ผ่านมากกว่า 1 เดือน เหตุการณ์อาคาร 30 ชั้นในโครงการก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม จากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ยังคงอยู่ในความทรงจำและการติดตามของใครหลายคน
นอกจากการค้นหาผู้สูญหายเพื่อคืนสู่ครอบครัว และการขุดค้นหาความจริงใต้ซากตึกซึ่งอาจเกี่ยวข้องการคอร์รัปชันในระบบราชการ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดอีกเรื่องหนึ่ง คือปัญหาของการจ้างงานในธุรกิจก่อสร้าง ในรูปแบบ Subcontract หรือ จ้างเหมาช่วง ที่สร้างความไม่มั่นคงให้กับคนทำงาน และทำให้ผู้คนบางส่วนถูกหลงลืมและตกหล่นไปจากกระบวนการเยียวยา
สุธาสินี แก้วเหล็กไหล ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน และนิลุบล พงษ์พยอม จากกลุ่มนายจ้างสีขาว ร่วมพูดคุยในรายการคุณเล่าเราขยาย ตอน เสียงของแรงงานความหวัง การเยียวยาใต้ซากตึก สตง. เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 บอกเล่าถึงปัญหาที่ได้พบจากการเข้าไปช่วยเหลือแรงงานทั้งไทยและข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ตึก สตง.ถล่ม และความซับซ้อนของระบบจ้างงานที่ส่งผลต่อลูกจ้างแรงงานในภาคการก่อสร้างไทย
“มีทั้งนายจ้างทั้งลูกจ้าง เขารอดมาได้จากเหตุการณ์ตึกถล่ม แต่ก็อาจจะอดตายได้ ถ้ายังไม่มีใครเข้าไปช่วยเหลือเยียวยา” ผู้แทนกลุ่มนายจ้างสีขาวบอกถึงสถานการณ์ในตอนนี้

ข่าวการปิดศูนย์ช่วยเหลือฯ และข้อกังวลต่อคนที่ยังไม่ถูกช่วยเหลือ
ในระหว่างที่การค้นหาแรงงานผู้สูญหายใต้ตึก สตง.ยังคงดำเนินการต่อเนื่อง มีข่าวแพร่กระจายในกลุ่มคนทำงานว่า ศูนย์อำนวยการหน้าตึก สตง. ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยและผู้ได้รับผลกระทบ ใกล้จะปิดลงในช่วงสิ้นเดือนเมษายนนี้แล้ว ข้อสงสัยที่ตามมาคือจะปิด ในเมื่อความชัดเจนยังไม่มี
“คาดไม่ถึง ว่าเจ้าหน้าที่พูดจริงหรือพูดเล่น” สุธาสินี แก้วเหล็กไหล กล่าว
ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน มองว่าสถานการณ์ปัจจุบัน ยังมีแรงงานผู้สูญหายบางส่วนที่ยังติดอยู่ใต้ตึก สตง. เพราะจากการที่ได้คุยกับแรงงานข้ามชาติ พบว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 11 ราย แต่เพิ่งจะค้นหาเจอ 8 รายยัง ไม่เจออีก 3 ราย ถ้าจะหยุดค้นหา เธอก็กังวลถึงความรู้สึกของญาติและครอบครัวผู้สูญหายที่ยังเฝ้ารอการค้นหา และยังไม่เห็นแม้กระทั้งชิ้นส่วนใด ๆ
ส่วนเรื่องของการช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่แรงงานต้องวิ่งไปประสานงานเองตามเต็นท์และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ นิลุบล จากกลุ่มนายจ้างสีขาว เธอยอมรับว่า หน่วยงานต่าง ๆ ยังไม่มีการประสานกัน และเธอพยายามสื่อสารประเด็นดังกล่าวมาตั้งแต่สัปดาห์แรกของเหตุการณ์
