6 เหตุผลที่ประเทศไทยไม่ควรส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน

ชวรัตน์ ชวรางกูล ผู้จัดการฝ่ายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

International Detention Coalition (IDC)

ในปี 2015 ประเทศไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 109 คนกลับไปยังประเทศจีน  ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่หรือสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขา


ที่มาภาพ: CCTV+

สื่อหลายแห่งทั้งในระดับนานาชาติและในประเทศไทยรายงานว่ารัฐบาลไทยกำลังพิจารณาส่งตัวชายชาวอุยกูร์จำนวน 48 คนกลับประเทศจีน ซึ่งพวกเขาถูกกักตัวในสถานกักตัวคนต่างด้าวในกรุงเทพฯ มานานกว่า 10 ปี การดำเนินการนี้อาจส่งผลให้มีการบังคับส่งตัวบุคคลเหล่านี้กลับประเทศจีน ก่อให้เกิดประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ เสถียรภาพในภูมิภาค ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สิทธิมนุษยชนและพันธกรณีด้านมนุษยธรรม กฎหมายภายในประเทศ และข้อขัดแย้งทางจริยธรรม

บทความนี้จะวิเคราะห์ 6 เหตุผลที่น่าสนใจว่าทำไมประเทศไทยควรพิจารณาการตัดสินใจครั้งนี้อย่างรอบคอบอีกครั้ง

1.มีความเสี่ยงสูงที่จะมีการทรมานและการประหัตประหาร

มีหลักฐานมากมายที่แสดงว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับประเทศจีนเผชิญกับความเสี่ยงอย่างมากต่อการทรมาน การบังคับให้หายสาบสูญ และการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมอื่น ๆ รายงานจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน เช่น Amnesty International และ Human Rights Watch รวมถึงประเทศต่าง ๆ อย่าง สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และแคนาดา ได้เน้นย้ำถึงการกดขี่อย่างเป็นระบบต่อชาวอุยกูร์ในประเทศจีน โดยเฉพาะในศูนย์กักกัน แม้ประเทศไทยเคยส่งตัวชายชาวอุยกูร์ 109 คนกลับประเทศจีนในปี 2015 แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบชะตากรรมของพวกเขา และไม่มีใครได้ยินข่าวใด ๆ เกี่ยวกับพวกเขาอีกเลย การส่งตัวกลับครั้งนี้จะเป็นการละเมิดพันธกรณีของประเทศไทยตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (UN-CAT) ซึ่งห้ามการส่งกลับบุคคลไปยังประเทศที่พวกเขาอาจเผชิญความเสี่ยงต่อการทรมานอย่างชัดเจน

2.พันธกรณีด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน

ตามรายงานของสหประชาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชน ชาวอุยกูร์เป็นชนกลุ่มน้อยที่มีเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์และศาสนา ซึ่งเผชิญกับความเสี่ยงอย่างมากต่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ รายงานระบุว่าชาวอุยกูร์ต้องเผชิญกับการกักขังหมู่ การกดขี่ทางวัฒนธรรม และการจำกัดเสรีภาพทางศาสนา โดยบางประเทศถือว่าการกดขี่ชาวอุยกูร์ในซินเจียงเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การส่งตัวบุคคลเหล่านี้กลับอาจทำให้พวกเขาเผชิญอันตรายมากขึ้น บั่นทอนความพยายามของนานาชาติในการปกป้องประชากรที่เปราะบาง และละเมิดหลักการห้ามส่งกลับไปสู่อันตราย (non-refoulement) ซึ่งเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่รับรองว่าไม่มีผู้ใดควรถูกส่งกลับไปยังประเทศที่พวกเขาจะเผชิญอันตรายต่อชีวิต การรักษาสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีด้านมนุษยธรรมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ประเทศไทยรักษามาตรฐานสากล และลดความเสี่ยงต่อการกระทำผิดระหว่างประเทศที่อาจนำไปสู่ผลทางกฎหมาย เช่น การถูกดำเนินคดีโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) นอกจากนี้ ในฐานะสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (HRC) การตัดสินใจส่งตัวอาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง ลดอิทธิพลของประเทศไทยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประชาคมระหว่างประเทศในเรื่องการละเลยพันธกรณี 

กฎหมายภายในของไทยเอง เช่น พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย (2565) มาตรา 13 ก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ห้ามส่งบุคคลกลับไปยังประเทศที่พวกเขาอาจเสี่ยงต่อการถูกทรมานหรือการปฏิบัติที่เลวร้าย การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจะถือเป็นการละเมิดกฎหมายฉบับนี้โดยตรง เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในด้านกฎหมาย และทำให้ความเชื่อมั่นของสาธารณชนในหลักนิติธรรมลดลง

