เสวนาฟังเสียงประเทศไทย : กระจายอำนาจกับก้าวต่อไปการมีส่วนร่วมจัดการปัญหาช้างป่า คนตะวันออก

“ช้าง หรือ คน”  คือ ความขัดแย้งที่ถูกบังคับให้ต้องเลือกในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ท่ามกลางวิกฤติของปัญหาที่กระจายตัวไปในหลายพื้นที่ของชุมชนขอบป่าทั่วประเทศไทย และในวันนี้ ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งหาทางออกของคนในภาคตะวันออก

นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาที่ต้องการ “วิธีการใหม่ ๆ” เพื่อเป็นทางออกของทั้งคน และช้าง

จากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นราว 8% ต่อปี และนี่อาจไม่ใช่แค่ตัวเลขของช้างป่าที่อยู่เพียงในพื้นที่ป่าอนุรักษ์อีกต่อไป


ปัญหา ชีวิตคน ช้าง ป่า ที่ยังคงอยู่

ช้างเป็นสัตว์ที่ต้องการพื้นที่ป่าใหญ่ที่เชื่อมต่อกันเพื่อหาอาหาร และดำรงชีวิต แต่ที่ผ่านมา การจัดการไม่เคยประสบความสำเร็จในการรักษาพื้นที่ที่เป็นที่อยู่อาศัยของช้าง เมื่อต้องเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวน และความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ทำให้แหล่งน้ำแหล่งอาหารหายไป นั่นผลักดันให้ช้างออกมาหากินนอกป่าอนุรักษ์เพิ่มมากขึ้น

ส่งผลให้ชายขอบป่าที่ถูกจับจองเป็นที่อยู่อาศัย และพื้นที่ทางการเกษตร ต้องกลายเป็นพื้นที่เสี่ยง “ภัยช้าง” และในหลายชุมชนต้องเชิญกับปัญหาที่ลุกลามเรื้อรังมายาวนานนับ 10 ปี

นอกจากนี้ยังมีข้อค้นพบคือ ช้างออกนอกเขตป่ามากขึ้น ไปไกลขึ้น และอยู่ยาวนานขึ้น โดยยากที่จะผลักดันกลับ

จากข้อมูลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชภาพรวมประเทศไทยในปัจจุบัน มีจำนวนประชากรช้างป่าราว 4,013 – 4,442 ตัว ในพื้นที่อนุรักษ์ทั้งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน จำนวน 91 แห่ง

และวันนี้มีปัญหาช้างป่าที่ออกนอกเขตอนุรักษ์มากถึง 71 แห่ง กลายเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า

จากสถิติปี 2567 กรมอุทยานฯ พบ

  1. ช้างป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์ 11,468 ครั้ง
  2. มีผู้บาดเจ็บจากช้างป่า 34 ราย เสียชีวิต 39 ราย
  3. สร้างความเสียหายต่อพืชผลเกษตร 1,610 ครั้ง
  4. ทรัพย์สินเสียหาย 554 ครั้ง
  5. มีการช่วยเหลือเยียวยาทั้งสิ้น มากกว่า 3 ล้านบาท

ข้อมูลในกลุ่มป่าตะวันออก 5 จังหวัด สถานการณ์ยังคงวิกฤติ ช้างป่ากระจายตัวอยู่ในพื้นที่ชุมชน และปีนี้ 2568 มีผู้เสียชีวิต 18 คน เฉลี่ยแล้ว 3 คน ต่อเดือน

ความพยายามในการมีส่วนร่วมจัดการปัญหาช้างป่า

เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2568 องค์การสัตววิทยาแห่งลอนดอน ZSL แห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมนิเวศยั่งยืน ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ช้างป่าภาคตะวันออก และสำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะ ไทยพีบีเอส จัดเสวนาฟังเสียงประเทศไทย : “กระจายอำนาจ กับก้าวต่อไปการมีส่วนร่วมจัดการปัญหาช้างป่า คนตะวันออก” ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จ.จันทบุรี

May Moe Wah ผู้อำนวยการสัตววิทยาแห่งลอนดอน ZSL แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับป่าตะวันออกนับเป็นพื้นที่สำคัญที่เราให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในเรื่องของการจัดการช้าง โดยเฉพาะ ความมุ่งหวังในการจัดการการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ในบริบทที่คนปลอดภัยช้างปลอดภัย เราเน้นไปเรื่องของการการะจายอำนาจ ที่นับเป็นหนึ่งในเครื่องมือของการจัดการที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม และอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญคือการแข่งขันไอเดียของนักศึกษาที่จะเกิดขึ้นในโครงการ Hackathon

ในความเป็นจริงแล้วมีหลายกิจกรรมที่เราทำ แต่ส่วนหนึ่งคือการทำงานเชิงปฏิบัติการที่ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง และมุ่งมั่นไปด้วยกัน อีกหนึ่งส่วนสำคัญคือการติดตาม หรือการ monitoring ซึ่งเราให้ความสำคัญในการติดตามเชิงนิเวศน์วิทยา ถึงการร่วมกันในการประเมินลผลของการจัดการต่าง ๆ 

และอีกส่วนสำคัญคือการประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในส่วนของอาสาสมัคร

ในส่วนที่เป็นหัวใจหลักที่สำคัญที่สุด คือเรื่องการให้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง การให้ชุมชนมีส่วนร่วม  และมองไปถึงการที่ชุมชนจะกลายเป็นผู้นำในการจัดการ รวมไปถึงข้อมูลสำต่าง ๆ ที่จะมีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบในส่วนของกลุ่มป่าสำคัญ 5 กลุ่มป่า ซึ่งข้อมูลความคิดเห็นของคนในพื้นที่ จะถูกนำมาจัดทำเป็นคู่มืออย่างมีส่วนร่วม ยังมีอีกส่วนสำคัญคือการชดเชยเยียวยา และการประกันภัยช้างป่า 

รวมไปจนถึงการสำรวจความเป็นไปได้ที่จะมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยช้างป่าให้กับพี่น้องประชาชน 

อีกส่วนคือการจัดการโดยมีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based solutions) ซึ่งภายใต้โครงการนี้มีการสำรวจความเป็นไปได้ ที่จะสำรวจพืชที่มีความสามารถทนต่อการทำลายของช้าง หรือได้รับความเสียหายน้อย  และในส่วนนี้มีการเชื่อโยงกับภาคธุรกิจให้มีการหนุนเสริมในเรื่องของการตลาด และความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงกับตลาดต่างประเทศ ในปัจจุบันพืชที่มีความเป็นไปได้คือ กาแฟ เช่น แบรนด์ช้างยิ้มของภาคตะวันตกที่เริ่มพัฒนา และสร้างรายได้เพื่อลดผลกระทบจากช้างป่า 

ส่วนสุดท้ายคือ Early Warning System ระบบสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้า ซึ่งภาคตะวันออกในบางพื้นที่เริ่มปรับใช้แล้ว และเริ่มมีการพัฒนาแล้วในหลายพื้นที่ของป่าตะวันตก

