการสิ้นสุดการทำนา ซึ่งก็จะทำกันในช่วงออกใหม่ 3 ค่ำเดือน 3 ข้าวที่ออกใหม่ปีนี้จะเริ่มกินตั้งแต่เดือน 3 เป็นต้นไปอันนี้ก็เป็นวัฒนธรรมเดิมที่มีอยู่”
ประเพณีวัฒนธรรมของเกษตรกรผู้ผลิตอาหาร อย่างบุญกุ้มข้าวใหญ่ หรือเทศกาลข้าวใหม่ปลามัน นอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ในชุมชน ร่วมถึงการอัปเดตนวัตกรรมหรือความรู้ใหม่ ๆ ของการผลิตข้าวในกลุ่มเกษตรกรกันเอง ซึ่ง อาญาสิทธิ์ เหล่าชัย เกษตรกรอารยะฟาร์ม จ.ร้อยเอ็ด กล่าวเสริมเรื่องนี้ว่า
“เรื่องข้าวใหม่ปลามันกับการรับรู้ของคนเมืองกับตัวชาวนาเอง ต้องบอกว่าเรื่องราวพวกนี้มันจะอยู่ในจารีตประเพณีของชาวนา ของชาวอีสานเรา ตัวผมโตมาเป็นคนอีสานก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้อยู่แต่ทีนี้เมื่อเราเป็นวัยรุ่นมาอยู่ในเมืองปรากฏว่า เพื่อน ๆ เราไม่เคยรู้เลยว่ามันมีประเพณีเหล่านี้ที่มันยึดโยงอยู่กับวิถีการทำเกษตร แต่พอมีประเพณีนี้ขึ้นมามันก็ทำให้คนเมืองได้รับรู้มากขึ้นว่า ข้าวที่เขากินหรือข้าวปลาอาหารที่เขาได้รับนั้นมันมาจากวิถีชีวิตมันมาจากชุมชนยังไง แล้วก็เป็นโอกาสที่ได้ให้ชาวนาที่ได้คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ได้มาอัพเดทได้มาเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ กันในเทศกาลของงานข้าวใหม่ ดึงคนนอกชุมชนให้มาเข้าใจวิถีวัฒนธรรมนอกเหนือจากตัวผลิตภัณฑ์”
ความท้าทายของชาวนารุ่นใหม่ กับองค์ความรู้ที่หายไป และ Climate Change
นอกจากการปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวและการปลูกพืชในภาคเกษตรไม่สามารถคาดการณ์ได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตข้าวและผลผลิตทางการเกษตรอื่น ๆ ซึ่งยังส่งผลต่อกระบวนการผลิตที่ยุ่งยากขึ้น ต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้อาชีพเกษตรกรหรือชาวนาเป็นอาชีพที่ดูเหมือนยิ่งทำยิ่งจน ผู้คนจึงผลักลูกหลานให้ออกจากวังวนของวิถีชาวนา ทำให้คนรุ่นใหม่ทำอาชีพเกษตรน้อยลง อาญาสิทธิ์ หนึ่งในเกษตรกรรุ่นใหม่จากจังหวัดร้อยเอ็ด เล่าว่า นอกจากเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นข้อท้าทายใหม่ที่ต้องปรับตัวเพื่อรับมือ อีกหนึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดคืออาชีพชาวนาถูกลดคุณค่า และเกษตรรุ่นใหม่เองก็ยังต้องตามหาองค์ความรู้ที่ขาดหายไป จากการขาดช่วงของการส่งต่ออาชีพจากรุ่นพ่อแม่
“เกษตรกร หรือชาวนา เป็นอาชีพที่ส่วนใหญ่แล้วคนรุ่นเก่าจะไม่ค่อยอยากให้ลูกหลานมาทำเพราะว่าทำแล้วจนมันไม่ได้รวยขึ้น แล้วก็รู้สึกว่ามันลดคุณค่าตรงนี้ลงไป มันชัดเจนเลยว่าระบบทุนนิยมมันอาจจะทำให้ชาวนาบางคนจำเป็นต้องขายที่นาไม่อยากให้ลูกสืบทอด ซึ่งนำไปสู่อีกข้อก็คือในกระบวนการทำเกษตรหรือทำนาที่มันมีรายละเอียดเยอะมากไม่ได้ต่างจากอาชีพอื่น คือมันเป็นหลักสูตรเลย ซึ่งพอมันถูกผลักออกไปมันก็ขาดการมาสอนมาบอกกันเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ คือรายละเอียดมันเยอะมากตรงนี้ก็เลยเรียกว่าองค์ความรู้ขาดตอนไม่ได้ต่อรอยเพราะฉะนั้นคนรุ่นผมที่จะกลับไปทำนาก็จะมีความท้าทายแรกคือคุณจะต้องตามหาองค์ความรู้ที่มันถูกตัดตอนไป”