3.ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

หากประเทศไทยตัดสินใจส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน อาจเผชิญผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เช่น การถูกคว่ำบาตรทางการค้า การลดลงของการลงทุนจากต่างประเทศ และรายได้จากการท่องเที่ยวที่ลดลง อันเป็นผลมาจากการถูกประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากนานาชาติ ประเทศอาจสูญเสียความช่วยเหลือด้านการพัฒนาหรือถูกลงโทษทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำลายชื่อเสียงทางธุรกิจและนำไปสู่การถูกโดดเดี่ยวจากพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สำคัญทั่วโลก นอกจากนี้ การจัดการกับความไม่สงบและผลกระทบอื่น ๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง อาจทำให้ทรัพยากรที่ควรนำไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจต้องเปลี่ยนไป ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและโอกาสการเติบโตของประเทศไทย 

การส่งตัวชาวอุยกูร์ 48 คนกลับประเทศจีนไม่ใช่เพียงประเด็นภายในประเทศ แต่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติอย่างลึกซึ้ง การรักษาพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ การปกป้องสิทธิมนุษยชน และการพิจารณาผลกระทบระยะยาวในเชิงจริยธรรมและในทางปฏิบัติ จะช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีความรับผิดชอบและมีความเห็นอกเห็นใจต่อประชาคมโลก ด้วยการปกป้องชาวอุยกูร์ ประเทศไทยสามารถสร้างความสอดคล้องทั้งกับกฎหมายภายในและพันธกรณีด้านมนุษยธรรมในวงกว้าง พร้อมทั้งเป็นตัวอย่างสำคัญสำหรับนโยบายคุ้มครองผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงในอนาคต.

4.ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความมั่นคงของชาติ

การตัดสินใจของประเทศไทยในเรื่องนี้มีแนวโน้มที่จะได้รับการจับตามองจากทั่วโลก การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับอาจสร้างความไม่พอใจให้กับประเทศประชาธิปไตยตะวันตกและองค์กรระหว่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน เช่น สหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ในทางกลับกัน การปฏิเสธที่จะส่งตัวกลับจะช่วยยกระดับชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะประเทศที่เคารพสิทธิมนุษยชน และเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับนานาชาติ 

การส่งตัวชาวอุยกูร์เหล่านี้กลับโดยใช้กำลังบังคับอาจก่อให้เกิดความไม่พอใจและนำไปสู่การทำให้กลุ่มคนบางกลุ่มเกิดแนวคิดสุดโต่ง ซึ่งเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของชาติไทย เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อกิจกรรมของกลุ่มหัวรุนแรงภายในและภายนอกประเทศ การสรรหาบุคคลเข้าร่วมกลุ่มหัวรุนแรง หรืออาจเกิดการโจมตีที่เป็นอันตราย การกระทำดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงภายในของประเทศ และทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะประเทศที่สงบสุขและมีเสถียรภาพต้องเสื่อมเสียไปด้วย

5.ผลกระทบต่อภูมิภาคและโลก

การส่งตัวชาวอุยกูร์อาจทำให้ความตึงเครียดที่มีอยู่ในภูมิภาคเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน อธิปไตย และการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประชาคมระหว่างประเทศอาจตั้งคำถามเกี่ยวกับพันธกรณีของประเทศไทยในการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพันธมิตรในภูมิภาคและความร่วมมือในหลายประเด็น รวมถึงการค้าและความมั่นคง

การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับอาจมีผลกระทบในระดับภูมิภาค โดยอาจทำให้เกิดความไม่มั่นคงในประเทศเพื่อนบ้านที่มีประชากรมุสลิมจำนวนมาก การล้มเหลวในการปกป้องผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์อาจกระตุ้นการประท้วง ความไม่สงบ และการก่อร่างสร้างแนวคิดสุดโต่งในเอเชียและที่อื่น ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อความไม่มั่นคงในภูมิภาค และทำให้ความพยายามของโลกในการรักษาสันติภาพและความร่วมมือยุ่งยากขึ้น

6.พันธะทางจริยธรรม

จากมุมมองทางจริยธรรม ประเทศไทยมีความรับผิดชอบทางศีลธรรมในการปกป้องประชากรที่เปราะบางซึ่งกำลังหนีภัยประหัตประหาร การบริหารบ้านเมืองด้วยจริยธรรมหมายถึงการให้ความสำคัญกับชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เหนือความสะดวกทางการทูต การรักษาหลักการจริยธรรมจะเป็นประโยชน์ต่อชาวอุยกูร์ และทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำระดับนานาชาติในด้านการทูตที่มีจริยธรรม

การปฏิเสธที่จะส่งตัวชาวอุยกูร์กลับ จะช่วยเสริมสร้างพันธสัญญาร่วมของอาเซียนในการร่วมมือกันในภูมิภาค ความมั่นคง และการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน รวมถึงการแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการจัดการกับปัญหาด้านมนุษยธรรมที่ซับซ้อน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้แสดงความเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้

………

แชร์บทความนี้