พิเชฐ นุ่นโต เลขานุการสมาคมนิเวศยั่งยืน กล่าวว่า ในส่วนการศึกษาวิจัยทางสมาคมมีการศึกษาหลายพื้นที่ ร่วมกันสัตววิทยาแห่งลอนดอน ZSL แห่งประเทศไทย หลัก ๆ มีการสำรวจเครื่องมือต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ในการจัดการปัญหาเรื่องช้าง ที่พูดมาแล้วในข้างต้น คือ ระบบวนเกษตรที่ทุ่งกุยบุรี และป่าตะวันตกเริ่มมีการปรับใช้ 

ในส่วนที่ว่าถ้ามีการปลูกพืชชนิดนี้มีการช่วยลดผลกระทบอย่างไร และการแปรรูปสามารถทำเป็นอะไรได้บ้าง ตัวอย่างเช่น การทำรั้วรังผึ้ง การปลุกพืชที่ความหลายหลายเป็นต้มยำโปรเจกต์ ที่มูลนิธิพาช้างกลับบ้านทำการวิจัย และสรุปบทเรียนต่าง ๆ ให้ ทางด้านป่าตะวันตกเป็นกาแฟ และการทำวนเกษตรที่ชุมชนเริ่มมีการปรับตัวรวมกลุ่ม ที่จะทำให้ชุมชนมีรายได้ไปด้วย รวมถึงลดผลกระทบกับช้างป่าไปพร้อมกัน และเครื่องมือเชิงนโยบาย ได้มีการประกาศคณะกรรมการกระจายอำนาจ ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา 

ต้องขอบคุณทางภาคประชาชน กรรมาธิการชุด 25 ที่มีการผลักดันเรื่องนี้มาก่อนหน้า กรมอุทยาน อาจารย์ ธนพร ศรียากูล และ ThaiPBS ที่มีการจัดเวที เพื่อเปิดโอกาศให้ทุกฝ่ายได้เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยน ว่าท้องถิ่นคิดเห็นอย่างไรกับการจัดการช้างป่า เพื่อให้เกิดข้อตกลงในเรื่องของฉากทัศน์ว่าท้องถิ่นมีความต้องการในการจัดการตัวเอง และนำเสนอออกมาเป็นรายงานเพิ่มเติมจากข้อมูล ความคิดเห็นที่เกิดขึ้นในวงสนทา ผนวกกับงานวิจัยของสมาคมนิเวศยั่งยืน 

ศูนย์การเรียนรู้ช้างป่าภาคตะวันออกได้นำข้อเสนอการกระจายอำนาจเข้าสู่คณะกรรมการกระจายอำนาจ ทำให้อาจารย์ ธนพร ศรียากูล เกิดความคิดในเรื่องนี้อีกด้วย และต้องขอขอบคุณภาครัฐ และทุกถาคส่วนที่ให้ความสำคัญจนเกิดประกาศกระจายอำนาจ ส่วนในงานวิจัยหลักจากการประกาศกระจายอำนาจ

ได้มีการสำรวจความคิดเห็นปประชาชนในพื้นทีนำร่องคือ วังท่าช้าง ปราจีนบุรี , ชุมแสง ระยอง , โป่งน้ำร้อนจันทบุรี , คลองตะเกรา ฉะเชิงเทรา, ที่เข้าร่วมในการให้ข้อมูล เนื่องจากไม่สามารถสำรวจได้คลอบคลุมในทุกพื้นที่ และแม้ว่าการกระจายอำนาจจะเป็นประกาศที่คลอบคลุมในเรื่องแผนการจัดการที่ทาง อบต.จะต้องทำงานร่วมกับเขตอนุรักษ์ การติดตามการสร้างศูนย์ข้อมูลในท้องถิ่น การทำสถานอนุบาลสัตว์ป่า การปรับปรุงแหล่งอาศัย และการจัดตั้งเครือข่ายอาสาสมัคร ทางกรมอุทยานได้มีการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ในการจัดการมากขึ้น

แต่ยังมีช่องว่างหนึ่งที่ได้รับการสะท้อนมาจากท้องถิ่น และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งกรมอุทยานเองก็ตาม คือ 

  1. ระเบียบข้อกฎหมาย ที่ยังไม่มีความเชื่อมั่นว่าสามารถทำได้จริงหรือไม่
  2. ต้องมีการร่างแผนงานมากขึ้น เพื่อให้มีข้อกำหนดที่ชัดเจนในเรื่องของระเบียบแผน
  3. งบประมาณ เพราะในปัจจุบันงบประมาณของสัตว์ป่าหรือการจัดการสัตว์ป่า ยังไม่มีงบโดยเฉพาะในการขับเคลื่อน
  4. คนหรือบุคลากร การประสานการทำงานรหว่างกรมอุทยาน และท้องถิ่น ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการทำงานร่วมกัน และแลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างไร
  5. อุปกรณ์ เช่นหัวไฟ ประทัด โดรนความร้อนที่มีราคาสูง ยังไม่มีการสนับสนุนงบในส่วนนี้ทำให้ท้องถิ่นหรือตัวอาสาสมัครต้องจัดซื้อเองในการทำ

ข้อค้นพบจากงานวิจัยจึงได้มีการพยายามเสนอ ว่าจะทำอย่างไรให้ท้องถิ่น และกรมอุทยาน มีความเข้าใจในเรื่องของระเบียบให้มีคสามสอดคล้องกันในมากขึ้น และที่จะเกิดขึ้นได้หรือมีความเป็นไปได้ในระยะอันสั้นคือการสนับสนุนงบประมาณเฉพาะ ในการสนับสนุนให้ท้องถิ่นดูแลท้องถิ่น และทำแผนในการจัดการสัตว์ป่า

ตาล วรรณกูล นักวิจัยศูนย์ศึกษาเรียนรู้ช้างป่าภาคตะวันออก กล่าวถึง ‘การลงพื้นศึกษาข้อมูลที่รูปธรรมลงพื้นที่หลังการประกาศกระจายอำนาจ’ เจอข้อค้นพบว่า จากที่ทำร่วมกับสมาคมนิเวศยั่งยืน และได้มีการเริ่มปฏิบัติการร่วมกับกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่ เช่น ชุมแสงมีการทำศูนย์บริบาลช้างปัจจุบันมีการเข้าไปช่วยลักดันในเชิงโครงสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งมีการคุยในกรรมาธิการ ว่าการจัดการศูนย์บริบาลช้างตามโมเดลที่ชุมแสงคิดมันควรจะเป็นอย่างไร และภายใต้กรอบกฎหมายจะขยับร่วมกันได้อย่างไรบ้าง โดยกฎหมายมีทั้งหมดสองส่วนที่จะขยับร่วมกันคือ กฎหมายภายใต้กระทรวงมหาดไทย และกฎหมายภายใต้กระทรวงทรัพยากร

ส่วนการจัดแนวคูกันช้าง อบต.คลองตะเกรา พบว่ามีจุดที่มีปัญหาหลายจุด แต่ทางอบต. มีโมเดลอยู่ทั้งหมด 2 โมเดล ที่จะร่วมจัดการคือ 1.การจัดการเชิงกายภาพ ผ่านกระบวนการทางเทคนิคเฉพาะของพื้นที่ และ 2.แนวคิดเรื่องการจัดตั้งกองสัตว์ป่า เพื่อการเพิ่มขึ้นของบุคลกร งบประมาณ และการจัดการในพื้นที่