ไม่เพียงเรื่องของอาชีพชาวนาที่ถูกลดคุณค่า หรือองค์ความรู้ในการทำนา การทำเกษตรที่ขาดหายไป แต่เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศก็เป็นโจทย์ใหญ่ที่เกษตรกรรุ่นใหม่ต้องเผชิญ โดย สุเมธ ปานจำลอง ย้ำถึงเรื่องนี้ว่า
“จริง ๆ เรื่องที่การลดคุณค่าของอาชีพเกษตรกร การขาดหายไปขององค์ความรู้ พ่อแม่พยายามส่งให้ลูกหลายออกจากชุมชนเพื่อไปเติมโต การมองไม่เห็นคุณค่าของชาวนาเป็นลูกชาวนาก็จริงแต่หัวใจเป็นทุนนิยมไปหมดแล้ว เรื่องเหล่านี้มันเผชิญมานานแล้ว แต่อีกประเด็นที่เป็นโจทย์ใหม่คือโลกมันเปลี่ยนไปแล้วอุณหภูมิมันเพิ่มขึ้นไปถึง 40 องศา แล้วก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ เพราะฉะนั้นการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ มันทำให้การแปรปรวนของฝนมันตกไม่ตรงตามฤดูกาล มันตกกระจุกไม่กระจาย และมันมีผลต่อฤดูกาลฝนทิ้งช่วง น้ำในดินก็มีการระเหยเร็วขึ้น ข้าวมันจะเป็นหมัน ข้าวมันจะติดผลน้อยลง เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง นอกจากแรงงานรุ่นใหม่ ๆ ที่กำลังจะกลับบ้านไม่รู้จะตั้งต้นยังไง ปัญหาที่พอพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาวะการณ์ปีนี้น้ำท่วมเยอะ มีการพูดถึงเยอะมากเรื่องความมั่นคงทางอาหารก็เป็นปัญหาเยอะ สิ่งเหล่านี้มันมีผลกระทบโดยตรงกับความมั่นคงของอาหารความมั่นคงของประเทศเลย”
ความมั่นคงทางอาหารกับสถานการณ์ข้าวไทย
เมื่อต้องเผชิญความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตอาหารโดยตรง การสร้างความมั่นคงทางอาหารจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ อย่างสถานการณ์การผลิตและการส่งออกข้าวไทยที่เป็นอีกส่วนที่บ่งชี้ถึงสถานการณ์ความมั่งคงทางอาหารในระดับโลก ซึ่งจากข้อมูลสถานการณ์การผลิตและการตลาดข้าวไทย จากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระบุว่า ไทยส่งออกข้าว ตั้งแต่ มกราคม – ตุลาคม 2567 ปริมาณกว่า 8.35 ล้านตัน มูลค่า 191,031 ล้านบาท หรือประมาณ 5,411 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20.32% ซึ่งในจำนวนนี้ มากที่สุด คือ ข้าวขาว ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง ข้าวหอมไทย ข้าวเหนียว และ ข้าวกล้อง ตามลำดับ ซึ่งยังไม่นับรวมการบริโภคภายในประเทศและแปรรูป
โดยกรมการค้าต่างประเทศชี้ปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวไทยปรับตัวสูงขึ้นดั้งนี้
1. การดำเนินมาตรการควบคุมการส่งออกข้าวของอินเดีย ทั้งการระงับการส่งออกข้าวขาว และการเก็บภาษีส่งออกข้าวนึ่ง ตั้งแต่ปี 66 จนถึงเดือน ต.ค. 67 ส่งผลให้ภาพรวมราคาส่งออกข้าวในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น