“ตอนนี้ตัวนายจ้างและแรงงานเองยังต้องวิ่งไปตามเต็นท์ต่าง ๆ ซึ่งเต็นท์ที่เราเห็นจะมีของกระทรวงแรงงานและของกรุงเทพมหานคร ที่จะดูเรื่องของตึกเป็นหลัก ส่วนนายจ้างกับแรงงาน ทุกวันนี้จะพึ่งพาใคร จะหาข้อมูลผู้เสียชีวิต สูญหาย หรือจะขอให้ประกันสังคมช่วยดูเรื่องค่า แรงค่าจ้าง ก็ยังต้องวิ่งกันวุ่นอยู่”
นิลุบล กล่าว
เงินเยียวยาถึงมือหรือยัง? คำถามที่ยังไม่มีใครรวบรวมคำตอบ
คำถามต่อมาคือเงินเยียวยารวมถึงเงินช่วยเหลือกรณีทำศพ ที่หน่วยงานต่าง ๆ ประกาศกันออกมาจำนวนหลายล้าน นั้นถึงมือผู้ได้รับผลกระทบบ้างหรือยัง
นิลุบล กล่าวว่า กลุ่มแรกที่เข้ามาเยียวยาเป็นกลุ่มของอิตาเลียนไทย ที่จ่าย 50,000 บาท เมื่อรับศพจากนิติเวชแล้ว ส่วนการเยียวยานายจ้างและแรงงานที่เสียชีวิต กระทรวงมหาดไทยจะจ่าย 100,000 บาท ประกันสังคมจะจ่าย 50,000 บาท ส่วนเต็นท์ของกันจอมพลังก็เห็นว่าจะจ่ายบ้าง แต่ว่าไม่ทราบว่าเงื่อนไขของแต่ละที่คือต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง เมื่อไหร่ถึงจะเข้าไปรับได้ ต้องเผาศพไปแล้วหรือรับศพจากนิติเวชแล้ว จากที่กล่าวมาเราเห็นว่าประกันสังคมมีจ่ายอบู่บ้างประปราย แต่ยังไม่เห็นการจ่ายของมหาดไทย
“ส่วนการเยียวยาของ สตง. จำนวน 10,000 บาท ส่วนนี้เรายังไม่เห็น อย่างที่เราไปงานศพเราจะเห็นหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้พวงหรีด แต่ว่าก็ยังไม่เห็นว่าเข้าไปช่วยเรื่องงานศพ และค่าทำศพ” นิลุบลให้ข้อมูล
แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการถล่มของตึก สตง. นอกจากแรงงานไทยแล้ว ก็ยังมีกลุ่มของแรงงานข้ามชาติที่ยังรอการช่วยเหลือ
“ถ้าเป็นพี่น้องแรงงานข้ามชาติ กรณีทำศพอย่างน้อย ๆ ประกันสังคมก็ต้องมีผู้จัดการศพ 50,000 บาทต่อราย ถ้าเสียชีวิตในการทำงานก็จะเข้าสู่กองทุนทดแทนตามกฎหมาย แต่พอถามแรงงานจากการลงพื้นที่ไปเมื่อสองวันที่แล้วพบว่า แรงงานกลุ่มนี้ได้รับเงิน 35,000 แต่เงินดังกล่าวมาจากการที่นายจ้างหักเงินจากแรงงาน แล้วก็เอามาเฉลี่ยจ่ายให้กับญาติของผู้เสียชีวิต” สุธาสินี กล่าว
นั่นหมายความว่า มีแรงงานบางส่วนที่แม้ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โดยตรง แต่กลับถูกนายจ้างหักเงิน เพื่อนำไปจ่ายให้กับครอบครัวแรงงานผู้เสียชีวิต
สุธาสินี กล่าวต่อว่า คนงานยังไม่เห็นเงินจำนวน 38 ล้านบาทที่ปลัดกระทรวงแรงงานพูดถึงเลย โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติที่ยังรอคอยและไม่รู้ว่าจะได้รับเมื่อไหร่หรืออย่างไร คำถามคือ เราจะทำอย่างไร และใครจะเป็นคนไปบอกพวกเขาว่า ยังพอมีความหวังอยู่ไหม
โครงสร้างซับซ้อนที่ซ้อนทับ “ซัพคอนแทรคท์” ทำแรงงานหลุดระบบ