  1. วังท่าช้าง ปราจีนบุรี พยายามคิดเรื่องการเชื่อมโยงเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อนจัดการปัญหาร่วมกัน ผ่านกระบวนการจัดการแบบเครือข่าย
  2. โป่งน้ำร้อน ร่วมกับมหาวิทยาลัยรำไพรพรรณี ได้ร่วมมือกันที่จะพัฒนาระบบแจ้งเตือนด้วยระบบเทคโนโลยี AI โดยที่ให้ AI ตรวจจับและแจ้งเตือนมายังศูนย์อาสาสมัคร เพื่อให้ทีมอาสาสมัครสามารถควบคุมช้างได้ทันท่วงที จากเดิมที่ช้างสามารถเข้ามาได้ถึงพื้นที่ชั้นในของชุมชน แต่ปัจจุบันสามารถควบคุมได้กียิ่งขึ้น

การก้าวต่อไปในอนาคต มีตำบลบ้านใหม่ อำเภอสีชมพู จังหวัดของแก่น ได้เริ่มเขียนบัญญัติท้องถิ่นในการจัดตั้งงบประมาณ เพื่อที่จะนำมาในการจัดการปัญหาช้างป่าในพื้นที่ เพราะฉะนั้นการก้าวต่อไปในอนาคต มุ่งไปในเรื่องของการรวมกลุ่มขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่มีปัญหา ซึ่งมีการจัดการที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ แต่เมื่อนำองค์ความรู้ทั้งหมดมารวมกันแล้ว ก็จะทำให้มีอำนาจต่อรองที่จะดำเนินงานต่อไปในอนาคตได้

Word Cloud ขอ 3 คำ “การแก้ปัญหาช้างป่าที่อยากเห็น”

“อยู่ในพื้นที่ที่มีหมู่บ้านล้อมรอบป่า ปัญหาคือมีช้างที่เข้ามาชุดแรกคือประมาณ 30 ตัวในปี 2562 แต่ในปีปัจจุบันมีมากกว่า 50 ตัว ถ้าไม่คุมกำเนิดก็จะจัดากรปัญหาไม่ได้ จากการวิจัยพบว่าช้างเกิดเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ต่อปี ซึ่งผมคิดว่าในพื้นที่ของผมมากกว่านั้น ถ้าการคุมกำเนิดประสบความสำเร็จ เราก็จะแก้ไขปัญหาได้ง่ายมากยิ่งขึ้น มีการจัดหาที่พักพิง อาหารได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าอัตราการเกิดยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การจัดการก็จะยากขึ้นไปเรื่อย ๆ”

สง่า มงคลประเสริฐ อาสาชุดเฝ้าระวังผลักดันช้าง

“ในปัจจุบันไม่ใช่แค่ภาคตะวันออกที่ได้รับผลกระทบจากช้าง เนื่องจากอัตราการเกิด 8-10% ต่อปี เรื่องคุมกำเนิดเลยถือเป็นเรื่องที่ต้องทำควบคู่กันไปกับการแก้ไขปัญหาในด้านอื่น ๆ เนื่องจากในปัจจุบันช้างไม่ได้กินแค่พืชพรรณในป่า แต่ช้างนั้นกินพืชผลทางการเกษตรของเกษตรกร เช่น กล้วย อ้อย สับปะรด ขนุน ช้างก็เหมือนคนถ้าแต่งงานมีครอบครัวแล้วยังไม่มีงานทำ ทำงานไม่ดี ก็จะไม่มีลูก ช้างก็เช่นกัน ถ้าอยู่ในพื้นที่สมบูรณ์มีน้ำ มีอาหาร ก็จะมีลูก ถ้ายังปล่อยให้มีอัตราการเกิดเหมือนในปัจจุบันกว่า แนวป้องกันจะแล้วเสร็จ กว่าจะมีการจ่ายเงินชดเชย ถ้าไม่มีมาตรการคุมกำเนิดเลยก็จะเกิดปัญหามากขึ้น และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบก็จะเพิ่มขึ้น อาจจะคุมไม่ได้ 100% แต่ถ้าลดลงมาสักครึ่งหนึ่งของอัตราการเกิดทั้งหมด การกระจายตัวก็จะลดลง”

สมพร วงษ์ประดิษฐ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลชุมแสง

“ต้องการคูกันเนื่องจากในพื้นที่ที่อยู่ไม่มีคูกันช้างตอนนี้ในพื้นที่มีแต่กล้อง AI แต่ก็ถือว่ากล้อง AI ได้ผลเต็มที่ เช่น การลดระยะเวลาการค้นหาตำแหน่งของช้างเพื่อผลักดันกลับสู่ป่าจาก 2-3 ชั่วโมงเหลือแค่ 20 นาที ทำให้การเสียหายลดลง แต่อยากได้คูกันช้างเพราะสามารถจำกัดพื้นที่ของช้างได้มากขึ้น และเมื่อมารวมกับกล้อง AI ที่มีอยู่การทำงานก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

ทีมจิตอาสาอำเภอโป่งน้ำร้อน  

“โดรนมีความสำคัญในการผลักดันช้าง เนื่องจากสามารถชี้เป้าหมายช้างว่าอยู่ในจุดใดบ้างได้เลย และจะสามารถแจ้งได้เลยว่าอยู่ห่างจากช้างในระยะกี่เมตร ช้างมีการกระจายตัวแบบใด หรือแม้แต่การผลักดันช้างในพื้นที่หนึ่งไปยังพื้นที่หนึ่งก็จะง่ายขึ้นเนื่องจากสามารถระบุพิกัดของช้างในป่าได้เลย เช่น การผลักดันช้างจากป่าทหาเข้าสู่ป่าอนุรักษ์ใช้บุคลากรประมาณ 100 คน เนื่องจากไม่รู้พิกัดช้างทำให้ยากต่อการผลักดัน และโดรนคือหนึ่งในสิ่งที่กลุ่มอาสาสมัครเรียกร้องมากเป็นอันดับต้น ๆ ในวงประชุมต่าง ๆ รวมถึงรถโมบาย เพราะในปัจจุบันอาสาสมัครใช้รถส่วนตัวในการทำงาน การใช้งบประมาณภาครัฐในการจัดซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ก็จะไปตกอยู่ที่หน่วยงานที่จัดซื้อ เช่น ท้องถิ่น แต่การผลักดันช้างคือสิ่งที่ไม่สามารถกำหนดเวลาได้ ทำให้มีข้อจำกัดในการขอใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่”

นายธวัชชัย ประเสระกัง หมาในทีม

– โหวตฉากทัศน์ –

หลังจากได้ฟังมุมมองจากการร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลแล้ว มีภาพฉากทัศน์ที่เป็นตุ๊กตาตั้งต้นเป็นภาพอนาตต ด้วยกัน 3 ฉากทัศน์ในหัวข้อ การกระจายอำนาจกับการแก้ปัญหาช้างป่า