2. ความต้องการสำคัญของประเทศผู้นำเข้าข้าวที่มีอย่างต่อเนื่อง เช่น อินโดนีเซีย อิรัก และฟิลิปปินส์ เพื่อใช้บริโภคและเก็บสต็อกเพื่อความมั่นคงทางอาหาร และเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้งที่ โดยผลผลิตข้าวของอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ลดลงกว่า 0.88 ล้านตัน และ 0.30 ล้านตัน ตามลำดับ รวมถึงตลาดสหรัฐฯ ที่มีความต้องการข้าวหอมมะลิไทยเพิ่มขึ้น
3. ปริมาณผลผลิตข้าวของไทยเพียงพอ พร้อมตอบสนองความต้องการของตลาดข้าวโลก โดยมีศักยภาพและมีความพร้อมในการส่งมอบข้าวให้ประเทศผู้นำเข้าอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจากทั้ง 3 ปัจจัยแสดงให้เห็นว่าหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกเริ่มใหความสำคัญกับการสร้างคลังอาหารเพื่อความมั่นคงทางอาหารในระดับโลก และอาจเป็นโอกาสของรัฐบาลและชาวนาไทยที่จะต้องเรียนรู้ปรับตัว และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ เพื่อความยั่งยืนของเกษตรกรผู้ผลิตอาหาร สุเมธ ปานจำลอง ย้ำถึงโจทย์ของภาครัฐและการสร้างโอกาสสำหรับเกษตรกรในเรื่องนี้ว่า
“ตอนนี้มันถึงจุดที่ต้องตั้งลำตั้งหลักให้ดีแล้ว รัฐบาลเองก็ต้องต้องพูดถึงมิติของการมาดูแลคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งเป็นชาวนาและมีที่ดินในการที่ถือครองเป็นส่วนใหญ่ด้วย หมายความว่าชาวนายังพอมีที่ดินอยู่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องเผชิญคือเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เรื่องฝนตก ฝนแล้ง หรือผลผลิตไม่ได้ผลเต็มที่ สิ่งที่เราต้องช่วยกันก็คือคุณจะต้องให้ความสำคัญกับการกลับมาของคนรุ่นใหม่แบบนี้ ส่งเสริมให้เขามีการทำการผลิตคิดนวัตกรรมใหม่ ๆ เพราะมันทำอย่างเดิมไม่ได้แล้ว และอีกสิ่งที่สำคัญก็คือการจัดการเมล็ดพันธุ์ อย่างข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา อาจจะปลูกในทุ่งกุลาไม่ได้ต่อไปในอนาคต เพราะว่าอุณหภูมิมันเพิ่มขึ้นแต่ขณะเดียวกันข้าวพื้นบ้านมันมีบางชนิดที่มันสามารถปรับตัวได้ แต่สำคัญก็คือว่ากรมวิชาการข้าวก็ต้องเปลี่ยนวิถีการและผลันตัวเองให้เป็นคนที่จะไปเทรนนิ่งให้กับชาวบ้านทำการผลิตเมล็ดพันธุ์เองให้ได้ มีชาวนาที่ทุ่งกุลา ชาวนาที่ยโสธร ทำได้ สามารถที่จัดการพันธุ์ได้สิ่งเหล่านี้มันจะเป็นโอกาสของชาวนา เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงมันเป็นทั้งโลก แล้วกลุ่มประเทศเอเชียทั้งหลายที่ผลิตข้าวก็มีปัญหาเหมือนกันเพราะฉะนั้นจะให้โอกาสเป็นของชาวนาได้ยังไง ก็ต้องปรับระบบการผลิตใหม่ต้องสนับสนุนนวัตกรรมใหม่ รวมทั้งการส่งเสริมในระดับแปลงในระดับพื้นฐานข้างล่าง”
ด้าน อาญาสิทธิ์ เหล่าชัย เกษตรกรอารยะฟาร์ม จ.ร้อยเอ็ด กล่าวเสริมเรื่องนี้ว่า