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของปัญหาคือความไม่ชัดเจนของตัวเลขผู้ประสบเหตุที่รายงานออกมาในช่วงแรก ซึ่งก็มีคำถามตามมาว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเป็นตัวเลขจริงหรือไม่ หรือมีมากกว่านี้ไหม เพราะระบบการจ้างงานในงานก่อสร้างมีความหลากหลาย ทั้งในแง่ของสัญญาและรูปแบบการจ้าง โดยเฉพาะการจ้างแบบซัพคอนแทรคท์หรือเหมาช่วง ที่อาจทำให้แรงงานบางส่วน ‘ตกหล่น’ จากการนับอย่างเป็นทางการ
สุธาสินี กล่าวว่า ถ้าเราเข้าไปคุยกับคนงาน นอกจากข้อมูลตามข่าวแล้ว ข้อเท็จจริงจากคนงานอีกระดับหนึ่งคือ โครงการก่อสร้างอาคาร สตง. มีการจ้างงานหลายระดับ ตั้งแต่บริษัทใหญ่ บริษัทระดับกลาง บริษัทจีน ไปจนถึงซัพคอนแทรคท์ ซึ่งหากเปรียบเทียบก็เทียบได้กับโรงงานขนาดกลาง เพราะมีแรงงานรวมกันเกือบ 1,000 คน อยู่ภายใต้การดูแลของระบบการจ้างเหล่านี้
“นอกจากนี้ยังมีรายย่อยอีก เป็นรายย่อยระดับหัวหน้างาน ที่ไปเอาคนงานมา 9-10 คน บางคนก็ไปเอาจากไซต์งานอื่นมาสมทบ 2-3 คน คำถามคือตัวเลขตรงนี้ใครจะเป็นคนแบออกมา ถ้ากระทรวงแรงงานบอกว่ามีการเรียกมาคุย เรียกมาแบแล้ว แล้วที่เหลือจากที่จับต้องได้ ที่เป็นซัพคอนแทรคท์รายบุคคลจะเปิดเผยอย่างไร ตัวนายจ้างจริง ๆ แล้วเปิดเผยตัวเลขจริงหรือเปล่า” สุธาสินี ตั้งข้อสังเกต
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีนายจ้างบางรายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุด้วย ทำให้การตรวจสอบข้อมูลแรงงานยิ่งซับซ้อน เพราะการพูดถึง ‘ตัวเลข’ เหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเยียวยา ซึ่งในหลายกรณีไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามารับผิดชอบอย่างเป็นรูปธรรม หน้าที่จึงมักตกไปอยู่กับนายจ้าง แต่เมื่อบางคนเป็นผู้ประสบเหตุเสียเอง คำถามสำคัญคือ ในระบบการจ้างงานแบบซับซ้อนนี้ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
นิลุบล อธิบายแผนผังภาพรวมบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างตึก สตง. ให้ฟังว่า ถ้าเราจะไล่ตั้งแต่ต้นคือ กิจการร่วมค้า ITD-CREC (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนต์ และบริษัท China Railway No.10 Engineering Group) ที่ประมูลชนะ หลังจากนั้นก็จะมีทีมที่เป็นคนมาคอยตรวจสอบและให้คำปรึกษา
ส่วนถ้าลากเส้นลงมาจาก ITD-CREC ก็จะเริ่มเป็นผู้รับเหมาที่เซ็นสัญญาตรง ซึ่งจะมีการจ้างเป็นทอด ๆ ต่อลงไป โดยมันจะมีการแยกเป็นช่างแต่ละประเภท เช่น ช่างระบบ ช่างไฟฟ้า ช่างกระจกอะลูมิเนียม ช่างประปา หรือว่าเป็นช่างสปริงเกอร์ ฉะนั้นแต่ละซับของการจ้าง จะมีทำสัญญาตรง หรือทำสัญญาผ่านกับผู้ที่เป็นผู้รับเหมารายย่อยอีกทีหนึ่ง
“ผู้รับเหมารายย่อยที่ได้เซ็นสัญญาจาก ITD-CREC ก็อาจจะต้องไปหาคนมาเติม หรือที่เราเรียกว่าแมนพาวเวอร์ ที่คอยเช็คคน เช่นทำประปาสมมุติว่าต้องการ 100 คน เขาจะต้องไปหาเอาคนมาเติมให้ครบ 100 คน ถ้าไม่ครบก็จะไปหาจ้างจากข้างนอกมา ก็เป็นซับต่ออีกทอดหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นสัญญาตรงจาก ITD-CREC” นิลุบล กล่าว