1. บูรณาการจังหวัดจัดการช้างป่า / ตะแบก

จัดการปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างโดยบูรณาการความร่วมมือ กรมอกยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งดูแล “ช้างป่า” และหน่วยราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทยที่มีหน้าที่ดูแลกลทุกข์สุขประชาชน ผ่าน คณะกรรมการช้างระดับจังหวัด ที่ดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ของแผนการจัดการช้างป่าแห่งชาติ เป็นกรอบหลักในการแก้ปัญหา บรรเทาความเดือดร้อน และความรุนแรงในการเผชิญหน้าระหว่างคนกับช้างคณะกรรมการช้างระดับจังหวัดจะเป็นกลไทในการออกแบบ ศึกษา และติดตามการจัดการช้างป่า ที่มีส่วนงานต่าง ๆ ของจังหวัดเข้ามาร่วม โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด และ อบจ. เป็นผู้ติดตามและจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมให้กับท้องถิ่น ประสานการทำงานกันอย่างใกล้ชิด ก่อให้เกิดกลไกลรูปธรรมที่รวดเร็วในการช่วยเหลือเยียวยา และสามารถออกแบบแผนงานให้ลอดรับกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดได้

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพและความเข้มแข็งของการดำเนินงานขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ ความเข้าใจ และความกระตือรือร้นของผู้ว่าฯ และส่วนราชการในระดับจังหวัด ซึ่งต้องหลุดพันจากกรอบรัฐ ราชการ หันมามุ่งเน้นการบริการประชาชนเป็นสำคัญ

2. ท้องถิ่นโมเดลเดินหน้าพื้นที่รูปธรรม / พวงคราม

ท้องถิ่นได้รับการยอมรับให้เป็นผู้มีส่วนร่วมหลักการจัดการปัญหา มีอำนาจและหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณเฉพาะเพื่อการจัดการช้างป่า รวมทั้งมีกฎหมายที่เอื้อต่อการทำงาน ทั้งจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และมีระเบียบรองรับในการกิจตามประกาศคณะกรรมการกระจายอำนาจท้องถิ่นแต่ละแห่งสามารถออกแบบแผนงานและกิจกรรมของตนเองได้ โดยร่วมกับเขตอนุรักษ์ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน เกิดเป็นโมเดลในพื้นที่รูปธรรมที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาและสานต่ออนาคตที่แต่ละชุมชนต้องการได้ ท้องถิ่นต้องทำงานบนชุดข้อมูลและฐานความรู้ หลายพื้นที่ยังต้องการบุคลากรที่มีองค์ความรู้โดยเฉพาะด้านการจัดการสัตว์ป่า ซึ่งต้องอาศัยเวลาในการสร้างคน อีกทั้งการใช้งบประมาณต้องมีแผนงานชัดเจน โดยต้องประสานการทำงานกับเขตอนุรักษ์ในพื้นที่ และจบประมาณยังมีสัดส่วนที่ไม่มากในการนำมาจัดการกับช้างป่าที่มีการเคลื่อนที่กว้างไกล

3. ร่วมสร้างสภาช้างป่าท้องถิ่นเพื่อคนท้องถิ่น / ทานตะวัน

สถานการณ์ปัญหาช้างป่ายังคงขขยายวงความเดือนร้อย ท้องถิ่นรวมตัวสร้างความเข้มแข็งในการร่วมกันแก้ปัญหาช้างป่า โดยมีท้องถิ่นเป็นเป็นผู้นำหลักท้องถิ่นมีอำนาจและหน้าที่ในการจัดการช้างป่า ภายใต้ประกาศกระจายอำนาจฯ ทำงางานร่วมกันเป็นเครือข่ายที่มีพลัง โดยตั้งเป็นสภาช้างป้าท้องถิ่นภาคตะวันออก มึนโยบายที่ตอบสนองการจัดการช้างป่าภายใต้ความร่วมมือกัน และมีองคาพยพของนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีความรู้ที่เข้ามาช่วยหนุนเสริมและพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการช้างป่า โดยประชาชน ชุมชน มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการจัดการ รูปแบบ โดยมีอิสระมากขึ้นจากรัฐส่วนกลาง สามารถทำงานคู่ขนานกับรัฐส่วนกลางได้แต่สถาช้างป่าต้องอื่น ต้องการฉับทามติ และต้องการอลไกการกลั่นกรองที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งอาจใช้เวลาในการตัดสินใจ ใช้ชุดข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อโน้มน้าวความเข้าใจร่วมกันเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนเพื่อแก้ปัญหา

ปลดล็อกกระจายอำนาจแก้ปัญหาช้างป่า 

เสวนากระจายอำนาจ กับก้าวต่อไปการมีส่วนร่วมจัดการปัญหาช้างป่า คนตะวันออก ร่วมเสนอข้อมูลโดย

  • เจริญชัย โตไธสง ผู้แทนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  • สมหมาย ชินนะหง รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองตะเกรา จังหวัดฉะเชิงเทรา
  • ธวัชชัย ประเสระกัง กลุ่มหมาไน อาสาเฝ้าระวังช้างป่าพื้นที่ตำบลโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี
  • ตัวแทนอาสาผลักดันช้าง ภาคตะวันออก

ดำเนินรายการโดย วิภาพร วัฒนวิทย์ ผู้ประกาศข่าว และ ผู้ช่วยบรรณาธิการ Decode.plus

Q: ภายหลังจากการประกาศกระจายอำนาจ สิ่งที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเห็น และอยากจะเห็นในพื้นที่มีอะไรบ้าง

สมหมาย ชินนะหง ยกตัวอย่างว่า ในส่วนของตำบลคลองตะเกราเดิมมีรูปแบบการปฏิบัติงาน ในรูปแบบเดียวกับที่กฎหมายกระจายอำนาจมาก่อนแล้ว หลังจากมีการประกาศกฎหมายกระจายอำนาจ จะมีการดำเนินการได้เต็มที่มากขึ้น มีความรวดเร็ว ทันท่วงที เข้าถึง และมีการประสานงานบูรณาการกับทางเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์มากยิ่งขึ้น เพราะในพื้นที่ตำบลคลองตะเกรา มีพื้นที่ที่คลอบคลองผืนป่าร่วมกับ อุทยานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างนางในหลายแสนไร่ ก่อนการประกาศกฎหมายกระจายอำนาจมีความล่าช้าในการทำงานอยู่บ้าง เนื่องจากขนาดของพื้นที่ ภายหลัง การประกาศกฎหมายกระจายอำนาจ ทำให้การเข้าถึงพื้นที่มีความรวดเร็วมากขึ้น มีการประสานเป็นภาคีเครือข่ายกันมากขึ้น 

กล่าวคือ มีการร่วมมือกันระหว่างท้องถิ่นและ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า มีการร่วมมือกันเป็นเครือข่ายทั้งหมด 6 เครือข่าย ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมทั้งตำบล คลองตะเกรา นับเป็นพื้นที่จะดูแลตัวเอง มาโดยตลอด และจากสถิติย้อนหลังไม่มีกรณีที่ช้างออกมาทำร้ายคนจนถึงแก่ชีวิต ทำให้เจ้าหน้าที่ยังยืนหยัดในการปกป้องดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่ แต่ปัญหาหลักคือการทำลายพืชผลทางการเกษตรและทรัพย์สินในพื้นที่ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกวัน และยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และในปัจจุบันเช้ามีการเปลี่ยนรูปแบบในการทำลายพืชสวนเป็นการบุกรุกที่อยู่อาศัยของมนุษย์ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชในพื้นที่เกษตรเป็นยางพารา หรือยูคาลิปตัส ทำให้การปลูกพืชสีเขียวหรือไร่นาสวนผสมเข้ามาใกล้อาคารบ้านเรือนมากขึ้นช้างจึงมีการบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ที่ใกล้บ้านเรือนมากยิ่งขึ้น