“เรื่องข้าวผมเห็นเป็น 2 ส่วน เรื่องใหญ่เป็นเรื่องของตลาดที่กรมการค้าเขาทำ เรื่องสายพันธุ์อะไรพวกนี้เขาก็อาจจะเน้นไปที่การจัดการทั้งระบบที่มันเบ็ดเสร็จง่ายแล้วก็ราคาแข่งขันได้ในตลาดใหญ่ แต่ของเราเป็นเรื่องของคนตัวเล็กก็จะเป็นการสร้างความมั่นคงครับ อย่างเช่น สายพันธุ์ต่าง ๆ ที่การผลิตในอุตสาหกรรมใหญ่เขาไม่ได้ผลิต เราก็ต้องทำการเก็บพันธุ์ คือพันธุ์อะไรแปลก ๆ พันธุ์อะไรที่มันจัดการยากในมุมของการผลิตในภาคใหญ่ กลุ่มเราก็จัดเก็บพันธุ์ไว้ ซึ่งตอนนี้มีข้าว 30-40 สายพันธุ์ที่เราอนุรักษ์ไว้ และเราก็ต้องมาทดลองวิธีการปลูกใหม่ ๆ ที่แม้กระทั่งเป็นพันธุ์พื้นบ้านที่มันเคยแข็งแรง เราก็ยังจะต้องมาออกแบบการทดลองกันว่าลองเลื่อนช่วงการปลูกดู จากที่เคยปลูกฤดูนี้เราเขยิบออกไปอาจจะปลูกช้า 1-2 เดือน เพื่อเก็บข้อมูลว่าเมื่ออากาศมันแปรปรวนมาก ๆ พอถึงจุดหนึ่งถ้าอุณหภูมิมันสูงเกินข้าวมันรีบ มันไม่มีเมล็ด เราจะทำอย่างไรเพื่อสร้างความมั่นคงให้พันธุกรรม และอาหาร ซึ่งควรต้องสนับสนุนชุมชนให้ได้มีพันธุ์ข้าวที่หลากหลายมีทางเลือกในการได้ดูแลและจัดการสายพันธุ์ด้วยตัวเอง”
นอกจากนี้ สุเมธ ปานจำลอง ยังได้ย้ำถึงความสำคัญของกระบวนการผลิต การจัดการเมล็ดพันธุ์ และความมั่นคงทางอาหาร ที่ยึดโยงท้องถิ่น และค้ำจุนระบบทุน ว่า
“ผมคิดว่าเรื่องนี้เราต้องช่วยกันรักษาเพราะมันคือฐานความมั่นคงของชุมชน มันอาจจะเป็นตลาดล่างที่อยู่ภายในอย่างกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่มีอยู่ กับข้าวส่งออกอาจจะเทียบกันไม่ได้ แต่ว่าเราก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีมูลค่าของสังคมและชุมชนท้องถิ่นที่เป็นรายย่อยนี่แหละคือตัวที่ไปค้ำจุนอุตสาหกรรมใหญ่ อย่างดูปีใหม่ที่ผ่านมาพ่อจะสีข้าวให้กับลูกที่มาทำงานกรุงเทพฯ แล้วแบกกระสอบข้าวมาเพื่อที่จะลดค่าใช้จ่ายไม่ต้องซื้อเพราะทำเองได้ ถ้าไม่มองเห็นมิติการค้ำจุนระบบทุนใหญ่กว่านี้มันไปไม่รอดหรอกค่าแรงแค่นี้ อันนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญก็อยากจะฝากกับสังคมไทยว่าเราถึงเวลาที่ต้องฝืนเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วก็มองมิติของการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนระบบการผลิตใหม่ภายใต้ความหวังของเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ เกษตรกรรุ่นใหม่ ผมคิดว่าเขามีอะไรดี ๆ ที่จะกลับไปฟื้นพื้นที่ที่เขาเคยเกิดแล้วพื้นที่ที่พ่อแม่เขาเคยสร้างคุณค่า”
โลกร้อน โลกรวน กระทบในหลายมิติ เรื่องนี้ยังต้องเรียนรู้ รับมือ ปรับตัวกันและอาจจะเป็นวิถีใหม่ทั้งเรื่องภัยพิบัติและการปลูกพืช ในยุคปัจจุบันที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การเฉลิมฉลองข้าวใหม่ปลามันในยุคใหม่จึงไม่เพียงแต่เป็นการสืบสานวัฒนธรรมและประเพณีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตือนใจให้เรารู้จักรักษาและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ และส่งเสริมให้เกิดการเกษตรที่ยั่งยืน เพื่อความมั่นคงทางอาหารทั้งในระดับครัวเรือนและระดับประเทศในอนาคต