“นี่เป็นการจ้างแบบซับของซับ ซ้อนลงไปอีกแล้วในซับของซับนี้ก็จะไปหาคนงานมาเติมถ้าคนงานไม่พอ “ในธุรกิจก่อสร้างจะเป็นแบบนี้ซะส่วนมาก” นิลุบลย้ำ
จากแผนผังจะเห็นได้ว่า โครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีโครงสร้างการจ้างงานหลายชั้น โดย สตง. เป็นหน่วยงานหลักที่จ้างกิจการร่วมค้า PKM เป็นที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง ในขณะกิจการร่วมค้า ITD-CREC ได้รับการประมูลให้เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก
ภายใต้กิจการร่วมค้า ITD-CREC ยังมีบริษัทผู้รับเหมาช่วงอีกกว่า 32 แห่ง ซึ่งบางบริษัททำสัญญาโดยตรงกับอิตาเลียนไทย ขณะที่บางบริษัททำสัญญาผ่านตัวกลาง หรือมีการส่งต่อสัญญากันเป็นทอด ๆ เป็นโครงสร้างที่ซับซ้อน ลงไปอีกหลายชั้น
โครงสร้างที่สะท้อนให้เห็นความเชื่อมโยงของหน่วยงานต่าง ๆ นี้ นำมาสู่คำถามที่ว่า เมื่อเกตุเหตุการความสูญเสียครั้งใหญ่นี้ อิตาเลียนไทย กับ ไชน่าเรลเวย์ จะต้องมารับผิดชอบอะไร ในส่วนไหนหรือไม่
จากการลงพื้นที่ของกลุ่มนายจ้างสีขาวและเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) ร่วมกับทีมมูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน ได้พูดคุยกับแรงงานเกี่ยวกับการดูแลและการชดเชยเบื้องต้นหลังเกิดเหตุ แรงงานให้ข้อมูลว่าขณะนั้นยังไม่ได้รับการชดเชยหรือการช่วยเหลือจากหน่วยงานใด ๆ รวมถึงจากไชน่า เรลเวย์และอิตาเลียนไทย อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นประมาณ 7 วัน อิตาเลียนไทยได้มอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้ครอบครัวของผู้สูญหายหรือเสียชีวิต ครอบครัวละ 3,000 บาท
นิลุบล เล่าต่อว่า ในกรณีที่พบศพแรงงาน ญาติที่มีเอกสารครบ ตรวจดีเอ็นเอและเก็บข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จะต้องเดินทางไปรับศพที่นิติเวช เพื่อนำมาบำเพ็ญกุศลและประกอบพิธีศพ ซึ่งทางอิตาเลียนไทยจะมอบเงินช่วยเหลือค่าทำศพให้รายละ 50,000 บาท นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าทีมของ ‘กัน จอมพลัง’ จะมอบเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก 45,000 บาท แต่ยังไม่ชัดเจนในรายละเอียดหรือเงื่อนไขการให้ อย่างไรก็ตาม เงินช่วยเหลือนี้ควรครอบคลุมทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ
สัญญา MOU ไม่ช่วย แรงงานข้ามชาติหลุดประกันสังคมไร้การคุ้มครอง
“ซัพคอนแทรคท์ เป็นการจ้างงานที่ไม่มีความมั่นคง หลายคนบอกว่ามันเป็นการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม” สุธาสินี กล่าว
ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงานให้ข้อมูลว่า พอเป็นซัพคอนแทรคท์ นายจ้างก็จะแยกกัน สิทธิ์ในการคุ้มครองก็จะไม่เหมือนกัน สวัสดิการก็ไม่มีเหมือนคนที่เป็นแรงงานที่อยู่ในสัญญาจ้าง