Q: ความต้องการในการจัดตั้งกองสัตว์ป่าในพื้นที่ คืออย่างไร

สมหมาย ชินนะหง กล่าวว่า เนื่องจากในพื้นที่มีปัญหาช้างป่า(ช้างกระเด็น) ที่ออกมาจากป่ามากกว่า 20 ถึง 30กิโลเมตร และไม่ยอมกลับเข้าไปสู่ป่า และมีการกระจายตัวอยู่ในป่าชุมชน เช่น ป่าเฉลิมพระเกียรติ สวนป่าของรัฐบาล และส่วนป่ากิตติ รวมไปถึงกระจายตัวอยู่ตามชุมชนทั้ง 25 หมู่บ้านในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถผลักดันช้างที่กระจายตัวอยู่เข้าป่าได้ นอกเสียจากจะใช้วิธียิงยาสลบ และนำกลับเข้าสู่ป่า 

จึงมีความต้องการในการจัดตั้งกองสัตว์ป่าเพื่อบูรณาการร่วมกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ท้องถิ่นสามารถจัดตั้งกองสัตว์ป่าได้ขึ้นอยู่กับบริบทผลกระทบ และปัญหาที่ได้รับ เดิมในพื้นที่คลองตะเกรา 

มีการจัดทำชุดข้อมูลที่มีความคล้ายคลึงกับกองสัตว์ป่า และกฎหมายกระจายอำนาจ ก่อนที่กฎหมายกระจายอำนาจจะคลอดออกมาอยู่แล้ว เช่น การจะซื้อรถโมบายเพื่อป้องกันแล้วก็ระวังช้างโดยตรง โดรนอากาศยานไร้คนขับ วิทยุสื่อสาร และจัดตั้งชุด อปภร. ที่มีการเสริมข้อมูล เรื่องการจัดการและเฝ้าระวังช้างป่า ซึ่งมีการไปฝึกอบรมในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และเชียงใหม่ เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมของช้าง แก้ไข เฝ้าระวังและผลักดัน ทำให้ในพื้นที่มีความพร้อมในด้านนี้อยู่แล้ว และในส่วนของจิตอาสาที่จะเข้าร่วมทำงานในการเฝ้าระวังและผลักดันช้างในพื้นที่มีการจัดอบรมเพื่อให้กลายเป็น อปภร. และสามารถจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้ได้ ตามภาระหน้าที่ของท้องถิ่น

เจริญชัย โตไธสง  เสริมต่อว่าอย่างที่กล่าวมา ว่าในปัจจุบันมีการทำงานร่วมกันอยู่แล้ว แต่หากเกิดกองสัตว์ป่า จะทำให้มีหน่วยงานที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และอาจจะก่อให้เกิดความสอดคล้องกับกฎหมายกระจายอำนาจมากยิ่งขึ้น อาจจะทำให้การใช้งบประมาณ และการประสานงานเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีหน่วยงานรองรับมีจำนวนคน และมีศักยภาพในการทำงานเป็นหน่วยงาน ทำไว้ให้หน่วยงานรัฐและการใช้งบประมาณ ลงมาสู่คนที่ทำงานได้จริง ๆ

Q: การใช้กล้อง AI เพื่อเป็นหูเป็นตา และทุ่นแรงเจ้าหน้าอาสาสมัครมากขึ้น เกิดขึ้นหลังงจากมีการประกาศกฎหมายกระจายอำนาจหรือไม่

ธวัชชัย ประเสระกัง กล่าวว่า การทำงานของกล้องดักถ่ายด้วย AI ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยการทำงานของเจ้าหน้าที่ผลักดันช้าง เนื่องจาก มีจอมอนิเตอร์ที่สามารถดูได้ที่จุดเฝ้าระวัง และมีการแจ้งเตือนมาที่ LINE ในโทรศัพท์เจ้าหน้าที่ ทำให้สามารถรู้ได้ทันที และนำกำลังเข้าไปสกัดได้ทันท่วงที ทำให้ใช้เวลาเพียง 15 ถึง 20 นาทีในการผลักดันช้าง ผลทางการเกษตรของคนในพื้นที่ไม่ได้รับความเสียหาย โดยราคาของกล้องอยู่ที่ประมาณตัวละ 30,000 กว่าบาทพื้นที่โป่งน้ำร้อนมีการติดตั้งไปแล้ว 8 ตัว แต่ยังไม่ครอบคลุมทั่วพื้นที่ ในการเลือกพื้นที่ติดตั้งในตอนนี้ เป็นการคัดเลือกจากชุดข้อมูลในพื้นที่ ที่ มีความถี่ในการบุกรุกของช้างมากที่สุด

Q: จากที่กล่าวมาทั้งหมดยังขาดและมีความต้องการในเรื่องของแผน และงบประมาณที่ชัดเจน

วรพงศ์ อุตทานนตรี เผยว่าจากสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นคือเจตนารมณ์ ของการประกาศกฎหมายกระจายอำนาจฉบับนี้ เนื่องจากประกาศฉบับนี้เกิดขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาของท้องถิ่นที่มีปัญหาในการดำเนินงานเองได้ เนื่องจากกฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าอยู่ภายใต้กฎหมายดูแลคุ้มครอง กรมอุทยาน ซึ่งทางกรมอุทยานไม่สามารถดูแลได้อย่างครอบคลุม และขาดงบประมาณ 

ภายในปีที่ผ่านมาหลังจากการประกาศกฎหมายฉบับนี้แล้วยังไม่มีความคืบหน้า ข่าวดีคือ กฎหมายฉบับนี้มีการปรับใช้ไปแล้วในบางพื้นที่ตัวอย่างเช่นการนำไปปรับใช้กับลิงในพื้นที่จังหวัดลพบุรี มีการจัดทำแผนและส่งหนังสือถึงคณะกรรมการกระจายอำนาจ  เพื่อขอการสนับสนุนงบประมาณ 

ทางคณะกรรมการกระจายอำนาจ ไม่ได้ดำเนินการกระจายอำนาจเรื่องช้างเป็นเรื่องแรก ก่อนหน้านี้มีการดำเนินการเรื่องไฟป่าร่วมกับกรมป่าไม้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้สามารถแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ร่วมกับท้องถิ่น  และสามารถเข้าไปดำเนินการได้ในพื้นที่ เนื่องจากในอดีต ท้องถิ่นโดยสามารถเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ได้ พร้อมทั้งการให้งบประมาณสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ จัดซื้ออุปกรณ์ในการใช้ป้องกันไฟป่า ตามแผนงบประมาณที่เจ้าหน้าที่ทำหนังสือเพื่อของบประมาณ ซึ่งในภายหลัง สัดส่วนของงบประมาณในการจัดการไฟป่าเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า เมื่อมีการตั้งงบประมาณขึ้นมาแล้ว สามารถนำไปใช้ได้จริง เพราะฉะนั้นเรื่องงบประมาณถึงไม่ใช่ปัญหาหลัก เพียงแต่ขั้นตอนการดำเนินงานในการของบประมาณต้องมีแผนและขั้นตอนที่ชัดเจน และมีระยะเวลาในการดำเนินการในการอนุมัติงบประมาณ โดยสามารถเริ่มได้ในพื้นที่เฉพาะของตน แค่กลุ่มเดียว หรือพื้นที่เดียว ไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่ที่ใหญ่ครอบคลุมทั้งภูมิภาค เนื่องจากแต่ละพื้นที่ถึงจะเจอปัญหาในเรื่องเดียวกันแต่วิธีการแก้ไขหรือวิธีการป้องกันก็แตกต่างกันไปในแต่ละที

และกล่าวต่อว่า ภายหลังจากการประกาศกฎหมายกระจายอำนาจ สำนักงานส่งเสริมท้องถิ่นได้มีการพูดคุย ร่วมกับกรมอุทยานสัตว์ป่าและ พันธุ์พืช เพื่อร่วมขับเคลื่อนกฎหมายฉบับนี้ และได้มีการแนะนำให้ทางกรมอุทยานสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้มีการจัดทำคู่มือ แต่เนื่องจากทางกรมอุทยานเองก็ได้รับโจทย์ที่ไม่ชัดเจนจึงไม่รู้ว่าต้องจัดทำคู่มือในเรื่องใดเป็นหลัก จึงเกิดควาทล่าช้า และไม่มีความคืบหน้า 

ผมมองว่าการจัดทำคู่มือมีความท้าทายอยู่มากเนื่องจากประกาศฉบับนี้ครอบคลุมสัตว์ป่าทุกชนิด และในแต่ละพื้นที่ก็ได้รับผลกระทบจากสัตว์ป่าที่แตกต่างกันทำให้การจัดทำคู่มือเป็นเรื่องที่ยากเนื่องจาก การรับมือของแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกันเช่นกัน การที่จะจัดทำคู่มือให้แล้วเสร็จ และครอบคลุมจึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่จริง ๆ ต้องทำคือ การเสนอความคิดเห็นของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกรมอุทยานสัตว์ป่า และพันธ์พืช คณะทำงานในพื้นที่ ท้องถิ่น กลุ่ม NGO ที่ทำงานในเรื่องนี้ ว่าแต่ละกลุ่มต้องการอะไรเพื่อรวบรวมความคิดเห็น และนำเสนอเป็นแผนเบื้องต้น

Q: หลักจากฟังข้อเสนอแล้วท้องถิ่นมีความคิดเห็นอย่างไร ในการก้าวต่อกับการกระจายอำนาจให้มีส่วนร่วมมากขึ้น

สมหมาย ชินนะหง เสนอว่าภาคตะวันออกเองควรมีการปรึกษาหารือเพื่อจัดทำเป็นโมเดล ชุดความคิดการรับมือที่มีความคล้ายครึ่งกัน เนื่องจากว่าในเขตของป่าลือในมีปัญหาที่คล้ายกัน ช้างออกจากป่าพร้อมพร้อมกัน และเกิดปัญหาในช่วงเวลาเดียวกัน เลยคิดว่าการแก้ไขปัญหาในภาคตะวันออกไม่แตกต่างกันมากนัก 

โดยอยากให้มีการร่วมมือระหว่างท้องถิ่นแต่ละพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบมีการวางแผนร่วมกันเพื่อหารือ  และบูรณาการความรู้ในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกันเพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุดในการป้องกัน และผลักดันช้าง เพราะถ้าแต่ละพื้นที่มีการแก้ปัญหาของตัวเองในวิธีที่แตกต่างกันต่างคนต่างทำ ภาพรวมของปัญหาก็จะไม่ถูกแก้ไข และส่งต่อองค์ความรู้แนวคิดหรือข้อสรุปให้กับกรมอุทยาน และพันธุ์พืช เพื่อการจัดการในขั้นตอนถัดไป

Q: การมีหลายกลุ่ม หลายชุมชน จะสามารถดำเนินการตามแผนได้หรือไม่ ถ้าจะเคลื่อนเป็นภาค

ธวัชชัย ประเสระกัง เล่าถึงการทำงานที่ผ่านมาว่า เรื่องการกระจายอำนาจในพื้นที่ที่ผมดูแลยังไม่เกิดเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม เนื่องจากระยะเวลาล่วงเลยมาเกือบปี ยังไม่เกิดการขยับใดใดในพื้นที่ ถึงจะมีการคุยกันบ้างแล้วแต่ก็ยังเงียบอยู่ อาสาสมัครในพื้นที่ก็ยังคงต้องทำงานต่อไปเรื่อย ๆ เนื่องจากช้างก็ยังคงอยู่ในพื้นที่ เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ว่าผู้นำในท้องที่ยังไม่มีการเอาจริงในเรื่องนี้ จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมา เนื่องจากท้องถิ่นเองก็ไม่ได้อยากรับผิดชอบในส่วนนี้เท่าไหร่ เค้าคิดว่าเป็นหน้าที่ของกรมอุทยานสัตว์ป่าและ พันธุ์พืช

Q: ท้องถิ่นเองต้องมีการจัดสรรงบเพื่อใช้ประโยชน์ในหลายด้าน และต้องจัดสรรบางส่วนเพื่อมาจัดการในเรื่องของช้างเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีงบเฉพาะในเรื่องนี้เลยที่เป็นกองกลางไม่ต้องไปถึงงบประมาณในส่วนปกติของท้องถิ่น

วรพงศ์ อุตทานนตรี ยกตัวอย่างในจังหวัดลพบุรี ที่กล่าวไปข้างต้น งบประมาณที่ขอเข้ามาไม่ใช่เพียงใช้เฉพาะเรื่องการจัดการลิง แต่งบประมาณที่ขอมามีการขอในเรื่องการจัดหมวดหมู่ของสัตว์ป่า ตามชื่อประกาศ โดยงบประมาณที่นำมาสนับสนุนในส่วนนี้มากจากเงินอุดหนุนของท้องถิ่น ที่มีการกำหนดรายการเพื่อของบประมาณจากสำนักงบประมาณ เพราะถ้าไม่มีรายการก็จะไม่สามารถขอเบิกงบได้ ส่วนสำคัญคือการกำหนดรายการลงไปอยู่ในกานขอเบิกงบ และงบ ที่ได้ขึ้นอยู่กับดุลย์พินิจของคณะกรรมการว่าจะมักการแบ่งสัดส่วนเท่าใด เนื่องจากมีงบประมาณที่จำกัดทำให้ต้องมีการจัดสรรตามความสำคัญของปัญหาหรือเรื่องที่ต้องแก้ไข

ในความเป็นจริงกรมอุทยาน สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้เยอะพอสมควร จากกรมอุทยานมีรายการค่าใช้จ่ายในเรื่องช้างอยู่ ตัวอย่างเช่นค่าอาหาร   

ค่าที่ดูแล และอื่น ๆ ซึ่งกรมอุทยานมีมาตรฐานการเงินอยู่ แต่การใช้งบประมาณต้องคำนึงถึงความเป็นจริง และความคุ้มค่า รวมไปถึงผลลัพธ์ที่จะแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มงบประมาณที่จะเข้ามาในพื้นที่