ซัพคอนแทรคท์นี้เป็นตัวปัญหามานานแล้ว คือถ้าคนงานอยู่ตามสัญญาจ้าง เขาก็จะได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย จะมีสวัสดิการที่มันนอกเหนือจากกฏหมาย ส่วนนี้เขาก็จะได้รับจากบริษัทจัดให้ แต่พอเป็นซัพคอนแทรคท์ มันแค่ไปทำงานรับจ้างได้ค่าจ้าง บางทีค่าจ้างก็ได้ไม่ครบด้วยซ้ำ นายจ้างก็หักไปอีก ไม่รู้หักไปทำอะไร บางทีก็บอกว่าหักไปทำประกัน คำถามคือประกันมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
“มันเป็นการจ้างงานที่ไร้การคุ้มครอง ทั้งเรื่องของกฎหมายในการคุ้มครอง เวลาเกิดปัญหามาแบบนี้เขาก็ยากเพราะประกันสังคมก็ไม่มี นายจ้างไม่เอาเข้าประกันสังคมแบบนี้แรงงานซับ ส่วนคนที่ไม่เป็นแรงงานซับมีประกันสังคมด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะคนงานก่อสร้างส่วนใหญ่ที่เรามีข้อมูลว่า มีน้อยมากที่มีประกันสังคม“ สุธาสินี กล่าว
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาแบบ MOU คือ แรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยผ่านระบบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับประเทศต้นทาง เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้การควบคุมของรัฐ ซึ่งตามสัญญาควรได้รับสิทธิประกันสังคม แต่กลับไม่ได้รับการนำเข้าสู่ระบบ
“แรงงานที่อยู่ในระบบซัพคอนแทรคท์กลายเป็นกลุ่มที่ไร้การคุ้มครอง ไร้ความปลอดภัย และไร้การเยียวยา ต้องพิสูจน์สิทธิหลายขั้นตอน” สุธาสินี ย้ำชัดว่าเธอไม่เห็นด้วยกับรูปแบบการจ้างงานที่ซับซ้อนหลายชั้นแบบนี้
ข้อสังเกตุคือ แรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานแบบ MOU มีสัญญาจ้างงานกับรัฐอย่างชัดเจน แต่เหตุใดจึงไม่ถูกนำเข้าสู่ระบบประกันสังคมตั้งแต่เริ่มต้นสัญญา
“มันก็เป็นเรื่องแปลก” สุธาสินีบอกและอธิบายต่อว่า การทำ MOU เป็นรูปแบบ G to G คือรัฐต่อรัฐ ซึ่งต้องมีประกันสังคม เพราะในสัญญามีระบุชัดเจน แต่ปัญหาคือทำไมนายจ้างไม่เอาเข้าสู่ระบบประกันสังคม แล้วรัฐเองทำไมไม่มีกระบวนการในการตรวจสอบ ด้านประกันสังคมก็ยังไม่รู้ว่านายจ้างเอาคนงานเข้าระบบประกันสังคมหรือไม่ กลับบอกว่าต้องโทรหานายจ้างก่อน
“ยังมาถามกลับอีกว่า ติดต่อนายจ้างได้หรือเปล่า นายจ้างเอาคนงานเข้าสู่ประกันสังคมหรือเปล่า ทำไมไม่เอาเข้า ทำไมไม่ถามตัวเองว่าทำไมไม่ตรวจสอบ แล้วทำไมไม่จัดให้นายจ้างเอาเข้าสู่ประกันสังคมให้กฎหมายมันคุ้มครอง” สุธาสินี ตั้งคำถามถึงหน่วยงานประกันสังคม
เดือดร้อนถ้วนหน้า แรงงานไร้สิทธิ นายจ้างไร้เงินส่งเข้าประกันสังคม