Q: กรมอุทยานช่วยเหลือในส่วนใดได้บ้าง

เจริญชัย โตไธสง  รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยินว่าจะมีการเสนอเรื่องงบประมาณขึ้นไปถึงขั้นระดับนโยบาย และจัดสรรหัวงบเข้ามาในงบประมาณท้องถิ่น เพราะถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่จะทำให้ความร่วมมือสามารถเดินต่อไปได้ เนื่องจากในหลายครั้งที่มีการประชุมร่วมกัน กับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เรื่องงบประมาณก็ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับความสำคัญรองลงมาจากเรื่องคู่มือ ปัญหาการขับเคลื่อน ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นเกิดขึ้นจาก 2 แนวทางคือ 1. ทางกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ก็รอคู่มือ จากกรมอุทยานสัตว์ป่าและ พันธุ์พืช ทางกรมอุทยานเอมีความเข้าใจ และรับปากว่าจะทำเนื่องจากทาง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นั้น ไม่เคยถือเนื้องานในส่วนนี้เมื่อก่อนเป็นเพียงการกระจายอำนาจ กรมอุทยานสัตว์ป่าและ พันธุ์พืช ต้องร่วมมือ และช่วยเหลือดูแลในส่วนนี้ด้วย และ 2. ปัญหาสัตว์ป่าทั่วประเทศมีปัญหาอะไรบ้าง แต่ละพื้นที่มีจำนวนเท่าไหร่ และรุนแรงเท่าไหร่ และขับเคลื่อนคู่กัน โดยเริ่มจากการสำรวจทั่วประเทศทั้งหมดเกือบ 8000 แห่งในพื้นที่แต่ละพื้นที่มีปัญหาสัตว์ป่าอะไรบ้าง และรุนแรงมากเพียงใด และส่งต่อข้อมูลให้กับท้องถิ่น ทำให้แต่ละท้องถิ่นทราบถึงปัญหาสัตว์ป่าของตน และสามารถแก้ปัญหา ขับเคลื่อนปัญหา ในพื้นที่ของตนได้เลยไม่ต้องรอคู่มือ 

ในหลายพื้นที่มีการร่วมมือกันมาก่อนหน้าที่จะมีประกาศกระจายอำนาจ แต่มีข้อติดขัดเนื่องจาก มีข้อกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิบัติในตัวสัตว์ แต่ปัจจุบันได้ปลดล็อคลงไปแล้ว มีทั้งการประกาศกระจายอำนาจ ทั้งพ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า การแต่งตั้งอาสาสมัครเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ทำให้การทำงานง่ายขึ้น

อีกหนึ่งความกังวลในการเดินหน้าต่อคือแนวทางต้องเป็นแบบไหน อย่างไร จะผิดกฎหมายหรือโดนสอบข้อใดหรือเปล่า นี่คืออีกหนึ่งส่วน ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรอคู่มือจากกรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธ์พืช  ซึ่งในวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมามีการประชุมหารือ เพื่อทราบถึงข้อสรุปในความต้องการ ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 

แต่ถึงอย่างไรกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นก็ต้องยืนยันในฝั่งของตนด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระเบียบ หน้าที่ กฎหมาย เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจกับทุกฝ่าย ไม่ใช่เพียงการสั่งการจากบนลงล่าง เนื่องจากความแตกต่างของบริบทแต่ละพื้นที่ และภายหลังจากการประชุมกรมอุทยานสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้นำข้อมูลกลับมาและจะมีการจัดทำยกร่างกรอบแนวทางปฏิบัติ โดยเนื้อหาประกอบไปด้วย

  1. อำนาจหน้าที่พรบ. สงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า ถึงสิ่งที่ทำได้ และทำไม่ได้ อย่างไรบ้าง
  2.   ระเบียบลูกที่เกิดจาก พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้อกับการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่าว่ามีแนวทางการปฏิบัติงานอย่างไร ต้องเดินอย่างไร ต้องขออนุญาตใครบ้าง ยื่นที่ไหน มีขั้นตอนอย่างไร ตามขั้นตอนของกฎหมาย
  3. กิจกรรมทั้งหมดของกรมอุทยาน ที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่า จะมีการกำหนดออกมาเป็นกิจกรรม ตามงบประมาณที่มีอยู่ ว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง และดูแลเรื่องใดอยู่
  4. ต้นทุนต่อหน่วยจากข้อที่ 3 ว่าแต่ละกิจกรรมมีต้นทุนต่อหน่วยอย่างไร

และกว่าวต่อว่าหลังจากจัดทำเสร็จแล้วโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นเดือนเมษายนที่จะถึง จะมีการประชุมร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ว่าสามารถเติมข้อมูลในส่วนใดเข้ามาได้บ้างเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ที่ครบถ้วนที่สุด ให้สามารถกระจายอำนาจและเดินต่อไปด้วยกันได้

ภาพในอนาคตที่อยากในอนาคตคือ ถ้ากองสัตว์ป่าเกิดขึ้นถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ในหลายๆพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง และเกิดการทำงานร่วมกัน กรมอุทยานก็จะได้ทำหน้าที่ดูแลตัวสัตว์อย่างเต็มที่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นก็มีหน้าที่ดดูแลเรื่องคน 

ปัจจุบันหลังจากมีการประกาศกฎหมายกระจายอำนาจ กรมอุทยานได้มีการตั้งหน่วยงาน ที่ในอดีตเคยเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องช้างเป็นหลัก คือศูนย์แก้ไขปัญหาช้างป่า แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นศูนย์ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสัตว์ป่า แล้วตอนนี้กำลังพยามรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาสัตว์ป่าทั่วประเทศ เพื่อจัดทำชุดข้อมูลดังที่กล่าวมาแล้ว และหลังจากการรวบรวมข้อมูลพบว่าแต่ละพื้นที่ปัญหาแตกต่างกัน แม้ว่าในบางพื้นที่จะเป็นช้างเหมือนกันก็ตามแต่บริบทความต้องการ หรือปัญหาแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ การจัดทำคู่มืออะไรถือเป็นเรื่องที่ยาก ดังนั้นจึงมีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า คือการสั่งการลงไปยัง ส.ป.อ.ให้จัดตั้งคณะทำงาน และคณะอำนวยการภายใต้หน่วยงานของตนให้เกิดขึ้น เพื่อที่จะได้ประสานงานกับท้องถิ่น ในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้นในระหว่างที่รอคู่มือ

Q: เจอปัญหาหรือไม่ เพราะในแต่ละท้องถิ่นมีการทำงานที่เข้มแข็งแตกต่างกัน

เจริญชัย โตไธสง ให้คำตอบว่า เจอครับ ! แต่ในท้องถิ่นที่ยังไม่พร้อมก็จะยังคงใช้กำลังหลักจากกรมอุทยานสัตว์ป่า และพันธุ์พืชไปก่อน แต่ในส่วนท้องถิ่นที่เห็นด้วย และเข้มแข็งก็เริ่มมีแนวคิด และนโยบายเกิดขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาซ้ำซ้อนของการใช้งบประมาณ