กรณีวิกฤติตึก สตง.นี้ ทั้งแรงงานและนายจ้างต่างก็เป็นผู้ได้รับผลกระทบทั้งคู่ แรงงานหลายคนเจ็บ สูญเสีย ขณะที่นายจ้างบางราย โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในลำดับล่างของห่วงโซ่การจ้างงาน อย่างกรณี ‘ซับของซับของซับ’ ก็อาจได้รับผลกระทบโดยตรงเช่นกัน สิ่งที่น่าสังเกตคือ ช่องว่างของระบบที่ไม่สามารถรับประกันความคุ้มครองให้ทั้งสองฝ่ายได้อย่างชัดเจน คำถามคือเราจะเติมเต็มช่องว่างนี้อย่างไรให้เกิดความเป็นธรรม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นิลุบล ตอบประเด็นนี้ว่า ตอนนี้นายจ้างเดือดร้อนกันหมด ทั้งนายจ้างที่มีสัญญาตรงกับบริษัทคู่ค้าก็เดือดร้อน เพราะก็ยังได้เงินไม่ครบ แล้วยังมีปัญหาในเรื่องของการต้องเอาเงินในส่วนนี้ที่ได้ไม่ครบไปจ่ายลูกน้องด้วย มันมีเรื่องของประกันสังคมด้วยที่จะต้องชดเชยการว่างงานและการเสียชีวิตของคนงาน เพราะฉะนั้น สิทธิของเขามันจะต้องมี
“ทางกระทรวงแรงงานมีการอะลุ่มอล่วยให้ขึ้นประกันสังคมย้อนหลังได้ เพื่อที่จะช่วยเหลือในกรณีภัยพิบัติ แต่ตอนนี้นายจ้างเองไม่มีเงินพาแรงงานไปขึ้นทะเบียน เพราะจะต้องมีการจ่ายเงินย้อนหลัง แล้วก็มีเรื่องของการจ่ายเงินเพิ่ม 2% ที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าจะต้องมีการเรียกเก็บส่วนนี้จากนายจ้าง” นิลุบลกล่าว
ยังมีเรื่องของการสงเคราะห์บุตรจนถึงอายุหกขวบในกรณีที่ผู้ประกันตนเสียชีวิต มีเงินทดแทนอีกส่วนหนึ่ง และมีเงินบำเหน็จบำนาญ เพราะฉะนั้นการที่จะได้เงิน 3 ก้อนนี้ นายจ้างต้องมีเงินไปจ่ายย้อนหลังให้ประกันสังคมตามกฏหมายกำหนด ซึ่งเงินเพิ่ม 2% ตรงนี้ค่อนข้างเยอะสำหรับคนที่เป็นนายจ้างแล้วก็ต้องมาจ่ายก้อนเดียวตูมเลย
“จากที่คุยกันว่าทำไมไม่ขึ้นประกันสังคม เราได้ดูแล้วว่าแรงงานต่าง ๆ ที่ไม่ขึ้นประกันสังคม เนื่องจากเอกสารเขา กระทรวงแรงงานมีการต่อใบอนุญาตยืดเยื้อมาก คือการจะทำงานเราต้องใช้เวลาในการต่อใบอนุญาตถึงสองปีกว่าเชียวหรือ จริง ๆ แล้วเราน่าจะจ่ายค่าเวิร์คเพอร์มิท จ่ายค่าวีซ่ากันในระบบไปทีเดียว แล้วก็ไปตรวจโรค เสร็จแล้วก็เข้าสู่ระบบ มันก็น่าจะใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน แต่นี่ 2 ปีกว่าแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถที่จะทำอะไรให้มันเสร็จได้” นิลุบลชี้ให้เห็นปัญหาจากคำถามที่ว่าทำไมแรงงานข้ามชาติ MOU ถึงยังไม่มีประกันสังคม
รัฐต้องรับผิดชอบ! มากกว่าการเยียวยา คือต้องมีกลไกช่วยเหลือพิเศษ
ถ้าเรามองกรณีตึก สตง. ถล่มนี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ จะต้องมีกลไกที่พิเศษมากกว่าการไปรับเงินเยียวยาตามระบบเดิมหรือไม่ และข้อเสนอเพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่ายควรเป็นอย่างไร
สุธาสินี กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นกรณีพิเศษ ตึกถล่มและแผ่นดินไหวเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้มันเกิด เราจะพูดกันแต่ว่านายจ้างไม่เอาแรงงานเข้าสู่ประกันสังคม ไม่เข้าถึงสิทธิ์ประกันสังคมไม่ได้ แต่ถ้าสมมุติไม่มีประกันสังคม รัฐบาลจะเยียวยายังไงกับกรณีนี้ มารอแต่ให้นายจ้างเอาเข้าสู่ระบบให้หมด แต่เงินก้อนที่นายจ้างรายย่อยจะเอามาวางจ่ายค่าปรับยังจะไม่มีเลย แล้วจะแก้ปัญหาในรูปแบบสถานการณ์ปกติได้อย่างไร
จึงตั้งข้อสังเกตว่า “ถ้าเกิดไม่มีประกันสังคม รัฐจะเยียวยาในกรณีนี้อย่างไร” เรื่องนี้หนีไม่พ้นหน้าที่ของรัฐบาล
“มันเป็นตึก สตง. มันเป็นบ้านรัฐบาล นายจ้างก็รายใหญ่ เจ้าของบ้านก็เป็นผู้บริหารประเทศ มันต้องแสดงความรับผิดชอบสูงสุด ไม่ใช่มาให้เรามาเบี้ยไร่รายทางกับตัวเล็กตัวน้อยอย่างนี้ ให้ปลาซิวกินปลาซิวกันเองแบบนี้มันจะได้ยังไง มันไปไม่ถึงตัวใหญ่” สุธาสินีกล่าว
สุธาสินี กล่าวถึงท่าทีของนายกต่อเรื่องนี้ว่า ในมุมมองของคนที่ทำงานกับแรงงานที่ได้รับผลกระทบ นายกไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบ ถึงความเสียหาย ถึงชีวิตของมนุษย์ เหตุการณ์นี้คนไทยเยอะกว่าคนต่างชาติอีก คนต่างชาติมีทั้งเมียนมาร์ ลาว กัมพูชา ที่เสียชีวิต เด็กที่กำลังฝึกงานอีก อนาคตยังต้องไปไกล แต่มาจมอยู่กับใต้ตึกนี้
“นายกต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบสูงกว่านี้ คนเรียกร้องให้ออกมารับผิดชอบทำไมไม่ออกมารับผิดชอบถ้าเป็นญี่ปุ่นนะเาเคารพโต๊ะแล้วเขาลาออกไปแล้ว” สุธาสินีกล่าว
ด้านนิลุบลมองว่า คนที่ต้องรับผิดชอบจริง ๆ จะต้องออกมาดูแลเยียวยาเบื้องต้น และออกมาสั่งการคือท่านนายกฯ เพราะท่านมีอำนาจและสามารถที่จะสั่งการตรงได้เลยว่า จะต้องเยียวยาอะไร ใครทำอะไรบ้าง หรือจะทำศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service : OSS) เร่งด่วน ซึ่งตอนนี้มีทั้งเด็กที่พ่อแม่เสียชีวิตในซากอาคาร แรงงานตกงาน คนที่สูญหาย ศพที่ยังรอการเอาออกมา
“ต้องมีศูนย์ OSS ไม่ใช่ให้นายจ้างหรือแรงงานวิ่งไปถามเองตามเต็นท์นั้นเต็นท์นี้ คำสั่งท่านสามารถที่จะตั้งศูนย์ได้เลย แล้วก็เยียวยา นี้เป็นแค่ตึกเดียวที่ถล่ม และมีอีกหลายตึกที่เฝ้าระวังเพราะเกิดการแครกแล้ว ถ้าเกิดถล่มอีกจะทำอย่างไร เพราะเรายังไม่มีโมเดลที่จะดูแลการจัดการตรงนี้ ดังนั้นเราจึงขอให้กระทรวงแรงงาน ในเมื่อเป็นเจ้าภาพในเรื่องของแรงงานและนายจ้าง ก็อยากให้ออกมาศูนย์ OSS เหมือนกัน” นิลุบล กล่าว
การต้องเห็นความชัดเจนจากรัฐบาล นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงาน ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งท่ามกลางความสูญเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งยังไม่มีความชัดเจน เป็นความเปราะบางที่เกิดขึ้นภายใต้ระบบราชการไทยที่เราคงต้องคุยกันต่อ
หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์จากรายการคุณเล่าเราขยาย ตอน เสียงของแรงงานความหวังการเยียวยาใต้ซากตึก สตง. ออกอากาศ 25 เมษายน 2568 เวลา 17.30-18.00 น. ทางไทยพีบีเอส
.
ชมย้อนหลัง