Q: อยากเห็นสภาช้างป่าท้องถิ่นภาคตะวันออก เป็นแบบไหน

เจริญชัย โตไธสง กล่าวว่าถ้ามองภาพทั้งแผ่นป่าของภาคตะวันออกภาคตะวันออก ถือเป็นโรโมเดลของพื้นที่ที่คลุกคลีกับปัญหาช้างป่ามาอย่างยาวนาน และเป็นตัวอย่างให้พื้นที่อื่นมาเยอะพอสมควร ในพื้นที่อื่นอาจจะไม่มีเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยเยอะมากขนาดนี้ เช่น โดรน กล้องAI แต่พื้นที่ภาคตะวันออกก็ถือเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่ารุนแรงมาก ถึงมากที่สุด ดังนั้นถ้าจะมีการจัดตั้งศูนย์ให้เกิดจริงๆอยากให้เป็นภาพใหญ่ของทั้งกลุ่มป่า ปัจจุบันมีโครงการพัชระสุทาคชานุรักษ์ ที่มองภาพใหญ่อยู่ ซึ่งเรามองเห็นว่ามีทั้งภาครัฐ และเอกชนรวมถึงภาคประชาชนเข้ามาร่วมกันเพื่อช่วยกันปิดช่องว่างที่เกิดขึ้น แต่ปัญหาช้างป่าที่ถือเป็นปัญหาที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้แผนการมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ 

Q: จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีผูกโยงกับ อบจ.หรือผู้ว่าราชการจังหวัด

ธวัชชัย ประเสระกัง ให้ความเห็นว่า จำเป็นครับ เพราะจะได้เกิดการทำงานร่วมกัน เนื่องจากในพื้นที่การดูแลของผมยังไม่เกิดการขยับมากนักจึงคิดว่าถ้าเกิดการร่วมมือ ของสภาท้องถิ่นหรือทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็น อบต. เทศบาล หรือ อบจ. ก็ถือเป็นการดี

คิดว่าถ้าเกิดการรวมกลุ่มในระดับกลุ่มป่าได้ก็จะถือเป็นการได้และเกิดขึ้นได้ ถ้าทุกหน่วยงานร่วมมือกัน

Q: ถ้ามองสภาเป็นแบบกลุ่มปลาจะสามารถเริ่มต้นอย่างไรได้บ้างต้องยึดโยงกับตัวผู้ว่าราชการจังหวัดหรือ อบจ. อยู่หรือไม่

สมหมาย ชินนะหง ให้ความคิดเห็นว่าในพื้นที่ของตนอาจจะมีการยึดโยงกับทางอบจ. ซึ่งในแต่ละพื้นที่ก็มีความแตกต่างกันในการแก้ไขปัญหา และแต่ละพื้นที่ก็มีปัญหาเป็นของตนเอง ตัวอย่างเช่นท้องถิ่นจังหวัดฉะเชิงเทรา

อบจ. เริ่มมีบทบาทหน้าที่ในการเข้าช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับช้าง เพราะโดยปกติแล้วงานของ อบจ. จะดู บริบทแค่ภายในเมืองแต่ในปัจจุบันมีการดูชายแดนที่ติดกับพื้นป่ามากขึ้น ซึ่งเริ่มมีการดูงานและปัญหาโดยประสานผ่านท้องถิ่น คิดว่าหากเกิดสภาขึ้นทาง อบจ. หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัด เข้ามามีส่วนร่วมจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่สำเร็จบริบูรณ์ได้ดีมากกว่า

Q: ถ้ามองเป็นกลุ่มป่าภาคตะวันออกเส้นทางการใช้ชีวิตของช้างแยกย่อยออกเป็นอย่างไรบ้างหรือมีแค่เส้นทางเดียวกลุ่มเดียวได้

เจริญชัย โตไธสง กล่าวว่าในความเป็นจริงแล้วเส้นทางของช้างในกลุ่มป่าภาคตะวันออก มีความกระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ แต่หลังจากการเก็บข้อมูลพบว่าช้างในกลุ่มป่าภาคตะวันออก เป็นช้างที่เดิน เดินหากินในระยะที่ไกลมาก แต่ในปัจจุบันการเก็บข้อมูลพบว่าบางฝูงก็ไม่ได้รวมกันก็มีการแยกตัวออกไปรวมกับฝูงอื่น ในบางครั้งมีการรวมฝูงมากกว่าหนึ่งฝูงเพื่อออกไปในพื้นที่เดียว ดังนั้นช้างในกลุ่มปลาภาคตะวันออกอาจจะไปออกที่อื่นหรือที่ใดก็ได้ ดังนั้นการแชร์องค์ความรู้ในพื้นที่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ดังนั้นจึงต้องมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ และการถ่ายเทกำลัง เพื่อป้องกันและผลักดันช้างในพื้นที่รอบๆเขตป่าตะวันออก

วรพงศ์ อุตทานนตรี กล่าวเห็นด้วยกับเปลี่ยนสภาพทองผิดเพราะคิดว่าเป็นผลดี แต่อาจจะต้องมีการทบทวนเรื่ององค์ประกอบว่าเป็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เช่น การที่จะเอาผู้ว่าราชการจังหวัดหรือ อบจ. เข้ามาในบทบาทใด ทำอะไร จำเป็นมากน้อยเพียงใด

ในเบื้องต้นอยากให้มองถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่นะตอนนี้เช่นการถ่ายทอดองค์ความรู้จากพื้นที่หนึ่งไปยังพื้นที่หนึ่งคือเป็นเรื่องที่ตอบโจทย์ จะทำให้สภาสามารถขับเคลื่อนไปด้วยกันได้และมีประโยชน์มากยิ่งขึ้น

เนื่องจากไม่มีส่วนไหนเป็นหน่วยรับผิดชอบโดยตรงการเริ่มต้นอาจจะต้องเริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุดเป็นจุดเริ่มต้น และอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจคือหน่วยวิชาการเพื่อสนับสนุนในเรื่อง องค์ความรู้และการประสานแกนนำของแต่ละพื้นที่ เพื่อรวมกลุ่มและพูดคุย และเห็นภาพต่อไปในอนาคต

สมหมาย ชินนะหง เล่าถึงปัญหาในการทำระดับท้องถิ่นคือท้องถิ่นเองไม่มีอำนาจที่จะประสาน กับองค์กรหรือหน่วยงานในพื้นที่ได้ทั้งหมด หรือแม้แต่หน่วยงาน และท้องถิ่นที่อยู่โดยรอบ จึงต้องอาศัยผู้ว่าราชการจังหวัดที่เปรียบเสมือนตัวเชื่อมในการขอความร่วมมือและ และขอความอนุเคราะห์ ให้เกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรได้

ชวนโหวต 3 ฉากทัศน์เพื่อการแก้ปัญหา ชีวิตคน ช้าง ป่า

คุณคิดว่า อนาคตของ คน ช้าง ป่า ภาคตะวันออก ควรเดินหน้าต่อไปทางไหน สามารถร่วมโหวตเลือกฉากทัศน์ที่อยู่ด้านล่างนี้ได้เลย


อ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

ฟังเสียงประเทศไทย : ‘ปัญหาช้างป่า’ การเยียวยาที่ไม่ถูกเมินเฉย https://thecitizen.plus/node/80214

ฟังเสียงประเทศไทย: อนาคต ‘คน ช้าง ป่า’ ภาคตะวันออก https://thecitizen.plus/node/67201

แชร์บทความนี้